
"...ที่ผ่านมาไทยเราได้ประกาศและยึดถือเงื่อนไข 4 ข้อในการบรรลุสันติภาพที่ยั่งยืน ดังนั้น ในครั้งนี้ เราก็สามารถยืนยันในเป้าหมายเดิมคือ การกำจัดกำลังรบต่างชาติบริเวณชายแดน เก็บกู้ทุ่นระเบิด ปราบสแกมเมอร์/อาชญา กรรมข้ามแดน และการเคลื่อนย้ายการตั้งรกรากคนเขมรออกจากดินแดนไทย จึงเป็นสิ่งที่เราไม่ต้องเสียเวลาคิดเป้าหมายใหม่และนานาชาติก็รับทราบเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้นแล้ว..."
เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2568 ที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานมีมติให้ระงับการปฏิบัติตามปฏิญญาร่วมไทย-เขมร สืบเนื่องจากทหารไทยต้องเสียขาอีก 1 นาย(เป็นรายที่ 7)จากการเหยียบกับระเบิดที่จว.ศรีษะเกษ และต่อมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้โทรฯ ถึงรัฐมนตรีต่างประเทศเขมรแสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรง และมีหนังสือถึงสหประชาชาติ สหรัฐฯ มาเลเซียและญี่ปุ่น เพื่อแจ้งการละเมิดข้อตกลงสันติภาพฯและการละเมิดอนุสัญญาออตตาวา (ห้ามใช้ทุ่นระเบิด)โดยฝ่ายเขมร พร้อมทั้งจัดบรรยายให้บรรดาคณะทูตรับทราบสถานะการณ์ที่แท้จริงที่เป็นสาเหตุให้ไทยต้องประกาศระงับการปฏิบัติตามข้อตกลงสันติภาพไทย-เขมรไปก่อน เพื่อหาทางหยุดยั้งพฤติกรรมที่เป็นศัตรูของเขมรที่มีประสิทธิภาพและตามความเหมาะสมต่อไป
ฝ่ายเขมรตอบโต้ท่าทีไทยโดยการเปิดฉากยิงใส่ทหารไทยที่บ้านหนองหญ้าแก้ว อันนำไปสู่การปะทะกันประมาณ 10 นาทีโดยฝ่ายเขมรอ้างว่าฝ่ายไทยเริ่มและมีพลเรือนเขมรเสียชีวิตด้วย ซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่าฝ่ายเขมรมีเจตนาที่จะใช้ข้อตกลงสันติภาพฯ มาเป็นฉากกำบังในพฤติกรรมบ่อนทำลายความมั่นคงไทย ดังนั้นการที่รัฐบาลถือว่าสันติภาพจะเกิดต่อเมื่อ“ความเป็นศัตรู”หรือ animosity ของเขมรหมดไปนั้นเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่สุดแล้ว
โดยธรรมชาติแล้วต่างชาติหรือประชาคมโลกจะให้ความสนใจปัญหาขัดแย้งอย่างจริงจังก็ต่อเมื่อผลประโยชน์ของตนกระทบการเทือนโดยตรง ซึ่งในกรณีไทย-เขมรนั้น โดยภาพรวมยังเป็นเรื่องความขัดแย้งที่สาเหตุมาจากสิ่งตกค้างทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยอาณานิคม (แผนที่ 1:200,000 จัดทำสมัยฝรั่งเศสเป็นเจ้าอาณานิคม) ดังนั้น การแก้ปัญหาอย่างรวดเร็วเด็ดขาดและอธิบายได้จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เมื่อการปฏิบัติตามความตกลงที่มีอยู่ถูกบิดพริ้วอย่างจงใจและต่อเนื่อง
ไทยเราได้แสดงเจตจำนงชัดเจนในการแก้ไขปัญหาอย่างสันติวิธี โดยการยินยอมลงนามข้อตกลงสันติภาพ ท้้งที่กำลังอำนาจในด้านต่างๆของเราเหนือกว่าชัดเจน ทั้งนี้ โดยปรกติแล้วประเทศที่มีกำลังเหนือกว่าในทุกด้านและมั่นใจได้ว่าจะเป็นผู้ชนะหากมีการสู้รบกันมักไม่ค่อยใส่ใจที่จะไปลงนามข้อตกลงใดๆ
ในความพร้อมทางทหารของไทยตามที่เคยอ้างว่าหากไม่มีการรีบไปลงนามในความตกลงหยุดยิงกับเขมรในครั้งแรก(โดยรักษาการนายกรัฐมนตรี)เราคงยึดปราสาทตาควายและสามารถตัดทอนกำลังรบฝ่ายตรงข้ามได้ราบคาบ ไม่ต้องเป็นปัญหายึดเยื้อมาถึงปัจจุบัน
ที่ผ่านมาไทยเราได้ประกาศและยึดถือเงื่อนไข 4 ข้อในการบรรลุสันติภาพที่ยั่งยืน ดังนั้น ในครั้งนี้ เราก็สามารถยืนยันในเป้าหมายเดิมคือ การกำจัดกำลังรบต่างชาติบริเวณชายแดน เก็บกู้ทุ่นระเบิด ปราบสแกมเมอร์/อาชญา กรรมข้ามแดน และการเคลื่อนย้ายการตั้งรกรากคนเขมรออกจากดินแดนไทย จึงเป็นสิ่งที่เราไม่ต้องเสียเวลาคิดเป้าหมายใหม่และนานาชาติก็รับทราบเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้นแล้ว
ดังนั้น เมื่อองค์ประกอบเรื่องเจตนารมณ์ทางการเมือง (มติสมช.) ความพร้อมกำลังรบ เหตุผลชี้แจงนานาชาติพร้อม ก็เหลือเพียงปัจจัยเรื่องทำอย่างไรให้สามารถยุติเรื่องแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในเวลารวดเร็วที่สุดที่จะเป็นไปได้เท่านั้น ..ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาล(อนุทิน ชาญวีรกูล)ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและรวดเร็ว
บทความโดย :
เจษฎา กตเวทิน
13 พ.ย.2568

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา