
"...เมื่อมีชัย รณรงค์เรื่องเอดส์ เขาเตือนว่า หากไม่มีการแทรกแซง หรือไม่ทำอะไรจะมีคนติดเชื้อกว่าล้านคนในหนึ่งทศวรรษ....... การประชาสัมพันธ์สุดเร้าใจของมีชัย ถูกนำมาเป็นพาดหัวข่าว โดยได้รับความร่วมมือจากกองทัพไทยในการรณรงค์ผ่านวิทยุและโทรทัศน์..."
ในช่วงเวลา 40 ปี แห่งการเขียนหนังสือ เขียนบทความผ่านสื่อ รวมทั้งการพูดในรายการวิทยุ ได้เขียนและพูดถึง “คนมีค่า” ไปแล้วหลายคน เช่น
ยายไฮ ขันจันทา ครูนิวัฒน์ ร้อยแก้ว พ่อหลวงปรีชา ศิริ ศ.นพ.เสม พริ้งพวงแก้ว ศ.ธีรยุทธ บุญมี ลลิษา มโนบาล (ลิซ่า) อทิวราห์ คงมาลัย (ตูน บอดี้สแลม) ดร.ปรีดี พนมยงค์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ คุณอานันท์ ปันยารชุน ฯลฯ
วันนี้ขอเอ่ยถึง “คนมีค่า” อีกหนึ่งคน
เป็นเรื่องประหลาด ที่คนๆหนึ่ง ซึ่งเกิดในตระกูลที่มีสกุลรุนชาติ และมีฐานะทางเศรษฐกิจดีมีพ่อแม่ซึ่งเป็นแพทย์ทั้งคู่ เป็นคนเพียบพร้อมด้วยคุณวุฒิทุกอย่าง เป็นผู้สามารถจะเลือกใช้ชีวิตที่รื่นรมย์แบบที่คนชั้นสูงนิยมชมชื่นกัน แต่กลับเลือกที่จะไปใช้ชีวิตร่วมกับชาวบ้านที่ขาดแคลนยากไร้ และเข้าไปมีบทบาทยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ให้ผู้คนห่างไกลเหล่านั้นสามารถจะลืมตาอ้าปากได้
คุณมีชัย วีระไวทยะและเพื่อนกลุ่มเล็กๆ จำนวนหนึ่ง จัดตั้งองค์กรเอกชน ที่ไม่มีอำนาจราชการอะไรมารองรับ ไม่มีงบประมาณแผ่นดินมาเกื้อหนุน ไม่มีอำนาจการเมืองมาหนุนหลัง ไม่มีสื่อสำนักใดมาเป็นเครื่องไม้เครื่องมือ แต่กลับสร้างผลงาน ที่เกิดผลสะเทือนมากมายให้แก่สังคมไทย
ผู้เขียน เป็นหนึ่งในจำนวนทีมงานชุดแรกเริ่มของคุณมีชัย วีระไวทยะ เมื่อปี 2517 คือ 51 ปีมาแล้ว

ลดการเกิด
เศรษฐกรหนุ่มแห่งสภาพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติ (สภาพัฒน์ฯ) ในฐานะทำหน้าที่ประเมินผลโครงการได้ตระเวนไปในชนบททุกท้องถิ่นทั่วประเทศ และตกผลึกทางความคิดว่า
“สิ่งที่ผมเห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ว่าจะเดินทางไปแห่งหนใด จะเห็นเด็กจำนวนมากมายเหลือเกิน มีวัยรุ่นอุ้มเด็กทารกคนหนึ่งหรือสองคน ในขณะที่ลูกคนโตก็เกาะผ้าถุงแม่ เมื่อถามว่า ‘มีลูกกี่คน’ คำตอบที่ได้คือ เจ็ดบ้าง สิบบ้าง ด้วยสามัญสำนึกบอกผมว่าการที่ประชากรมีมากล้นมีผลกระทบทางลบในการพัฒนา”
(หนังสือ “ไผ่นอกกอ” ชีวิตและงานของ มีชัย วีระไวทยะ / สนธิ เตชานันทน์ เรียบเรียง)
สามัญสำนึก และความเชื่อที่ว่าการเปลี่ยนแปลงต้องเริ่มจากฐานล่าง คือชุมชน ไม่ใช่เริ่ม จากข้างบนที่มีโครงสร้างเป็นระบบราชการ ทำให้คุณมีชัย วีระไวทยะ กับเพื่อนๆ ร่วมกันตั้งสำนักงานบริการวางแผนครอบครัว ซึ่งต่อมาพัฒนาเป็น สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน (Population & Community Development Association - PDA) เป็นการนับหนึ่งในการรณรงค์เพื่อลดอัตราเกิดของประชากร ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ด้านหนึ่งต้องทำให้รัฐบาลตระหนักในปัญหาการเพิ่มขึ้นของประชากร อีกด้านหนึ่งต้องรณรงค์ให้สตรีในชนบททั่วประเทศเปลี่ยนแปลงทัศนคติให้เห็นว่ามี “ลูกมากจะยากจน”
และแล้วความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ ก็พรั่งพรูออกมาเป็นปฏิบัติการวางแผนครอบครัวที่เป็นจริง
ถุงยางอนามัย ที่คนไทยรู้สึกตะขิดตะขวงใจในการแตะต้องสัมผัส นำมาใช้เป่าลูกโป่งแข่งขันกันของครูและเด็กนักเรียน ในที่ประชุมระหว่างชาติที่โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ คุณมีชัยเอาถุงยางอนามัยไปแจกผู้ร่วมประชุม คุณมีชัยเข้าไปแจกถุงยางถึงสถานบันเทิงที่ถนนพัฒน์พงษ์อย่างเอิกเกริกกลายเป็นข่าวในสื่อมวลชนจนสื่อตั้งชื่อถุงยางว่า “ถุงยางมีชัย” ซึ่งคุณมีชัยต้อนรับฉายานี้ไว้ด้วยความยินดี ทำให้ผู้คนคุ้นชินกับถุงยางอนามัยว่าเป็นของใช้ปกติภายในครอบครัว
นี่คือการเปลี่ยนแปลงทัศนคติอย่างสำคัญ
ควบคู่กันไปกับถุงยางคือการจ่ายยาเม็ดคุมกำเนิด แผงละ 28 เม็ด เท่ากับจำนวนวันของสตรีมีรอบเดือน
ก่อนหน้านั้น คนจ่ายยาคือหมอเท่านั้น ในยุคนั้นหมอหนึ่งคนต่อประชากร 2-3 แสนคน จะแจกทั่วถึงได้อย่างไร คุณมีชัยผลักดันให้แม่ค้าร้านขายของชำ ซึ่งอยู่ใกล้ชิดชุมชนที่สุดเป็นคนแจก ยาเม็ดคุมกำเนิดได้ มีการร่วมกับคุรุสภาอบรมครูนับแสนคนทั่วประเทศให้ช่วยเป็นผู้ถ่ายทอดแนวคิดและวิธีการวางแผนครอบครัวให้กับเด็กนักเรียนและผู้คนในชุมชน
นพ. วิฑูรย์ แสงสิงแก้ว ปลัดกระทรวงสาธารณสุขในเวลานั้น เห็นชอบและสนับสนุน PDA ให้ดำเนินโครงการวางแผนครอบครัว โดยกล่าวว่า
“คุณมีชัยและทีมงานจัดตั้งและอบรมอาสาสมัครครั้งแรกใน 150 อำเภอทั่วประเทศในปี 2516 โดยความเห็นชอบและอนุมัติของ นพ. เชิด โทณะวนิก อธิบดีกรมการแพทย์และอนามัยให้สนับสนุนเต็มที่ อาจกล่าวได้ว่าโครงการนั้นเป็นพื้นฐานการกระจายอำนาจสู่ชนบท ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญทางการพัฒนาประเทศ นับเป็นจุดเริ่มแรกของอาสาสมัครที่ราชการให้การสนับสนุน เช่น อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และต่อมากลายเป็นฐานข้อมูลและฐานปฏิบัติการของ อบต. ในปัจจุบัน”
(หนังสือ “ไผ่นอกกอ” _ อ้างแล้ว)

การวางแผนครอบครัว ที่ได้รับความสนับสนุนดียิ่งจากภาคราชการทำให้อัตราเกิดของเด็กในปี 2517 จากครอบครัวละ 7 คน เหลือเพียง 1.2 คน ในปี 2545 เท่ากับอัตราเพิ่มของประชากรจาก เดิม 3.3 % ลดลงเหลือเพียง 0.5 % เท่านั้น
ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้พูดถึงงานวางแผนครอบครัวไว้ว่า
“ผมมีความนับถือคุณมีชัยเป็นที่สุด และผมยังคงนับถือตลอดไป แม้ชาตินี้ทั้งชาติคุณมีชัยจะไม่ได้ทำอะไรอีกเลย เพราะความสำเร็จของการวางแผนครอบครัวที่คุณมีชัยทำนั้น เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมมากมายจริงๆ”
(หนังสือ “ไผ่นอกกอ” _ อ้างแล้ว)
ลดการตาย
การติดเชื้อ HIV หรือโรคระบาดเอดส์จากต่างประเทศเข้าสู่ไทยราว 40 ปีก่อน น่าสะพรึง
กลัวยิ่งนัก การค้าประเวณี ทั้งทางตรงและทางอ้อมทำให้โรคเอดส์กระจายเหมือนไฟลามทุ่ง ความหวาดกลัวว่านักท่องเที่ยวจะไม่มาเมืองไทย เพราะกลัวโรคเอดส์ ทำให้รัฐมนตรีซึ่งคุมสื่อวิทยุและโทรทัศน์ส่ายหัวไม่เอาด้วย ถึงขั้นประกาศห้ามสื่อออกอากาศเรื่องอันตรายของโรคเอดส์
แทนที่จะไปทะเลาะกับรัฐมนตรี คุณมีชัย ตรงดิ่งเข้าหา พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ผบ.ทบ. ในเวลานั้น โดยชี้แจงว่า
“หากประเทศไทยไม่ทำอะไร ทหารเกณฑ์จำนวนมากจะป่วยตายด้วยโรคเอดส์”
พลเอกชวลิต เห็นคล้อยตามแล้วถามกลับว่า
“จะให้ผมช่วยอะไร”
“ผมขอยืมวิทยุทหารกว่า 300 สถานี และโทรทัศน์ 2 สถานี ช่วยกระจายความรู้เรื่องอันตรายจากโรคเอดส์และการป้องกัน”
จากนั้นเป็นต้นมา ทั้งสารคดี และสปอตวิทยุโทรทัศน์ ผ่านสื่อทุกเหล่าทัพของกองทัพไทย ทำให้สังคมไทยตระหนักภัยของปีศาจร้าย HIV
เมื่อ รสช. ทำรัฐประหาร 23 กพ. 2534 ได้เชิญคุณอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี คุณอานันท์ เชิญคุณมีชัย เป็นรัฐมนตรี โดยเห็นชอบให้คุณมีชัยแก้ไขปัญหาโรคระบาด HIV อย่างจริงจัง นายกรัฐมนตรี รับเป็นประธานคณะกรรมการเอดส์แห่งชาติ ทำให้การรณรงค์ต้านเอดส์มีพลังแรงเหมือนพยัคฆ์ติดปีก โดยได้รับความร่วมมือด้วยดีจากหน่วยงานต่างๆ ในกระทรวงสาธารณสุข
ผลการรณรงค์ ทำให้รัฐบาลและสังคมไทยยอมรับ มีการใช้ถุงยางมีชัยอย่างแพร่หลาย ในหญิงและชายที่เกี่ยวข้องกับการบริการทางเพศ เป็นการควบคุมการกระจายเชื้อ HIV อย่างได้ผลเต็มอัตรา เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและเกิดปฏิบัติการใช้ถุงยางอนามัย 100 %
ไทยสามารถควบคุมการแพร่เชื้อ HIV เป็นตัวอย่างในเวทีสาธารณสุขระหว่างประเทศ ซึ่ง UNAIDS สรุปว่าภายในระยะเวลา 12 ปี (พศ. 2533 - 2545) ประเทศไทยมีการติดเชื้อรายใหม่ลดลง 90 % ผลการรณรงค์ทำให้คนไทย 7,700,000 คน ปลอดพ้นจากการติดเชื้อเอดส์

ลดความไม่รู้
เนื้องานล่าสุดคือ การจัดตั้งโรงเรียนมีชัยพัฒนา ที่ อ. ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ เมื่อปี 2552 เป็นโรงเรียนที่รองรับนักเรียนจากชนบททั่วประเทศเข้าเรียนโดยให้เด็กนักเรียนปลูกต้นไม้และทำความดีแทนการจ่ายค่าเล่าเรียน 16 ปีแห่งการบ่มเพาะให้นักเรียน มีทักษะชีวิต ทักษะอาชีพ และมีหัวใจแบ่งปัน ทำให้โรงเรียนเป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตและเป็นศูนย์กลางการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนรายรอบโรงเรียน ด้วยผลงานรูปธรรมเชิงสร้างสรรค์ ทำให้ รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยกย่องให้เป็นแบบอย่างโรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School) ที่มีโรงเรียน 240 แห่งเข้าร่วมโดยโรงเรียนมีชัยพัฒนาเป็นต้นแบบ ซึ่งก่อนหน้านี้ องค์การกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) กล่าวยกย่องไว้ว่า
“โรงเรียนมีชัยพัฒนา (Bamboo School) เป็นโรงเรียนที่มีนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก”
ใครที่ได้ไปพบไปเห็น ไปสัมผัสนักเรียนที่โรงเรียนมีชัยพัฒนา จะประจักษ์ในความสามารถของเด็กนักเรียนชั้นมัธยมจำนวน 150 คน ปลูกถั่วงอกได้ เพาะเห็ดได้ ทำแผงโซลาร์เป็น เพาะเนื้อเยื่อเป็น ทำงานเป็นทีมได้ มีสัมมาคารวะ และมีหัวใจแบ่งปัน ที่เห็นได้ว่าทุกคนได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
ความจริง สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน (PDA) ยังสร้างสรรค์งาน CSR (Corporate Social Responsibility) คือธุรกิจเพื่อสังคมอย่างเป็นผลมาก่อนหน้านั้นหลายโครงการ เพื่อสร้างจิตวิญญาณแห่งการแบ่งปันในแวดวงธุรกิจ เกิดผลแผ่ขยายมาจนทุกวันนี้
งานทั้งหมดที่ทำอาจนำเอาทฤษฎีจุดพลิกผัน (Tipping Point) ของ Malcolm Gladwell มาอธิบาย โดยเฉพาะคือการให้ความสำคัญกับสิ่งที่เรียกว่า “จำนวน”
แกลดเวล อธิบายว่า “ความคิด ผลิตภัณฑ์ พฤติกรรมมนุษย์ แพร่กระจายออกไปได้เหมือนการกระจายเชื้อไวรัส เมื่อเคลื่อนตัวไปถึงมวลวิกฤต (Critical Mass) คือเมื่อถึงจำนวนหรือปริมาณที่แน่นอน”
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมี ‘ลูกมาก’ ในยุค 60 ปีก่อน กลายเป็น ‘มีลูกน้อย’ ในเวลาต่อมา
การเมินเฉยต่อการเกิดโรคระบาด จากการติดเชื้อ HIV กลายเป็นการใช้ถุงยางอนามัย 100 %
เป็นตัวอย่างว่าไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมเท่านั้น แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงในระดับจิตสำนึกเลยทีเดียว คือเป็นการยินยอมพร้อมใจกันของสังคม
อาจเปรียบเทียบได้กับการต้มน้ำ เมื่อความร้อนของน้ำถึงจุดเดือดที่ 100 องศาเซลเซียส น้ำนั้นจะระเหยกลายเป็นไอ ถ้าน้ำยังร้อนแค่ 60 องศาเซลเซียส น้ำก็จะยังคงเป็นสภาพน้ำอยู่อย่างนั้น
แกลดเวล อธิบายว่า
“ในสังคม เมื่อเกิดภาวะมวลวิกฤต (Critical Mass) และเกิดจำนวนวิกฤต (Critical Number) ซึ่งไม่มีใครตอบได้ว่าเป็นจำนวนเท่าไร ของสมาชิกทั้งหมดของสังคม สังคมก็จะเริ่มยอมรับพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง และจะเกิดการตัดสินใจปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในกลุ่มที่เหลือทั้งหมดไปสู่สภาพใหม่”
ความจริงแล้วบริบทแวดล้อมเป็นปัจจัยสำคัญไม่แพ้กัน
การคิดและการกระทำที่สอดคล้องกับความเป็นจริงจึงเป็นปัจจัยสำคัญของความสำเร็จ
แกลดเวล จึงให้ความสำคัญกับ
1.ผู้เชื่อมต่อ (Connector) คือคนที่ทำให้ความคิดกระจายอย่างแพร่หลาย
2.นักขาย (Salesman) คือคนที่สามารถขายของ ขายความคิด ให้คนอื่นได้
3.ผู้เชี่ยวชาญ (Mavens) คือคนที่มีอิทธิพลทางความคิดต่อคนหมู่มาก สามารถนำเสนอที่ต้องใจ
ผู้คนจำนวนมหาศาลได้
และในความเป็นจริงแล้ว บุคคล 3 ประเภทนี้เป็นคุณสมบัติที่อยู่ในเนื้อในตัวของคุณมีชัย
วีระไวทยะ แล้วนั่นเอง
จึงไม่น่าแปลกใจที่มูลนิธิ บิลล์ แอนด์ เมลินดา เกตส์ มอบรางวัล Gates Award for Global Health 2007 โดยชี้ว่า “PDA ที่นำโดย มีชัย วีระไวทยะ เปลี่ยนแปลงสุขภาพของประเทศชาติและงานของเขากระทบต่อสุขภาพทั่วโลก”
ในขณะที่มูลนิธิรางวัลรามอน แมกไซไซ ให้รางวัลแมกไซไซ ปี 2537 โดยชี้ให้เห็นว่า
“เมื่อมีชัย รณรงค์เรื่องเอดส์ เขาเตือนว่า หากไม่มีการแทรกแซง หรือไม่ทำอะไรจะมีคนติดเชื้อกว่าล้านคนในหนึ่งทศวรรษ....... การประชาสัมพันธ์สุดเร้าใจของมีชัย ถูกนำมาเป็นพาดหัวข่าว โดยได้รับความร่วมมือจากกองทัพไทยในการรณรงค์ผ่านวิทยุและโทรทัศน์”


Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา