
“…อีกประเด็นหนึ่งที่อาจเป็นโอกาสสำคัญของประเทศไทย คือ เราจะมีการเลือกตั้ง ซึ่งวันนี้ผมคิดว่าปัญหาประเทศไทย ทุกคนทราบหมดแล้วว่า ปัญหาคืออะไร รู้ด้วยว่าต้นเหตุของปัญหาคืออะไร เรารู้ด้วยว่าจะแก้อะไร แต่จะแก้อย่างไร ผมคิดว่ามันเป็นปัญหา เรามีทุกข์แล้ว เรามีสมุทัยแล้ว เรามีนิโรธแล้ว เราขาดแต่มรรคอย่างเดียว ว่าเราจะพาตัวเองไปอย่างไร…”
......................................
หมายเหตุ : พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย กรรมการผู้จัดการหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวในหัวข้อ ‘วิเคราะห์เศรษฐกิจไทยปีม้าไฟ จะ‘ปัง’หรือต้อง‘ระวัง’? ในมุมมองนักเศรษฐศาสตร์ ภายในงาน ‘คู่หูเศรษฐกิจฝ่าวิกฤตสู่ความยั่งยืน’ จัดโดยสมาคมเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.2568
@จับตา 4 ปัจจัย‘สนับสนุน-กดดัน’เศรษฐกิจโลกปีหน้า
ก่อนที่จะไปดูเศรษฐกิจไทย เราต้องวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจโลกก่อน จากมุมมองของ Bank of America เศรษฐกิจโลกปีหน้า น่าจะคล้ายๆกับปีนี้ คือ Growth ใกล้เคียงกัน เศรษฐกิจโลกปีหน้าน่าจะโต 3.3% เทียบกับปีนี้ที่คาดว่าจะโต 3.4% แต่มีหลายปัจจัยที่ต้องจับตามอง
ประเด็นแรก ถ้าพูดถึงเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งที่สุด ยังคงเป็นสหรัฐฯ ไตรมาสแล้วสหรัฐโตเกิน 3% ปีหน้าจะโตใกล้ 2% ครึ่ง จากปีนี้ที่คาดว่าจะโต 2% เหนือกว่าศักยภาพที่โตได้ 2% แต่ตรงนี้คงต้องใช้คำว่า ‘k shaped economy’ ของโลก เพราะในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐและจีนค่อยๆฟื้นตัว แต่ประเทศในยุโรป ญี่ปุ่น ยังคงต้องระมัดระวังในภาพรวมอยู่
ขณะเดียวกัน นโยบายการค้าของสหรัฐ ก็ยังไม่จบ และคงรอผลของศาลฎีกาฯสหรัฐว่า จะสรุปอย่างไร และเมื่อสรุปแล้วสหรัฐฯจะไปเจรจากับประเทศอื่นๆอย่างไร
แม้กระทั่งในสหรัฐฯเอง คำว่า ‘k shaped’ ก็เป็นภาพที่ค่อนข้างชัด วันนี้ทุกคนพูดถึง AI Optimism ค่อนข้างเยอะว่า ปัจจัยหนึ่งที่สนับสนุนให้เศรษฐกิจสหรัฐโตได้ คือ การลงทุน AI ,ดาต้า เซ็นเตอร์ และเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การค้ำยันตลาดหุ้นเท่านั้น แต่ยังมีส่วนช่วยต่อจีดีพีสหรัฐฯประมาณ 1% ครึ่ง ในช่วง 2 ไตรมาสล่าสุด
“ถ้า 2 ไตรมาสหลัง ไม่มีการลงทุน AI เศรษฐกิจสหรัฐจะโตช้ากว่านี้มาก วันนี้คำว่า AI Optimism คำว่า expectation ของ AI ยังช่วยค้ำยันตลาดหุ้นอยู่ ทำให้มีการบริโภค และมีการลงทุนค่อนข้างมาก แค่คงต้องจับตาดูว่า ในปี 2026 ที่คนคาดหวังเกี่ยวกับ AI ไว้มาก จะ Justify (พิสูจน์ว่าถูกต้อง) หรือไม่ เงินลงทุนที่ลงไป ให้ผลตอบแทนคุ้มหรือไม่”
ประเด็นที่สอง มีปัจจัยที่สนับสนุนทั้งเศรษฐกิจและตลาดการเงินต่างๆ ก็คือ ‘สภาพคล่อง’ ถึงแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมา มีการขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว แต่การขยายตัวของสภาพคล่องและเครดิต เช่น เรื่อง Private Credit การปล่อยสินเชื่อ และการเก็งกำไรต่างๆ ยังเป็นสิ่งที่สนับสนุนเศรษฐกิจ ดังนั้น ในปีหน้าคิดว่าประเด็นนี้ยังคงเป็นสิ่งที่คนจับตาดูกันต่อเนื่อง
ประเด็นที่สาม เรื่องที่หลายคนคงต้องดูต่อไปว่า จะเป็นอย่างไร คือ เศรษฐกิจจีน ถ้าใครติดตามเศรษฐกิจจีน จะรู้ว่ามี 3 เรื่องที่ต้องติดตาม คือ 1.ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เจอประเด็นปัญหาฟองสบู่แตกไป และการฟื้นตัวยังคงฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่นัก ส่งผลให้การบริโภคและการลงทุนในประเทศจีนยังทำได้ไม่เต็มที่
2.ภาคการผลิต เมื่อเศรษฐกิจและภาคอสังหาริมทรัพย์โตได้ไม่ดี จีนก็ไปเร่งการผลิต ทำให้เกิดปัญหา over capacity มีการผลิตเยอะกว่าความจำเป็นและความต้องการ ถ้าเราไปดูเงินเฟ้อในจีน มีสถานการณ์ค่อนข้างน่ากังวล คือ ปีนี้เงินเฟ้อติดลบ และปีหน้าก็เชื่อว่าเงินเฟ้อจะใกล้ 0%
อย่างไรก็ดี เนื่องจาก Excess capacity (กำลังการผลิตส่วนเกิน) ไม่ได้จบที่ประเทศจีน สินค้าที่ถูกผลิตจำนวนมาก ไหลมาแถวประเทศไทยด้วยเหมือนกัน จึงต้องใช้คำว่าจีนส่งออก deflation (ภาวะเงินฝืด) ให้กับโลก และทำให้ความสามารถในการแข่งขันของสินค้าประเทศต่างๆ ในอาเซียน รวมถึงประเทศไทย ได้รับผลกระทบ
และ 3.การลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ เช่น AI Tools ของจีน ซึ่งจีนพอสู้กับสหรัฐได้ แต่ยังเป็นสิ่งที่ต้องจับตาดูต่อไปว่าจะเป็นอย่างไร
ประเด็นที่สี่ ที่ต้องดู คือ ปัญหาเรื่องการคลัง เราจะเห็นว่า ภาระหนี้ของหลายๆประเทศในโลก เริ่มถูกตั้งคำถามมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา เราเห็น ‘บอนด์ยิลด์’ ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ปรับตัวเพิ่มขึ้น แล้วเราก็เคยเห็น Mini Crisis เกี่ยวกับเรื่องนี้เกิดขึ้นในอังกฤษมาแล้ว
ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา เราเห็นคนตั้งคำถามเกี่ยวกับพันธบัตรรัฐบาลของอังกฤษ พันธบัตรรัฐบาลของสหรัฐ รวมไปถึงนโยบายล่าสุดญี่ปุ่น ที่เริ่มจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกแล้ว ท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น และหนี้สาธารณะอยู่ที่ระดับสูงกว่า 200% ของจีดีพี ดังนั้น ในปีหน้า คำถามเรื่องวิกฤตทางการคลังจะถูกกลับมาพูดคุยกันมากขึ้น
@เศรษฐกิจไทยโตช้า-‘ขนาดจีดีพี’ส่อร่วงสู่อันดับ 5 ใน 15 ปี
ส่วนประเทศไทย ภายใต้เศรษฐกิจโลก กรณี ‘base case’ คือ เชื่อว่าไม่มีวิกฤต แต่มีปัจจัยเสี่ยงที่มีการตั้งคำถามว่า จะทำให้เกิดการสะดุดและนำไปสู่วิกฤตได้หรือไม่ ผมคิดว่าประเทศไทยจะเจอปัญหาที่ต่อเนื่องจากปีนี้ โดยในปีนี้มีการคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจไทยอยู่ที่ 2-2.2% ซึ่งเป็นตัวเลขก่อนรวมผลของน้ำท่วม
แต่ถ้าไปดูการคาดการณ์เศรษฐกิจในปีหน้า (ปี 2569) ส่วนใหญ่มองว่า จีดีพีของไทยน่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.6-1.8% ทั้งนี้ สภาพัฒน์ให้ตัวเลขไว้ในช่วง 1.2-2.2% ส่วนแบงก์ชาติให้ตัวเลขไว้ที่ 1.6% แสดงว่าในปีหน้าหน่วยงานส่วนใหญ่มองว่าเศรษฐกิจไทยในแง่ของตัวเลขจะโตช้ากว่าปีนี้อีก
ถามว่าทำไมเศรษฐกิจไทยปีหน้า จึงโตช้ากว่าปีนี้ ก็เป็นเพราะฐานของเมื่อต้นปีนี้ที่ค่อนข้างสูง ทั้งนี้ จีดีพีไตรมาส 1/2568 โต 3.2% และไตรมาส 2/2568 โต 2.8% นั้น จะพบว่าในช่วงไตรมาส 1 เรายังไม่มีปัญหาเรื่องนักท่องเที่ยวจีน แต่เราเริ่มเห็นนักท่องเที่ยวจีนทยอยลดลง ในช่วงไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ต่อเนื่อง
ดังนั้น จีดีพีในช่วงต้นปีหน้าจะเจอฐานที่ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบเป็นปีต่อปี จีดีพีในช่วงต้นปีหน้าน่าจะออกมาค่อนข้างแย่ แต่ถ้าจะมีอะไรดีขึ้น ก็น่าจะเป็นในช่วงปลายปีไปแล้ว และถ้าการเริ่มต้นปี ด้วยเศรษฐกิจที่คาดว่าจะโตประมาณ 1% ก่อนแล้ว กว่าจะตามทันในช่วงหลัง มันก็ค่อนข้างยาก
แต่ปัญหาของประเทศไทยที่สำคัญกว่า คือ เราอยู่ในแนวโน้มของเศรษฐกิจที่โตช้า บุญเก่าอ่อนแรง บุญใหม่ยังไม่มา แล้วก็มีคำถามว่า อะไรจะเป็น engine of growth ของประเทศไทยในอนาคต
สมัยก่อน ถ้าเราจำกันได้ engine of growth ของเมืองไทย คือ ภาคการท่องเที่ยว ภาคการผลิต และภาคการบริโภคภายในประเทศ แต่วันนี้เราเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ ว่า เครื่องจักรเหล่านั้นอ่อนแรงลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะความสามารถในการผลิตของภาคอุตสาหกรรม และเรายังหาไม่เจอว่า อะไรจะเป็น engine of growth ที่จะดึงเศรษฐกิจกลับขึ้นไป
ยิ่งถ้าเราดูแนวโน้มเศรษฐกิจระยะยาวค่อนข้างชัดว่า สมัยก่อนเศรษฐกิจเราเคยโต 7% แล้วเราเหลือโต 5% และเหลือโต 3% โดยเฉพาะหลังโควิดเรายากลำบากมาก แค่จะเอาเศรษฐกิจให้กลับไปที่ 2% ยังเหนื่อยเลย และวันนี้เราพูดถึงเศรษฐกิจปีหน้าว่าจะโต 1.6-1.8% เท่านั้น
แล้วปัจจัยที่ค่อนข้างน่ากังวลมากกว่า ไม่ใช่เพียงแค่เศรษฐกิจของเราโตช้า เมื่อเทียบกับตัวเองเมื่อในอดีตเท่านั้น แต่เรากำลังโตช้า เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านด้วย คำว่าประเทศไทยเป็น ‘คนป่วยคนใหม่’ ของเอเชียหรืออาเซียน ถูกตั้งคำถามบ่อยครั้งขึ้น และถูกตั้งคำถามขึ้นเรื่อยๆ
ปัจจุบันขนาดจีดีพีของไทย ตามหลังสิงคโปร์ประมาณ 11 เท่า ขณะที่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จีดีพีสิงคโปร์โตโดยเฉลี่ยประมาณ 4% แต่ไทยเราโตเฉลี่ยประมาณ 2% และเราโตต่ำกว่า 2% ไปอีก 1-2 ปีข้างหน้า ถามว่าถ้าเป็นอย่างนี้ อีกกี่ปีเราจึงจะตามสิงคโปร์ทัน แน่นอนว่าถ้าเรายังเป็นอย่างนี้เรื่อยๆ คำตอบ คือ ไม่มีทางทันเลย
หรืออย่างมาเลเซียที่เจอปัญหาคล้ายๆกับไทย คือ เศรษฐกิจเขาโตขึ้น รวยขึ้น แล้วเศรษฐกิจก็โตช้าลง แต่พอถึงจุดแล้ว ดูเหมือนว่าเศรษฐกิจมาเลเซีย เริ่มเสถียรและมีแนวโน้มปักหัวขึ้น ในขณะที่ไทยวิ่งลงอย่างนี้เลย คำถาม คือ ไม่ใช่แค่เราตามคนข้างหน้าไม่ทัน แต่คนที่ตามมาข้างหลังเรา กำลังโตเร็วกว่าเราด้วย เรากำลังถูกบีบอยู่ตรงกลาง
ปัจจุบันระดับจีดีพีในอาเซียน เราอยู่ที่ 2 อาเซียน แต่ในอีก 15 ปีข้างหน้า มีความเป็นไปได้ว่า เราจะหล่นไปอยู่ที่อันดับ 5 ของอาเซียน 10 ประเทศ ถ้าเราไม่สามารถที่จะดันให้เศรษฐกิจกลับมาโตได้
@ชี้ 3 ปัญหาระยะสั้น-‘ประชากร’ลด ฉุดภาพศก.ระยะยาว
แล้วปัญหาของเราอยู่ตรงไหน อยากจะฉายภาพปัญหาในระยะสั้นก่อนว่า ปัญหาของเราวันนี้ มีอะไรบ้าง อันแรก ซึ่งเป็นปัญหาที่เรากังวลที่สุด คือ เรื่องความสามารถในการแข่งขัน เราเริ่มเห็นแล้วว่า ถึงแม้ว่าประเทศไทยมีการส่งออกดีมาก โดยตัวเลขการส่งออกในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาโต 10% และส่งออกเป็นสหรัฐโต 30%
แต่ที่อยากให้ดู คือ การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนล่าสุดบวกได้เพียง 1% ในขณะที่ส่งออกโต 19% ฉะนั้น เวลาเราบอกว่า การส่งออกของเราโตดีนั้น ไม่ได้แปลว่าเศรษฐกิจเราจะโตดีอีกต่อไปแล้ว แน่นอนว่าส่วนหนึ่งอาจจะมาจากเรื่อง transshipment ,เรื่อง Rerouting หรืออะไรต่างๆ
วันนี้อุตสาหกรรมปิโตรเคมี อุตสาหกรรมรถยนต์ อาหารและเครื่องดื่ม กำลังจะเจอแรงกดดันที่ลบ และลบหนักกว่าเซ็กเตอร์ที่ได้รับประโยชน์จากการส่งออก ส่วนหนึ่ง คือ เรากำลังเจอการแข่งขันจากสินค้านำเข้า ที่เข้ามาหนักขึ้นเรื่อยๆ จนถูกตั้งคำถามว่า บุญเก่าของเรากำลังหายไป เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ ซึ่งเป็นเซ็กเตอร์ใหญ่ที่สุด อะไรจะมาแทน
อันที่สอง คือ เครื่องจักรการท่องเที่ยว ถ้าเราดูในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จะพบว่า contribution to growth จากการท่องเที่ยว คิดเป็นมากกว่า 100% ของ GDP growth ของเรา แปลว่า ถ้าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา การท่องเที่ยวไม่โต จีดีพีเราก็แทบจะไม่โตเลย และเมื่อการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบ เราจะเห็นกว่า กลุ่มร้านอาหาร กลุ่มโรงแรม การเติบโตจะช้าลง
หลายคนบอกว่า เราอยากได้การท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ จำนวนไม่ต้องสนใจ แต่ว่าวันนี้เราเจอปัญหาว่า “จำนวนก็ไม่มา คุณภาพคุณภาพก็ไม่ตาม” ก็เลยกลายเป็นปัญหาที่สำคัญ แน่นอนว่าเราคงพึ่งพาการท่องเที่ยวอย่างเดียวไม่ได้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การท่องเที่ยวเป็นเครื่องจักรที่สำคัญของเศรษฐกิจไทย
อันที่สาม คือ ปัญหาเรื่องหนี้ แล้วเรื่อง financial deleveraging คือ ภาวะที่ธนาคารไม่ค่อยอยากปล่อยกู้ แล้วคำถามว่า ทำไมธนาคารไม่ค่อยอยากปล่อยกู้ ก็เป็นเพราะธนาคารกังวลเรื่องเศรษฐกิจเหมือนกัน ถ้าปล่อยไปแล้วไม่ได้คืนจะทำอย่างไร แล้วเราก็เห็นจริงๆ ว่า พอธนาคารปล่อยกู้ช้าลง การบริโภคภายในประเทศก็โตช้าลงเหมือนกัน
อันนี้เป็นโจทย์สำคัญที่ต้องถูกตั้งคำถามว่า เราจะปลดล็อกได้อย่างไร เพราะไม่เช่นนั้น มันจะกลายเป็น Negative Feedback Loop คือ เศรษฐกิจโตช้า ธนาคารไม่อยากปล่อย ธนาคารไม่อยากปล่อย เศรษฐกิจแย่ไปอีกไปเรื่อยๆ เราจึงต้องหาวิธีที่ปลดล็อกตรงนี้
นอกเหนือจากปัญหาระยะสั้นที่เราเจอ คลื่นสึนามิที่ใหญ่ที่ใหญ่ที่สุดที่กำลังพาเราเข้าสู่ปัญหาเศรษฐกิจโตช้า คือ โครงสร้างประชากร เราเป็นไม่กี่ประเทศในเอเชีย และประเทศไม่กี่ประเทศในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ที่ประชากรกำลังลดลง ประชากรวัยทำงานลดลงมาตั้งแต่ปี 2015 และประชากรโดยรวมก็กำลังลดลงเช่นกัน
ที่เราบอกว่า ตอนนี้เศรษฐกิจไม่ดี ตัวเลขยอดขายรถ ยอดขายบ้านลดลง แต่ถ้าเราไปดูภาพยาวๆ เมื่อประชากรวัยทำงานลดลง ก็ต้องตั้งคำถามแล้วว่า ใครจะมาซื้อรถ ซื้อบ้าน หากเราพยากรณ์ไปข้างหน้าว่า จำนวนประชากรวัยทำงานในประเทศเรา มีแต่จะลดลงไปเรื่อยๆ
แน่นอนการฟื้นตัวมีแน่นอน แต่การฟื้นตัวระยะสั้นจะถูกแนวโน้มระยะยาวข่มเอาไว้ อันนั้นเป็นปัญหาใหญ่มากๆที่เราคงต้องพูดคุยว่า เราไม่สามารถแก้ปัญหาระยะสั้นได้ โดยที่เราไม่ดูภาพระยะยาว
@มอง‘เลือกตั้ง’เป็นโอกาสดี มี‘ผู้นำเสนอ’แนวทางแก้เศรษฐกิจ
อย่างไรก็ดี ผมคิดว่าเรามีข่าวดีบางอัน และมีสัญญาณที่เราเริ่มเห็นเป็นบวก คือ การท่องเที่ยวอาจจะฟื้นตัวขึ้น หลังจากจีนทะเลาะกับญี่ปุ่น คนจีนไม่ไปญี่ปุ่นแล้ว เดี๋ยวอาจมาเที่ยวที่ประเทศไทยแน่ๆ อันนั้นอาจเป็นข่าวดีที่พอจะตั้งความหวังได้ในปีหน้า
อีกอันหนึ่งที่เราเห็น คือ ตัวเลขการลงทุนจากต่างประเทศเริ่มขยับเยอะขึ้น ในแง่ของใบสมัครและโครงการที่รับการอนุมัติส่งเสริมการลงทุน แต่คงต้องเจอคำถาม 2-3 เรื่อง คือ เมื่อไหร่เม็ดเงินจะมา ทำอย่างไรที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยได้รับประโยชน์จากการลงทุนเพิ่มขึ้น เช่น ทำให้ซัพพลายเชนในประเทศได้ประโยชน์ สร้างงานดีๆให้แรงงาน
เพราะถ้าดูอุตสาหกรรมที่เข้ามา ใหญ่ที่สุด คือ เดต้าเซ็นเตอร์ หลายๆคนตั้งข้อสังเกตว่า เดต้าเซ็นเตอร์ อาจจะมี อิมพอร์ตคอนเทนต์ค่อนข้างเยอะ และมีจำนวนการจ้างงานไม่เยอะมาก ดังนั้น โจทย์ที่สำคัญ คือ ทำอย่างไรให้เราได้ประโยชน์จากเงินลงทุนพวกนี้
“อีกประเด็นหนึ่งที่อาจเป็นโอกาสสำคัญของประเทศไทย คือ เราจะมีการเลือกตั้ง วันนี้ผมคิดว่าปัญหาประเทศไทย ทุกคนทราบหมดแล้วว่าปัญหาคืออะไร รู้ด้วยว่าต้นเหตุของปัญหาคืออะไร เรารู้ด้วยว่าจะแก้อะไร แต่จะแก้อย่างไร ผมคิดว่ามันเป็นปัญหา
เรามีทุกข์แล้ว เรามีสมุทัยแล้ว เรามีนิโรธแล้ว เราขาดแต่มรรคอย่างเดียว ว่าเราจะพาตัวเองไปอย่างไร โอกาสที่เราเห็นการเลือกตั้ง ผมคิดว่าเป็นข้อดี คือ เราอยู่ดีๆ เราจะมีคนมานำเสนอหนทางแห่งการนำไปสู่การดับทุกข์ให้เรา”

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา