
"...ปัจจุบัน บริษัทหัวเว่ยยังคงถูกชาติตะวันตกคว่ำบาตร จากสหรัฐฯ และประเทศโลกตะวันตก แต่เหมือนกับเหตุการณ์หงส์ดำ (Black Swan) ที่เหตุการณ์ไม่สามารถคาดการณ์ได้ และมีผลกระทบอย่างมหาศาล แต่กลับมีคำอธิบาย เพราะทำให้บริษัทยิ่งต้องดิ้นรนและเร่งพัฒนาตนเอง จนสามารถผลิตโทรศัพท์ 5G เทคโนโลยี AI ไปจนถึงรถยนต์ไฟฟ้า ที่เน้นการขายในประเทศและประเทศที่พัฒนาแล้ว และยังคงเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่โดดเด่นติดอันดับต้นของโลก ที่ทุกคนต้องเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด..."
สวัสดีครับ
เหริน เจิ้งเฟย เรียนจบในปี ค.ศ. 1968 วิชาเอกด้านการประดิษฐ์เครื่องทำความร้อนและเครื่องระบายอากาศ แต่ด้วยนโยบายของประธานาธิบดีเหมา เขาถูกส่งไปยังเมืองกุ้ยโจว ติดกับพรมแดนประเทศเวียดนาม เป็นเมืองที่ห่างไกลความเจริญ อยู่ในหุบเขาปิดมิดชิด เพื่อศึกษาวิจัยและพัฒนาอาวุธ ทำให้ต้องอาศัยอยู่อย่างยากลำบาก หอพักไม่มีที่กำบังลมอากาศที่หนาวเย็น ในขณะที่ไม่มีน้ำประปา ต้องสูบน้ำจากนาข้าวมาใช้ เขาถูกมอบหมายให้พัฒนาเครื่องวัดความดัน เพื่อไม่ต้องพึ่งพาการนำเข้าจากชาติตะวันตก เขาทุ่มเทกับงานมากเรียกว่าทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน จนผมร่วง มีรอยย่นบนใบหน้า แลดูแก่กว่าวัย 33 ปี1/
ชีวิตของเขาเปลี่ยนไป เมื่อทางการจีนได้ออกแถลงข่าวในวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 1976 เวลา 16.00 น. ว่าประธานาธิบดีเหมาได้ถึงแก่อสัญกรรม ถือเป็นการสิ้นสุดยุคการปฏิวัติวัฒนธรรม (Cultural Revolution) และเติ้ง เสี่ยวผิง ได้ก้าวสู่อำนาจ นำพาประเทศจีนเข้าสู่ยุคสมัยของการปฏิรูปและเปิดประเทศ ซึ่งเป็นช่วงจังหวะเวลาพอดีกับที่เจิ้งเฟยประดิษฐ์เครื่องอัดอากาศ (Air Pressure Generator) ได้สำเร็จ จนได้รับการยกย่องว่า ได้สร้างปรากฏการณ์ที่จะนำพาประเทศทะยานไปข้างหน้า และเมื่อประธานาธิบดีเติ้งได้จัดการประชุมวิชาการระดับชาติ ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (National Science Conference) เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1978 เจิ้งเฟยถือเป็นนักวิศวกรอายุน้อยที่สุดที่ได้รับเชิญเข้าร่วมประชุม กรุยทางสู่การเข้าเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ และร่วมประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ (National Congress) เพื่อช่วยวางแผนโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ การสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษ ณ เมืองเซินเจิ้น
เซินเจิ้นเป็นเมืองที่ติดกับฮ่องกง มีพื้นที่คดเคี้ยวเหมือนกับงูเลื้อย เดิมเป็นพื้นที่ราบเรียบ มองไปเห็นแต่ทุ่งหญ้า ล้อมรอบไปด้วยกำแพงที่สร้างขึ้นกั้นพรมแดน ไม่ได้เหมาะกับเป็นเมืองสำหรับชุมชน แต่ประธานาธิบดีเติ้ง กลับเห็นเป็นโอกาสดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศ พร้อมได้เรียนรู้ระบบเศรษฐกิจตะวันตก เรียกว่ายิงนก 2 ตัว ในกระสุนนัดเดียว

เหริน เจิ้งเฟย และเมิง หว่านโจว
เจิ้งเฟยไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดลอยไป ตัดสินใจย้ายไปหางานในเมืองเซินเจิ้นในปี ค.ศ. 1982 เข้าทำงานในบริษัทขุดน้ำมันที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ พร้อมกับได้เรียนรู้และสัมผัสกับวัฒนธรรมชาวตะวันตก ตั้งแต่ซื้อของในซูเปอร์มาร์เก็ต ไปจนถึงดื่มน้ำอัดลม แต่เขายอมรับว่า ต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วด้วยวัยเกิน 40 ปีแล้ว โดยให้สัมภาษณ์ว่า “สำหรับพวกเราที่อายุเกินวัยหนุ่มสาว ต้องพิสูจน์ให้คนรอบข้างเห็นว่ายังมีคุณค่าอยู่ ทั้ง ๆ ที่ความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ต้อยต่ำ และภาษาอังกฤษแทบไม่กระดิกหู”
ด้วยโชคชะตาที่ถูกลิขิตไว้ เจิ้งเฟยได้พบกับผู้บริหารของสำนักงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โน้มน้าวให้เขาตั้งบริษัทเพื่อขายอุปกรณ์เครือข่ายโทรศัพท์ (Telephone Switches) และอุปกรณ์สื่อสาร จนเป็นที่มาของการเข้าร่วมหุ้นกับเพื่อน ๆ อีก 5 คน จัดตั้งบริษัทชื่อว่า บริษัทหัวเว่ย ในปี ค.ศ. 1987 สถานที่ทำงานเป็นตึกที่อยู่อาศัยใช้ชั้น 8 และ ชั้น 9 เป็นที่ทำงาน ซึ่งพนักงานยุคแรก ๆ ให้สัมภาษณ์ว่า ตอนมาสมัครงานขึ้นไปชั้นบนสุดคือ ชั้น 8 แต่ไม่มีชั้น 9 แอบคิดว่าน่าจะเป็นบริษัทมิจฉาชีพ แต่ค้นพบว่าชั้น 9 เป็นระเบียงดาดฟ้า ที่เจิ้งเฟยใช้เป็นที่พักผ่อนเพื่อคลายความร้อน
บริษัทนำเข้าอุปกรณ์จากต่างประเทศและยอดขายเป็นไปด้วยดี แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายของเจิ้งเฟย เขาตั้งเป้าหมายที่จะผลิตอุปกรณ์เครือข่ายเอง เพราะเชื่อว่า ชาติที่ไม่สามารถผลิต switches ได้เอง ชาตินั้นก็เปรียบเสมือนไม่มีกองทัพเป็นของตนเอง จนเป็นที่มาของการก่อตั้งทีมงานเพื่อค้นคิดและร่วมเป็นหุ้นส่วนกับบริษัทสื่อสารในต่างประเทศ ในที่สุดทีมงานสามารถผลิต switches ในรูปดิจิทัล รองรับคู่สายได้กว่า 1 แสนเลขหมายในเวลาเดียวกัน ถือเป็นอุปกรณ์ที่ล้ำสมัยมากในเวลานั้น จากนั้น ทุกอย่างกลายเป็นตำนาน switches ของหัวเว่ยถูกนำไปทดแทนอุปกรณ์ของบริษัทต่างชาติทั่วประเทศ ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลทั้งด้านการเงินและบุคลากร จนทำให้บริษัทสามารถส่งออกไปต่างประเทศ ผงาดขึ้นเป็นบริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยีจนถึงทุกวันนี้

Data Center ของบริษัทหัวเว่ยที่ถูกสร้างขึ้นเหมือนกับเมืองในยุโรป
สูตรสำเร็จของบริษัทหัวเว่ย มาจากวัฒนธรรมการทำงานของบริษัทที่ถูกขนานนามว่า วัฒนธรรมหมาป่า (Wolf Culture) เน้นการทำงานเป็นทีมแบบผู้ล่าเหมือนหมาป่า มุ่งมั่น อดทน ออกล่าเป็นฝูง และทำงานร่วมกันเพื่อบรรลุเป้าหมาย ด้วยบริษัทเริ่มต้นจากการขายในพื้นที่ภูมิภาค การยกระดับขายระดับประเทศและต่างประเทศ ต้องยกระดับศักยภาพพนักงานขาย เจิ้งเฟยจึงตัดสินใจให้ผู้จัดการฝ่ายขายทั่วภูมิภาคเขียนจดหมาย 2 ฉบับ ฉบับแรกให้เขียนถึงเป้าหมายงาน และฉบับที่สองเป็นหนังสือลาออก โดยเขาบอกว่า จะลงนามในหนังสือฉบับใดฉบับหนึ่งเท่านั้น ซึ่งในที่สุด เจิ้งเฟยลงนามในจดหมายลาออก 6 ฉบับ
จากผู้จัดการฝ่ายขายทั้งหมด 26 คน ซึ่งจดหมายลาออกฉบับหนึ่งสารภาพว่า “หมดยุคของผมแล้ว อนาคตของบริษัทยังอีกยาวนาน ผมจะไม่เป็นตัวหน่วงรั้งการเติบโตของบริษัทอีกต่อไป”
การเติบโตอย่างรวดเร็วของบริษัทหัวเว่ย สร้างความหวั่นไหวให้กับบริษัทคู่แข่ง โดยเฉพาะชาติตะวันตก เปรียบเสมือนกับตอนที่ยานอวกาศสปุตนิกของรัสเซียที่สามารถขึ้นไปโคจรรอบโลกได้ ก่อนสหรัฐฯ และเมื่อหัวเว่ยเริ่มส่งออกสินค้าไปยังประเทศที่สาม โดยเฉพาะประเทศที่ไม่ได้เป็นมิตรกับสหรัฐฯ เช่น อิหร่าน และเกาหลีเหนือ ยิ่งสร้างความหวาดระแวงและเคลือบแคลงสงสัย จนเป็นที่มาของการระงับการนำเข้าอุปกรณ์สื่อสารของหัวเว่ยจากชาติตะวันตก โดยกล่าวอ้างว่า อุปกรณ์เหล่านั้น อาจถูกนำไปใช้เพื่อสอดแนม เรื่องบานปลายไปจนถึงการจับกุม เมิง หว่านโจว ประธานบริหารฝ่ายการเงิน ลูกสาวของเจิ้งเฟย ที่แคนาดา ถูกกักขังอยู่ในบริเวณบ้านนานกว่า 2 ปีครึ่ง เพื่อรอให้ศาลตัดสินว่าควรจะถูกเนรเทศไปดำเนินคดีที่สหรัฐฯ หรือไม่
อย่างไรก็ดี เธอไม่ต้องรอถึงคำพิพากษาของศาล เมื่อประธานาธิบดีโจ ไบเดน ยกหูโทรศัพท์พูดคุยกับประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ในช่วงเดือนกันยายน ค.ศ. 2021 ยินยอมที่จะปล่อยตัวเธอเพื่อแลกเปลี่ยนกับชาวแคนาดา 2 คน ที่ทางการจีนจับกุมในข้อหาจารกรรม

รถยนต์ไฟฟ้าหัวเว่ย
หว่านโจว ได้รับการต้อนรับกลับมาเยี่ยงวีรสตรี และมาปรากฏกายในการประชุมประจำปีของบริษัท พร้อมกล่าวว่า “ในช่วง 2-3 เดือนที่ฉันกลับมา ฉันพยายามที่จะตามให้ทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว”
ปัจจุบัน บริษัทหัวเว่ยยังคงถูกชาติตะวันตกคว่ำบาตร จากสหรัฐฯ และประเทศโลกตะวันตก แต่เหมือนกับเหตุการณ์หงส์ดำ (Black Swan) ที่เหตุการณ์ไม่สามารถคาดการณ์ได้ และมีผลกระทบอย่างมหาศาล แต่กลับมีคำอธิบาย เพราะทำให้บริษัทยิ่งต้องดิ้นรนและเร่งพัฒนาตนเอง จนสามารถผลิตโทรศัพท์ 5G เทคโนโลยี AI ไปจนถึงรถยนต์ไฟฟ้า ที่เน้นการขายในประเทศและประเทศที่พัฒนาแล้ว และยังคงเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่โดดเด่นติดอันดับต้นของโลก ที่ทุกคนต้องเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด
บทความโดย :
รณดล นุ่มนนท์
22 กันยายน 2568
แหล่งที่มา:
1/ Eva Dou, House of Huawei, Penguin Random House, 2015

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา