
"...รัฐบาลไทยเน้นย้ำเรื่อง สิทธิในการป้องกันตัวเอง (self-defense) ในสัดส่วนที่เหมาะสม (proportionate) ตามหลักการของกฏหมายระหว่างประเทศ ในการพิจารณาเรื่องสัดส่วนที่เหมาะสมที่เป็นเรื่องนามธรรมนั้น มี 2 องค์ประกอบหลักที่สามารถยึดเป็นข้อพิจารณาได้ คือ การรวบรวมกำลังพลและยุทโธปกรณ์ทางทหาร (military mobilization)และเจตนาเพื่อใช้กำลังดังกล่าวทำลายล้างคู่ต่อสู้ ซึ่งฝ่ายเขมรมี 2 องค์ประกอบนี้ชัดเจน (กล่าวคือ ไม่ต้องรอวัดความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการโจมตี)..."
ภายใต้สถานะการณ์สู้รบชายแดนไทย-เขมรที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นตามลำดับ ทำให้เกิดกระแสชาตินิยมและกระแสต่อต้านสงครามขึ้นในสังคม ซึ่งก็ถือเป็นปรกติในสังคมประชาธิปไตย แต่ไม่ว่าเราจะเชื่อในแนวทางใดก็ควรจะเป็นไปตามข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องแม่นยำ
ในการนี้ ผมจึงขอนำเสนอกรอบความคิดเพื่อเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งของสังคมไทยในการพิจารณาหาทางออกร่วมกัน ดังนี้
1.ในการดำเนินงานเชิงรุกในการให้ข่าวโดยกระทรวงการต่างประเทศพบว่า ประเด็นสำคัญที่ต่างชาติรับรู้ขณะนี้คือ ทั้งไทยและเขมรต่างอ้างว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายเริ่มความรุนแรง ไม่รู้จะเชื่อฝ่ายไหนดีและยังไม่มีบทสรุปชัดเจนว่าเหตุใดเขมรซึ่งศักยด้อยกว่าไทยในทุกๆด้านจึงจะสามารถลุกขึ้นสวมบทผู้รุกราน รวมถึงหมุดหมายสุดท้ายของความขัดแย้งครั้งนี้อยู่ที่ไหน
จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ฝ่ายไทยควรมีคำอธิบายที่ชัดเจนเพื่อให้เห็นว่า การที่เขมรมีระบบปกครองแบบเผด็จการณ์อย่างสมบูรณ์ อำนาจทุกอย่างจึงรวมศูนย์อยู่ที่ตระกูลฮุน ที่มีนาย ฮุน เซ็น มีอำนาจสูงสุด การพิจารณาเหตุผลของการตัดสินใจนโยบายที่คอขาดบาดตายจึงต้องดูที่ผลประโยชน์ส่วนบุคคลมากกว่าเรื่องอื่น
ทั้งนี้ เป็นที่รับทราบกันว่าผลประโยชน์ส่วนบุคคลของผู้นำเขมรมีความเกี่ยวโยงกับผลประโยชน์จากอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะจากสแกม และพนันออนไลน์ จึงทำให้การพิจารณาเหตุผลของฝ่ายเขมรในการเลือกใช้กำลังกับไทยเป็นเรื่องที่ซับซ้อนขึ้นไปอีก
นอกจากนี้ ระบบการปกครองที่อำนาจและผลประโยชน์อยู่ในมือคนไม่กี่คนทำให้เกิดแรงต่อต้านทางการเมืองมากขึ้น ดังนั้น การปลุกกระแสชาตินิยมโดยสร้างศัตรูร่วมของประเทศ เพื่อดึงความสนใจออกมาจากปัญหาเฉพาะหน้าจึงเป็นสิ่งที่ผู้นำพวกนี้ถนัดที่จะใช้ และไทยซึ่งมีชื่อเสียงในความโอบอ้อมอารี พร้อมเข้าใจ และไม่นิยมการใช้กำลังรุนแรง จึงตกเป็นเป้าหมาย
นอกจากนี้ การที่ปกครองโดยระบบเผด็จการณ์สมบูรณ์แบบ ทำให้การดำเนินมาตรการทางทหารของเขมรจึงไม่สนใจผล กระทบต่อพลเรือนเท่าที่ควร การใช้ประชาชนเป็นโล่ห์กำบัง (human shield)ไม่ว่าในรูปแบบของการยั่วยุของกลุ่มประท้วง หรือการนำกำลังพลและยุทโธปกรณ์ไปฝังตัวอยู่ในชุมชนบ้านเรือนประชาชน หรือการยิงปืนใหญ่สู่เป้าหม่ยพลเรือนไทย จึงเป็นแนวทางที่ฝ่ายเขมรใช้มาตลอด
2.รัฐบาลไทยเน้นย้ำเรื่อง สิทธิในการป้องกันตัวเอง (self-defense) ในสัดส่วนที่เหมาะสม (proportionate) ตามหลักการของกฏหมายระหว่างประเทศ
ในการพิจารณาเรื่องสัดส่วนที่เหมาะสมที่เป็นเรื่องนามธรรมนั้น มี 2 องค์ประกอบหลักที่สามารถยึดเป็นข้อพิจารณาได้ คือ การรวบรวมกำลังพลและยุทโธปกรณ์ทางทหาร (military mobilization)และเจตนาเพื่อใช้กำลังดังกล่าว
ทำลายล้างคู่ต่อสู้ ซึ่งฝ่ายเขมรมี 2 องค์ประกอบนี้ชัดเจน
(กล่าวคือ ไม่ต้องรอวัดความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการโจมตี)
นอกจากนี้ตามหลักกฏหมายระหว่างประเทศการป้องกันตัวเองตามมาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาตินั้น หมายรวมถึงมาตรการการโจมตีก่อนเพื่อป้องปราม (pre-emptive strike)ด้วย ซึ่งหมายถึงว่า หากเป็นที่ชัดแจ้งว่าฝ่ายเขมรมีการตระเตรียมกำลังทหารเพื่อการโจมตี ไทยย่อมสามารถส่งเครื่องบินไปหย่อนระเบิดในจุดหมายทางทหารดังกล่าวได้ ดังนั้น การวิพากษ์วิจารณ์เรื่องสัดส่วนที่เหมาะสม (ซึ่งเป็นเรื่องนามธรรมมาก) จึงควรต้องคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้มากๆ
3.หมุดหมายสุดท้ายในการใช้กำลังทางทหารของไทยควรอยู่ที่การมีชายแดนที่สงบสุข ประชาชนสามารถดำเนินวิถีชีวิตและค้าขายกันได้ตามปรกติ ซึ่งจะเกิดได้อย่างถาวรเมื่อมีการกำหนดเส้นเขตแดนที่ชัดเจนและเป็นที่ยอมรับกันได้ทั้งสองฝ่าย
การอ้างเป้าหมายการใช้กำลังเพื่อให้ฝ่ายเขมร “สิ้นสภาพทางทหาร”นั้น ควรมีการกำหนดขอบเขตที่ชัดเจน อาทิ จนเมื่อสามารถยึดพื้นตามแผนที่อัตรา 1:50,000 ได้ครบถ้วน และกำหนดให้ใช้แผนที่ดังกล่าวเป็นเส้นปฏิบัติการ(Line of Operation)** จนกว่าการเจรจากำหนดเส้นเขตแดนตามกฎหมายระหว่างประเทศจะแล้วเสร็จ เพื่อแสดงให้เห็นว่าไทยมิได้มุ่งหมายที่จะยึดครองเขมรทั้งประเทศ
โดยเราควรมีการสื่อสารหมุดหมายสุดท้ายนี้ให้สหรัฐฯ และจีนรับทราบและเพื่อสนับสนุนการร่วมจัดทำแผนที่และปักปันเขตแดนเป็นไปในกรอบเวลาที่เหมาะสมต่อไปด้วย
(**หมายเหตุ: เป็นเส้นที่ฝ่ายทหารไทยยึดถือทางปฏิบัติมาโดยตลอดอยู่แล้ว)
บทความโดย :
เจษฎา กตเวทิน
11 ธ.ค. 2568

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา