"...ใครที่รู้จักและเคยร่วมงานกับคุณพงศ์โพยม จะประจักษ์ด้วยตนเองว่า เขาเป็นคน “มีน้ำใจ” ให้กับผู้คนและเนื้องานที่เขาเกี่ยวข้อง โยงใย และผูกพันด้วยในแง่มุมตามบริบทต่างๆ อย่างรับผิดชอบทุกครั้ง..."
เขียนถึงใครต่อใครหลายคนมาแล้ว ถ้าไม่เขียนถึงเพื่อนคนนี้ ก็เหมือนจะเสียโอกาสและดูจะแล้งน้ำใจเกินไป
9 พย. 68 เวลา 17.30 น. ณ วัดมกุฏกษัตริยาราม เป็นวันพระราชทานเพลิงศพ คุณพงศ์โพยม วาศภูติ เพื่อนร่วมเรียนร่วมรุ่นที่คณะรัฐศาสตร์จุฬาฯ ตั้งแต่ปี 2510 นับถึงวันนี้ เป็นเพื่อนกันมาถึง 58 ปี
เขาเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดหลายแห่ง เป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานนิสิตจุฬาฯ รุ่นปีเข้า 2510 เป็นนายกสมาคมนิสิตเก่ารัฐศาสตร์จุฬาฯ เป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เป็นนายกสมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย และเป็นอะไรอีกมากมายจดจารกันไม่หมด
ก่อนจะหมดลมหายใจที่เกาหลีใต้ อันเนื่องมาจากภารกิจนำเพื่อนผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตร นบส. 2 รุ่นที่ 17 ของ กพ. ไปดูงานที่นั่น คุณพงศ์โพยม ในฐานะรุ่นพี่ได้เขียนจดหมายน้อยด้วยลายมือตนเองไปถึง คุณนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ซึ่งเพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็นอธิบดีกรมการปกครอง ลงวันที่ 23 สค. 68 มีใจความสำคัญว่า
3. อย่าให้ปลัดจังหวัด / นายอำเภอ / ปลัดอำเภอ เบียดเบียน รีดไถประชาชน ในงานทะเบียนราษฎร, อาวุธปืน, ร้านค้าของเก่า, โรงแรม, สถานบันเทิง ฯลฯ
4. ต้องขอร้องผู้ว่าราชการจังหวัด อย่าใช้นักปกครอง โดยไม่กล่าวถึงเรื่อง เงินค่าใช้จ่าย เพราะเท่ากับเป็นการส่งสัญญาณให้ผู้ใต้บังคับบัญชา “หากินเอง” (บุฟเฟ่ต์)

นี่คือเยื่อใยไมตรีที่มหาดไทยรุ่นพี่มีต่อรุ่นน้อง ทั้งๆ ที่คุณพงศ์โพยม เกษียณอายุจากกระทรวงมหาดไทยมาแล้ว 18 ปีเต็ม
ใครที่รู้จักและเคยร่วมงานกับคุณพงศ์โพยม จะประจักษ์ด้วยตนเองว่า เขาเป็นคน “มีน้ำใจ” ให้กับผู้คนและเนื้องานที่เขาเกี่ยวข้อง โยงใย และผูกพันด้วยในแง่มุมตามบริบทต่างๆ อย่างรับผิดชอบทุกครั้ง
จดหมายน้อยฉบับนี้ห่วงใยว่า การทำหน้าที่อธิบดีปกครอง ไม่เพียงตนเองเท่านั้นที่ต้องซื่อสัตย์ แต่บรรดาข้าราชการระดับล่างลงไป ก็ต้องไม่ปล่อยให้เขาไปรีดไถชาวบ้าน และจะใช้ใครทำงาน ก็ต้องรับผิดชอบในการจัดงบค่าใช้จ่ายอย่างถูกต้องให้เขา ไม่ใช่ปล่อยให้เขาต้องไป “หากินเอง”
ตอนที่เขาเป็นปลัดมหาดไทย ผมได้รับร้องเรียนจากคุณนันทโชติ (ปุ๋ย) ชัยรัตน์ (ล่วงลับไปแล้ว) เป็นตัวแทนสมัชชาคนจน ว่าชาวบ้านกลุ่มหนึ่งในพื้นที่จังหวัดภาคอิสาน ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากนายอำเภอในพื้นที่นั้น
ผมเช็คดู พบว่าเป็นเรื่องมีมูล และสมควรร้องเรียนผู้ใหญ่ในมหาดไทย จึงนัดหมายให้เขาไปพบและชี้แจงกับคุณพงศ์โพยม วาศภูติ โดยตรง ที่กระทรวงมหาดไทย
คุณนันทโชติ ไปพบแล้วแจ้งผมว่า “คุณพงศ์โพยม ต้อนรับและรับฟังด้วยความมีน้ำใจ อย่างยิ่ง”
อีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา คุณพงศ์โพยม โทรศัพท์เข้ามาแจ้งว่า “ผมจัดการเรียบร้อย ปัญหาจบไปแล้ว ชาวบ้านก็พอใจ”
เมื่อใดที่ต้องการความช่วยเหลือ โดยเฉพาะกรณีที่ชาวบ้านไม่ได้รับความเป็นธรรม คุณพงศ์โพยม จะตอบสนองทันที หากพบว่าเป็นเรื่องจริง ถ้าไม่แน่ใจ เขาจะตรวจสอบ พบว่าปัญหาอยู่ตรงไหน ก็แก้ปัญหาตรงนั้น

คุณพงศ์โพยม เล่าว่า
“การแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน บางครั้งมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง เช่นถ้าชาวบ้านชุมนุมเรื่องโรงงานอุตสาหกรรมปล่อยน้ำเสีย อาจมีบางคนมาบอกว่า เรื่องนี้มีเบื้องหลัง เพราะผู้ใหญ่บ้านอยากได้สตางค์จากโรงงาน แต่โรงงานไม่จ่าย จึงไปนำประชาชนมาประท้วง ผมก็บอกว่า ผมรับทราบ แต่ผมเอาเบื้องหน้าเป็นหลัก เบื้องหน้าคือน้ำเสียจริงรึเปล่า ถ้าน้ำเสียจริงถึงขั้นผิดกฎหมาย ก็ต้องให้โรงงานแก้ไข โรงงานแก้ไขไม่ได้ หรือไม่ยอมแก้ไข ก็ต้องปิดโรงงาน”
นี่คือวิธีทำงานที่ควรศึกษา ธรรมดาถ้ามีใครมารายงานแบบนี้ ผวจ. มักไขว้เขว แล้วพุ่งเป้าไปเล่นงานคนอยู่เบื้องหลัง แปลว่าปัญหาถูกทิ้งไว้ ไม่มีการแก้ไข แต่ความเป็นจริงคือความเดือดร้อนเฉพาะหน้าของชาวบ้านต่างหากที่ต้องรีบจัดการ
ผมเคยปรารภกับคุณพงศ์โพยมว่า
“องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น อบต. อบจ. หรือเทศบาล เห็นมีข่าวโกงกินกันอยู่เรื่อยๆ บางแห่งที่ผู้รับเหมาเข้ามาเป็นนายก หรือไม่ก็หาเงินทอนจากผู้รับเหมา บางทีก็มีข่าวฉาวโฉ่แบบเสาไฟฟ้ากินรี”
เขาตอบทันทีว่า
“มันก็มีบ้างล่ะ แต่คุณประเมินในภาพรวมไหมว่า ตั้งแต่มี เทศบาล อบจ. อบต. เกิดขึ้นตามกฎหมายตั้งแต่ปี 2542 เป็นต้นมานั้น ทุกท้องถิ่นเปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ ถนนเข้าถึงทุกหมู่บ้าน ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ ระบบการสื่อสาร และคมนาคม กระจายเต็มเกือบทุกพื้นที่ ท้องถิ่นไกลแค่ไหนก็ไปถึงทั้งภูเขาและทะเล ล้วนได้รับผลเต็มแผ่นดิน”
ผมเสริมว่า
“เป็นผลจากการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น”
“ใช่เลย นี่คือการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างเป็นจริง อะไรที่ชาวบ้านในท้องถิ่นทำได้ ส่วนกลางอย่าไปหวงอำนาจไว้ ชาวบ้านอยู่กับพื้นที่ รู้ปัญหาของชุมชนดีที่สุด
ส่วนกลางต้องจัดงบประมาณไปให้ท้องถิ่นตามที่กฎหมายกำหนด รัฐต้องกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นมีอิสระในการปกครองตนเอง พร้อมกำหนดขอบข่ายภารกิจที่ชัดเจน เช่น การศึกษา ทักษะอาชีพ คนชรา คนพิการ การดูแลเด็กเล็ก การอนุญาตในเรื่องของท้องถิ่น ไม่ใช่ต้องมาขออนุญาตที่กรมในส่วนกลางในกรุงเทพฯ ประเทศที่เจริญเขากระจายอำนาจให้ท้องถิ่นทำในเนื้องานที่สามารถทำเองได้ อย่างญี่ปุ่นเป็นต้น”
ธรรมดาการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นนั้น แปลว่าต้องผ่องถ่ายอำนาจจากราชการส่วนภูมิภาค และส่วนกลางออกไป ซึ่งข้าราชการหัวโบราณที่เคยชินกับการมีอำนาจ มักจะยื้ออำนาจไว้ แวดวงมหาดไทย บางคนหมั่นไส้ถึงขั้นมีการนินทาว่า “กระจายอำนาจแบบพงศ์โพยม แล้วมหาดไทยจะเหลืออะไรทำวะ”
แต่คุณพงศ์โพยม ยังยืนหยัดเดินหน้าต่อไปในทิศทางกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคแห่งการปฏิรูปทั่วด้าน ที่มีสภาปฏิรูปแห่งชาติเป็นกลไกนำเสนอ โดยคุณพงศ์โพยม เป็นมวยหลักที่ยืนหยัดอย่างมั่นคง
ควรจารึกไว้ด้วยว่า อีกมิติหนึ่งนั้นความใส่ใจในกีฬาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น ทำให้เขามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและสร้างสรรค์ทีมชาติวอลเลย์บอลหญิงไทยไปไกลสู่สากล
เป็นที่ยอมรับกันว่า ทีมชาติวอลเลย์บอลหญิงจีน เป็นทีมที่แข็งแกร่งที่สุดในเอเชีย แต่ใน นัดชิงชนะเลิศ Asian Women’s Volleyball Championship 2009 ประวัติศาสตร์ได้จารึกว่า ทีมวอลเลย์บอลหญิงไทยซึ่งเป็นคู่ชิงในปีนั้น สามารถเอาชนะทีมจีนได้ 3:1 เซท นับเป็นครั้งแรกของไทย เป็นชัยชนะยิ่งใหญ่ที่ฮือฮาไปทั่วโลก
เป็นผลงานประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในยุคที่คุณพงศ์โพยม เป็นนายกสมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย ซึ่งกลายเป็นก้าวกระโดดใหญ่ของทีมวอลเลย์บอลหญิงไทยที่ก้าวขึ้นสู่ทีมระดับนำของโลกในเวลาต่อมา
เหตุที่มีพื้นฐานเป็นนักกีฬารักบี้ นักยิงปืน และนักฟันดาบ เป็น “ขุนพลนักดาบสองมือ” ของจุฬาฯ ซึ่งชนะทั้งในคณะและในระดับมหาวิทยาลัย ทำให้เมื่อเกษียณจากปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้เข้ามาทำงานให้กับสมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย
คุณสมพร ใช้บางยาง นายกสมาคมกีฬาวอลเลย์บอลฯ ปัจจุบันบอกว่า “ปลัดพงศ์โพยมทุ่มเทอย่างสุดกำลัง ให้แก่ทีมวอลเลย์บอลหญิงไทยซึ่งมีศักยภาพยอดเยี่ยม โดยหาทุนสนับสนุนพัฒนาเทคนิค และยกระดับ จนกลายเป็นทีมนำระดับโลก และต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้”
ในนิยายขนาดสั้นเรื่อง “เล่นกับไฟ” ของศรีบูรพา มีประโยคหนึ่งว่า “ผู้ใดเกิดมาเป็นสุภาพบุรุษ ผู้นั้นเกิดมาสำหรับผู้อื่น” กล่าวคือ เป็นคนที่เกิดมาเพื่อคนอื่น และมีหน้าที่ต้องเสียสละเพื่อคนอื่น
ผมพบว่าตลอดชีวิตของคุณพงศ์โพยม วาศภูติ เขาเป็นคนมีน้ำใจ เกื้อกูลคนอื่น โดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่เลือกว่าใครคนนั้นจะมียศถาบรรดาศักดิ์อะไรหรือไม่ ถ้าตกลงใจจะทำแล้ว เขาจะผูกพันรับผิดชอบอย่างเต็มที่
ไม่ว่าในฐานะข้าราชการระดับสูง ในฐานะเพื่อนร่วมรุ่นในชั้นเรียน ในฐานะเป็นกรรมการ กพร. เป็นสมาชิก สปช. เป็นนายกสมาคมกีฬาวอลเลย์บอลฯ หรือในฐานะเพื่อน เขามีความเสมอต้นเสมอปลายในการคบหาและช่วยเหลือเกื้อหนุนในขอบข่ายที่ถูกต้องและเหมาะสม
คุณพงศ์โพยม ไม่ใช่คนหนีปัญหาแต่เป็นนักแก้ปัญหา Problem Solver ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย เป็นคนเรียนรู้ไว มีความสนใจหลากหลาย ชอบอ่านหนังสือพิมพ์ ชอบอ่านบทความของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ใน นสพ. สยามรัฐ
เมื่อตอนเด็ก เขาอ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ “จอยุ่ยเหม็ง” เป็นขุนนางจีน ที่เรียนจบแล้วเข้ารับราชการ เป็นคนทำงานตรงไปตรงมา แต่มีศัตรูเยอะ เขาแก้ปัญหาอย่างซื่อตรง ได้เป็นใหญ่ระดับมหาเสนาบดี ภายหลังถูกใส่ร้าย ต้องพาครอบครัวหนีออกไปทางทะเล แล้วเทวดามารับเขาและครอบครัวไปขึ้นสวรรค์ เป็นความประทับใจที่ จอยุ่ยเหม็ง เอาชนะอุปสรรคด้วยความดีได้ จึงมีจิตใจเอาชนะอุปสรรคกลายเป็นนิสัยของเขา
เมื่อนึกถึงสัจจะวาทะของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีพระองค์แรกของกระทรวงมหาดไทย ว่า
“เจ้าคุณ อำนาจอยู่ที่ราษฎรเชื่อถือ ไม่ใช่อยู่ที่พระแสงราชศัสตรา
จะไปอยู่ที่ไหน ก็ตาม ถ้าเจ้าคุณทำให้ราษฎรเชื่อถือ ด้วยความศรัทธาแล้ว ไม่มีใครถอดเจ้าคุณได้ แม้ในหลวง เพราะท่านก็ทรงปรารถนาให้ราษฎร อยู่เย็นเป็นสุขเช่นเดียวกัน”
คุณพงศ์โพยม วาศภูติ สามารถสร้างบารมีและความเชื่อถือจากผู้คนที่เกี่ยวข้องทั้งในมหาดไทย ในหมู่มวลมิตร และในท่ามกลางประชาชนได้อย่างสมค่าแห่งความเป็นสุภาพบุรุษ นักรัฐศาสตร์
ขอให้สบสุคติในภพภูมิอันสงบงามเทอญ


Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา