
"...การพัฒนาทักษะอภิปัญญาหรือการรู้เท่าทันความคิดของตัวเองจะช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้น เพราะเราจะตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบ วิพากษ์วิจารณ์มากขึ้น เกิดการถ่อมตนทางปัญญา และลดอคติที่เกิดจากระบบคิดทั้งสองได้อย่างมีประสิทธิภาพ นําไปสู่การตัดสินใจและการแก้ปัญหาที่ดีขึ้น..."
สวัสดีครับ
วันแรกของการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ชั้นสูงของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด อาจารย์ตั้งโจทย์ถามนักศึกษาว่า “ราคาไม้ปิงปองและลูกปิงปองรวมกัน 1.10 ดอลลาร์สหรัฐฯ และไม้ปิงปองแพงกว่าลูก 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ลูกปิงปองราคาเท่าไหร่?” นักศึกษากว่าครึ่งห้องพร้อมใจกันยกมือตอบว่า “10 เซ็นต์”
พวกเราคิดเร็ว ๆ คงจะบอกว่าเป็นคำตอบที่ถูกต้อง และมีเพียงไม่กี่คนที่จะทักท้วงว่าเป็นคำตอบที่ผิด เพราะหากลูกปิงปองราคา 10 เซ็นต์ หมายถึงราคาไม้ต้องเท่ากับ 1.10 ดอลลาร์สหรัฐฯ รวมกันเป็น 1.20 ดอลลาร์สหรัฐฯ เกินกว่ามูลค่าที่โจทย์กำหนด คำตอบที่ถูกคือราคาลูกปิงปองต้องเท่ากับ 5 เซ็นต์เท่านั้น
โจทย์ข้างต้นไม่ได้เป็นการทดสอบไอคิวหรือความเก่งทางคณิตศาสตร์ แต่บ่งบอกว่าระบบการคิดของสมองเราถูกแบ่งออกเป็น 2 ระบบ ระบบแรกคือ คิดตอบอย่างรวดเร็ว อัตโนมัติ และมักจะขึ้นอยู่กับอารมณ์และสัญชาตญาณ และระบบที่สองคือ คิดตอบอย่างเป็นระบบ มีกระบวนการ ต้องใช้ความพยายามและการคิดอย่างมีเหตุผล มักจะเกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์และการตัดสินใจที่ซับซ้อน
รูปแบบการคิดทั้ง 2 ระบบเป็นกลไกที่เรานำไปใช้ในการดำรงชีวิตในแต่ละวัน ระบบคิดเร็วทำเร็วจะตอบโจทย์เลขง่าย ๆ เช่น 2 บวก 2 เท่ากับเท่าไหร่? หรือการขับรถในท้องถนน เป็นสิ่งที่สมองสามารถสั่งและคิดทันทีโดยอัตโนมัติ ในขณะที่ระบบคิดช้า ต้องมีสติสัมปชัญญะ มีเหตุผลที่มีความเชื่อในการตัดสินใจเลือก และคิดว่าต้องทำอย่างไร เช่น การทำโจทย์เลขที่ซับซ้อน หรือการตัดสินใจทำแผนยุทธศาสตร์

อย่างไรก็ดี ด้วยสมองของเราที่แม้จะหนักเพียง 2% ของร่างกาย แต่ใช้พลังงานในร่างกายกว่า 20% ต้องมีการบริหารจัดการพลังงานที่มีให้ก่อประโยชน์สูงสุด ทำให้ระบบ 1 เข้ามาควบคุมการตัดสินใจของเรามากกว่าที่เราคิด เรียกว่าเป็นจอมเผด็จการ แม้ว่าระบบ 2 จะเป็นฮีโร่ในชีวิตของเราก็ตาม ทั้งนี้ หากเราไม่ใช้ระบบ 2 เพื่อตรวจสอบการตัดสินโดยสัญชาตญาณของระบบ 1 เราอาจตัดสินใจผิดพลาด เช่น เลือกอาชีพที่ไม่ถูกต้อง เลือกพันธมิตรทางธุรกิจพลาดไป หรือมุ่งมั่นในโครงการที่ไม่ถูกต้อง
แดเนียล คาห์เนแมน (Daniel Kahneman) นักจิตวิทยา เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ได้รับฉายาว่าเป็น “บิดาแห่งเศรษฐศาสตร์เชิงพฤติกรรม” ได้ทำวิจัยในเรื่องระบบความคิดมายาวนานกว่า 40 ปี ก่อนนำมาเขียนหนังสือชื่อ Thinking, Fast and Slow ถือเป็นหนังสือสุดยอดคัมภีร์จิตวิทยาด้านความคิด ได้ยกสาเหตุที่ระบบความคิดที่ 1 เข้ามาครอบงำระบบที่ 2 เพื่อให้เราได้ตระหนักรู้ และทำให้เราสามารถ “ถ่อมตนทางปัญญา” เพื่อให้ระบบความคิดของเราได้ใช้อย่างมีเหตุมีผล1/
สาเหตุแรกคือ การยึดติดกับข้อมูลที่โลดแล่นอยู่ในสมองของเรา เกิดขึ้นเมื่อเรามักพึ่งพาข้อมูลชิ้นแรกที่ได้รับ มากจนเกินไปเมื่อทำการตัดสินใจ ตัวอย่างเช่น หากถูกถามว่าประชากรของเมืองมีมากกว่าหรือน้อยกว่า 5 ล้านคน ตัวเลขนั้นจะกลายเป็นจุดยึดที่ส่งผลต่อการประมาณการของเรา แม้ว่าจะรู้ว่ามันไม่ถูกต้องก็ตาม ผลกระทบนี้สามารถนําไปสู่การตัดสินและการตัดสินใจที่มีอคติ

สาเหตุที่สองคือ การประเมินแบบคิดเร็ว ใช้ความง่ายเข้าไว้ เพื่อหาทางลัดในการตัดสินใจ เกิดขึ้นเมื่อผู้คนตัดสินความเป็นไปได้ของเหตุการณ์โดยพิจารณาจากความง่ายดายของตัวอย่างที่เข้ามาในใจ ตัวอย่างเช่น หากเราเพิ่งได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเครื่องบินตก เราอาจประเมินความเสี่ยงในการบินสูงเกินไป ทั้ง ๆ ที่อุบัติเหตุทางรถยนต์มีความเสี่ยงสูงกว่า เพราะเหตุการณ์นั้นยังสดใหม่ในความทรงจำ นําไปสู่การตัดสินที่มีอคติ เนื่องจากเรามักจะมุ่งเน้นไปที่ข้อมูลที่มีอยู่หรือข้อมูลล่าสุดมากกว่าการพิจารณาข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
สาเหตุที่สามคือ อคติในความคิด เกิดจากภาพลวงตาของความถูกต้อง อคติที่ผู้คนประเมินความน่าเชื่อถือของการตัดสินของตนสูงเกินไป โดยพิจารณาจากข้อมูลที่จํากัด ภาพลวงตานี้ทำให้เชื่อว่าการคาดการณ์หรือการตัดสินใจแม่นยํากว่าที่เป็นอยู่ แม้ว่าข้อมูลจะไม่น่าเชื่อถือหรือมีข้อบกพร่องก็ตาม ภาพลวงตาของความถูกต้องสามารถนําไปสู่การตัดสินใจที่ไม่ดี เนื่องจากเราอาจเพิกเฉยต่อข้อมูลที่เชื่อถือได้มากขึ้นเพื่อสนับสนุนความเชื่อนั้น
สาเหตุสุดท้ายคือ ความมั่นใจในตัวเองมากเกินไป เกิดจากการประเมินความสามารถ ความรู้ และการคาดการณ์ของเราสูงเกินไป อคตินี้อาจนําไปสู่ความเสี่ยงที่มากขึ้นและการตัดสินใจที่ระมัดระวังน้อยลง ตัวอย่างเช่น บางคนอาจมั่นใจมากเกินไปในการคาดการณ์แนวโน้มของตลาดหุ้น ซึ่งส่งผลให้การลงทุนมีความเสี่ยงตามความไม่แน่นอน ทั้งนี้ ความมั่นใจมากเกินไป ส่งผลกระทบต่อการเงินส่วนบุคคล การเลือกธุรกิจ การกำหนดนโยบาย และการวางแผนเชิงกลยุทธ์

Daniel Kahneman แบ่งระบบการคิดออกเป็น 2 ระบบ คือ
1. Fast Thinking: คิดอย่างรวดเร็ว อัตโนมัติ 2. Slow Thinking: คิดอย่างเป็นระบบ มีกระบวนการ
การตัดสินใจด้วยสัญชาตญาณมักนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด คาห์เนแมนได้เขียนทิ้งท้ายว่า “การพัฒนาทักษะอภิปัญญาหรือการรู้เท่าทันความคิดของตัวเองจะช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้น เพราะเราจะตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบ วิพากษ์วิจารณ์มากขึ้น เกิดการถ่อมตนทางปัญญา และลดอคติที่เกิดจากระบบคิดทั้งสองได้อย่างมีประสิทธิภาพ นําไปสู่การตัดสินใจและการแก้ปัญหาที่ดีขึ้น”
บทความโดย :
รณดล นุ่มนนท์
1 ธันวาคม 2568
แหล่งที่มา:
1/Bishal Saha, “Thinking, Fast and Slow” Book Summary and Quotes, Rufbuk, 6 September 2024
https://rufbuk.com/thinking-fast-and-slow-by-daniel-kahneman/

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา