
"...แมนเทิลสบตาทุกคน ก่อนกล่าวอย่างสงบและเยือกเย็นว่า “นี่ก็คือ คุณธรรมเจ็ดประการที่จะนำพาชีวิตไปสู่ความสุขชั่วนิจนิรันดร์ เราสามารถมีความสุขและพึงพอใจแบบยั่งยืนในชีวิตเพียงแค่ก้าวทีละน้อยไปบนเส้นทางสู่ความฝัน ชีวิตที่เปี่ยมล้นไปด้วยความมหัศจรรย์เกิดจากการลงมือทำสิ่งเล็ก ๆ ในทุกวัน”..."
จูเลียน แมนเทิล ทนายความชื่อดังผู้ประสบความสำเร็จในชีวิต เขามีทุกสิ่งที่หลายคนใฝ่ฝันทั้งบ้านหลังงาม รถเฟอร์รารี่สุดหรู และชื่อเสียงในวงการกฎหมาย แต่ความสำเร็จเหล่านั้น ต้องแลกมากับการทำงานอย่างหนัก สุขภาพที่ทรุดโทรม และในที่สุดเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้เกิดขึ้น เขาหัวใจวายล้มลงกลางห้องพิจารณาคดี โชคดีที่เขารอดชีวิตมาได้ ทว่าเหตุการณ์ครั้งนั้น ได้เปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล แมนเทิลตัดสินใจละทิ้งทุกสิ่งไว้ข้างหลัง และออกเดินทางไปยังประเทศอินเดีย เพื่อค้นหาความหมายที่แท้จริงของชีวิต จนได้พบกับเหล่านักปราชญ์ ณ แดน “ศิวานา” บนเทือกเขาหิมาลัย หนึ่งในนักปราชญ์ได้เล่านิทานให้เขาฟังว่า
“จงลองจินตนาการว่า เรานั่งอยู่กลางสวนที่งดงามและเงียบสงบ ใจกลางสวนมีประภาคารสีแดงสดตั้งตระหง่านอยู่ ประตูประภาคารค่อย ๆ เปิดออก และมีนักซูโม่ร่างยักษ์เดินออกมา เขาสูงใหญ่ แข็งแกร่ง แต่ใส่เพียงสายเชือกสีชมพูเส้นเล็ก ๆ ที่พันรอบเอวและเป้า เขาเดินสำรวจรอบ ๆ สวน ก่อนจะสะดุดเข้ากับนาฬิกาทองคำที่ตกอยู่บนพื้น เขาหยิบขึ้นมาสวม และจู่ ๆ ก็ล้มลงหมดสติ แต่แล้วเขาก็ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง เพราะได้กลิ่นหอมของกุหลาบสีเหลือง กลิ่นนั้นทำให้เขารู้สึกมีชีวิตชีวาเขาหันไปเห็นเส้นทางที่ปูด้วยเพชรระยิบระยับ จึงตัดสินใจเดินไปตามทางนั้นและพบกับความสุขนิรันดร์” [1]
ภายหลังจากเดินทางกลับบ้านเกิด แมนเทิลได้นำนิทานเรื่องนี้มาเล่าให้อดีตเพื่อนร่วมงานฟัง ทุกคนต่างงุนงง จนเขาเริ่มอธิบายว่า นิทานเรื่องนี้แฝงสัญลักษณ์เจ็ดประการ ซึ่งแทนคุณธรรมทั้งเจ็ด ที่จะนำพามนุษย์ไปสู่ “ชีวิตที่สมบูรณ์”
สัญลักษณ์แรกคือ “สวนที่งดงาม” หมายถึงจิตใจ ถือเป็นคุณธรรมที่สำคัญที่สุด เพราะหากเราสามารถทำให้จิตใจแจ่มใส สงบ มีความพึงพอใจกับชีวิต ก็เปรียบเสมือนกับการดูแลสวนให้ร่มรื่น มีหญ้าเขียวขจี ปราศจากวัชพืช เพราะหากเราปล่อยให้วัชพืชแห่งความคิดลบ เช่น ความกลัวหรือความสงสัยเข้ามา จิตใจจะรกรุงรัง ดังนั้น หากต้องการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ เราต้องคิดในเชิงบวก มองโลกในแง่ดี [2]
สัญลักษณ์ที่สองคือ “ประภาคาร” ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางสวนบ่งบอกว่าชีวิตต้องมีเป้าหมาย ผู้ที่รู้แจ้งอย่างแท้จริงจะทราบว่าต้องการอะไรในชีวิต คล้าย ๆ กับประภาคารที่จะคอยส่องแสงนำทางและเป็นที่หลบภัยยามคลื่นลมแรง ความสุขที่ยั่งยืนเกิดจากการพยายามบรรลุเป้าหมายอยู่เสมอ เหมือนแสงสว่างนำทางในความมืด ช่วยให้เรามุ่งไปในทิศทางที่ถูกต้อง [3]
สัญลักษณ์ต่อไปคือ “นักซูโม่ร่างยักษ์” นั่นเอง เพราะกว่านักซูโม่จะมีร่างกายที่บึกบึนแข็งแรง ต้องผ่านการฝึกฝนอย่างมีวินัย เป็นไปตามแนวทางไคเซ็น (kaizen) ที่สอนให้พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ไม่มีที่สิ้นสุด นักซูโม่ไม่ได้เกิดมาแข็งแกร่งภายในวันเดียว แต่เกิดจากการฝึกฝนทุก ๆ วัน เหมือนนักรบที่ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค เปิดรับแนวคิดใหม่ ๆ ทำตัวเป็นแก้วเปล่าอยู่เสมอ ย่อมประสบความสำเร็จและบรรลุเป้าหมายได้มากกว่าคนอื่น บทเรียนนี้จึงสอนให้เราพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องวันละเล็กวันละน้อย [4]
สัญลักษณ์ต่อมาคงหนีไม่พ้น “เชือกสีชมพู” ที่ปิดส่วนลับของนักซูโม่ไว้ ถือเป็นเครื่องย้ำเตือนถึงพลังของการควบคุมตัวเองและความมีวินัยในการสร้างชีวิตที่มั่งคั่ง มีความสุข และรู้แจ้งมากขึ้น ทั้งนี้ เชือกหนึ่งเส้นประกอบด้วยเชือกเส้นเล็ก ๆ หลายเส้นพันกันเป็นเกลียว โดยแต่ละเส้นนั้นบอบบางและขาดง่ายเมื่ออยู่แยกกัน แต่เมื่ออยู่รวมกันมันจะทนทานและแข็งแกร่งขึ้น วินัยก็เช่นเดียวกัน มันเกิดจากการสร้างนิสัยเล็ก ๆ ที่ดีในแต่ละวัน เช่น การตื่นให้ตรงเวลา กินอาหารที่มีประโยชน์หรือออกกำลังกายสม่ำเสมอ เมื่อรวมกันจนเป็นนิสัยมันจะกลายเป็นพลังที่ทำให้เราควบคุมชีวิตได้ [5]
สัญลักษณ์ที่โดดเด่นคือ “นาฬิกาทองคำ” เพราะการเคารพต่อเวลาเป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด เวลาเป็นทรัพยากรที่ทุกคนมีเท่ากัน แต่แตกต่างกันที่วิธีใช้ จงใช้ทุกวินาทีอย่างมีคุณค่า เพราะเวลาที่ผ่านไปแล้วไม่อาจหวนคืนมาได้ การบริหารเวลาอย่างฉลาดตั้งแต่วันนี้ คือกุญแจสู่ชีวิตที่มั่นคงและมีความสุขในอนาคต ดังนั้น ทุกวินาทีคือ ของขวัญที่ไม่หวนกลับ ใช้เวลาอย่างชาญฉลาดตั้งแต่อายุยังน้อย จะได้ผลตอบแทนเป็นชีวิตที่มั่งคั่งมีประสิทธิภาพ และน่าพึงพอใจ [6]
สำหรับ “กลิ่นดอกกุหลาบ” ที่ทำให้ซูโม่ฟื้นขึ้นนั้น เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกว่าคุณภาพชีวิตขึ้นอยู่กับคุณภาพของการให้ ดั่งสุภาษิตจีนโบราณที่ว่า “มือที่ยื่นกุหลาบให้ผู้อื่นย่อมมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ติดอยู่เสมอ” ดังนั้น หากเราตั้งใจทำสิ่งที่จะช่วยพัฒนาชีวิตของผู้อื่น เท่ากับเราได้ยกระดับชีวิตของตัวเราทางอ้อมไปด้วย การช่วยเหลือและแบ่งปันให้ผู้อื่น ไม่เพียงยกระดับชีวิตของพวกเขา แต่ยังยกระดับหัวใจของเราให้สูงขึ้นด้วย ชีวิตที่มีน้ำใจและเอื้อเฟื้อคือชีวิตที่มีคุณค่าอย่างแท้จริง[7]
สัญลักษณ์สุดท้ายคือ “ทางเดินบนเส้นทางที่ปูด้วยเพชร” การค้นพบความพึงพอใจและความสุขที่ยั่งยืนคือ การชื่นชมกับเส้นทางที่กำลังเดินทางอยู่ นั่นคือ การอยู่กับปัจจุบัน จงใช้ชีวิตเพื่อวันนี้เพราะไม่มีวันไหนเหมือนวันนี้อีกแล้ว ไม่ต้องเสียดายอดีต กังวลกับอนาคต ความสุขไม่ได้อยู่ที่ปลายทาง แต่อยู่ในทุกย่างก้าวของการเดินทาง จงชื่นชมสิ่งเล็ก ๆ รอบตัว เช่น การจิบกาแฟยามเช้า การพูดคุยกับเพื่อน หรือการออกกำลังกายตอนเย็น เพราะความสุขที่แท้จริงคือการซึมซับช่วงเวลาเหล่านี้ด้วยใจที่ตื่นรู้ [8]

แมนเทิลสบตาทุกคน ก่อนกล่าวอย่างสงบและเยือกเย็นว่า “นี่ก็คือ คุณธรรมเจ็ดประการที่จะนำพาชีวิตไปสู่ความสุขชั่วนิจนิรันดร์ เราสามารถมีความสุขและพึงพอใจแบบยั่งยืนในชีวิตเพียงแค่ก้าวทีละน้อยไปบนเส้นทางสู่ความฝัน ชีวิตที่เปี่ยมล้นไปด้วยความมหัศจรรย์เกิดจากการลงมือทำสิ่งเล็ก ๆ ในทุกวัน” [9]
อ่านเพิ่มเติม : จูเลียน แมนเทิล: จากทนายผู้ยิ่งใหญ่สู่การค้นหาความหมายของชีวิต
หมายเหตุ:
[1] Robert S. Sharma, แพรพลอย มหาวรรณ ผู้แปล, พระ เฟอร์รารี่ และความหมายของชีวิต (The Monk Who Sold His Ferrari), จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์วีเลิร์น หน้า 71
[2] Robert S. Sharma, แพรพลอย มหาวรรณ ผู้แปล, หน้า 76
[3] Robert S. Sharma, แพรพลอย มหาวรรณ ผู้แปล, หน้า 121
[4] Robert S. Sharma, แพรพลอย มหาวรรณ ผู้แปล, หน้า 147-148
[5] Robert S. Sharma, แพรพลอย มหาวรรณ ผู้แปล, หน้า 216-219
[6] Robert S. Sharma, แพรพลอย มหาวรรณ ผู้แปล, หน้า 341
[7] Robert S. Sharma, แพรพลอย มหาวรรณ ผู้แปล, หน้า 259
[8] NewVeerachai, สรุปหนังสือ The Monk Who Sold His Ferrari | ค้นพบแผนที่ชีวิตสู่ความสุขที่แท้จริงที่เงินซื้อไม่ได้, www.youtube.com/watch?v=WN_WnI5U9ac
[9] Robert S. Sharma, แพรพลอย มหาวรรณ ผู้แปล, หน้า 288

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา