
"...เวที “Talk for Truth” และพิธีมอบรางวัล Fact-Check Thailand Award 2026 ที่ไทยพีบีเอส สะท้อนความท้าทายข้อมูลเท็จ ข้อมูลบิดเบือนก่อนเลือกตั้ง 8 ก.พ. 2569 ชี้ fact-checking ไม่ใช่หน้าที่สื่อฝ่ายเดียว แต่เป็น “ทักษะพลเมือง” ที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมสร้างภูมิคุ้มกันให้สังคม..."
เมื่อประเทศไทยกำลังมุ่งหน้าสู่การเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 สมรภูมิสำคัญอาจไม่ใช่แค่การแข่งขันของพรรคการเมือง แต่คือ “สงครามข้อมูล” ที่ข่าวลวง ข้อกล่าวอ้างบิดเบือน และภาพ วิดีโอที่ถูกดัดแปลงด้วยเครื่องมือ AI แพร่กระจายรวดเร็วกว่าแรงแก้ไขข้อเท็จจริง จนกระทบโดยตรงต่อการตัดสินใจของประชาชน ความเชื่อมั่นต่อสถาบัน และความน่าเชื่อถือของกระบวนการประชาธิปไตย
ท่ามกลางบริบทดังกล่าว เวที “Talk for Truth” และพิธีมอบรางวัล Fact-Check Thailand Award 2026 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2568 ณ ไทยพีบีเอส จึงถูกวางให้เป็นมากกว่างานประกาศรางวัล หากเป็นพื้นที่รวมเสียงจากสื่อ นักวิชาการ ภาคประชาสังคม และภาคีต่างประเทศ เพื่อย้ำจุดยืนร่วมกันว่า “การตรวจสอบข้อเท็จจริง” ต้องถูกยกระดับเป็นภารกิจร่วมของสังคม ไม่ใช่ภาระของห้องข่าวหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่งเพียงลำพัง.
โค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง: สื่อ–ภาคีระหว่างประเทศ–มหาวิทยาลัย เห็นตรงกันว่าต้องทำงานเป็นระบบ

อดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ รองผู้อำนวยการไทยพีบีเอส ระบุว่า เวทีนี้เป็นโอกาสสำคัญที่เยาวชนและผู้เข้าร่วมโครงการจะได้ทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงในลักษณะ “กึ่งอาสาสมัคร” ในช่วงเลือกตั้ง โดยสะท้อนความกังวลร่วมกันว่า ข่าวลวงและข้อมูลบิดเบือน โดยเฉพาะเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเครื่องมือ AI และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย มีแนวโน้มแพร่กระจายหนักหน่วงขึ้น
“ไทยพีบีเอสมีนโยบายชัดเจนในการพัฒนา “เครื่องมือ” และ “คน” ผ่านโครงการ Thai PBS Verify ที่ดำเนินการต่อเนื่องและอบรมมาแล้วหลายรุ่น พร้อมเตรียมความพร้อมในหลายมิติ เพื่อรับมือสถานการณ์ข้อมูลบิดเบือนที่อาจชี้นำการตัดสินใจของประชาชน และยืนยันบทบาทสื่อสาธารณะบนหลักความถูกต้อง โปร่งใส และประโยชน์สาธารณะ”
ด้าน Sweta Madhuri Kannan เลขานุการเอกฝ่ายสื่อมวลชนและวัฒนธรรม สถานเอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย มองว่าเวทีดังกล่าวเป็นหมุดหมายของความร่วมมือข้ามภาคส่วนท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยย้ำว่า “ข่าวเลือกตั้งที่เป็นกลางและตั้งอยู่บนข้อเท็จจริง” คือหัวใจของประชาธิปไตย พร้อมเตือนว่า ข้อมูลบิดเบือนไม่ได้ทำลายประชาธิปไตยแบบฉับพลัน หากแต่ “ค่อย ๆ กัดกร่อนความเชื่อมั่น” อย่างเงียบ ๆ และต่อเนื่อง

เลขานุการเอกสถานทูตเยอรมนีชี้ว่า ความท้าทายสำคัญคือข้อมูลจำนวนมากถูกนำเสนอในกรอบ “ความคิดเห็นส่วนบุคคล” ทำให้ยากต่อการตรวจสอบและโต้แย้ง ดังนั้นการรับมือจึงไม่อาจเป็นหน้าที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ต้องอาศัยความร่วมมือของสื่ออิสระ องค์กรตรวจสอบข้อเท็จจริง พรรคการเมือง และสถาบันที่สังคมเชื่อถือ เพื่อทำให้ข้อมูลที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว “เคลื่อนที่” ในเครือข่ายสังคมได้เร็วพอ ๆ กับข้อมูลที่ปลุกเร้าอารมณ์
ผลลัพธ์เชิงข้อมูล: “ทักษะแห่งความจริง” กำลังกลายเป็นทักษะพื้นฐานของสังคม

ผู้เขียนในฐานะหัวหน้าโครงการ Fact-Check Thailand 2026 รายงานว่า ความสนใจสมัครเข้าร่วมสูงกว่าคาดเกือบเท่าตัว สะท้อน “ความต้องการเชิงสังคม” ต่อทักษะการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เพิ่มขึ้นรวดเร็ว โดยมีผู้สมัคร 89 คน จากเป้าหมาย 40 คน และคัดเลือก 45 คน ช่วงอายุตั้งแต่ 17–70 ปี ซึ่งสะท้อนว่า “การตรวจสอบข้อเท็จจริง” กำลังถูกมองเป็นทักษะพื้นฐานมากขึ้น ไม่ใช่ทักษะเฉพาะกลุ่ม
หลักสูตรอบรมยึด 3 เสาหลัก ได้แก่ Policy Checking, Fact Checking และ Photo Checking พร้อมเสริมด้วยการจำลอง Fact-Checking War Room เพื่อฝึกทำงานภายใต้แรงกดดัน โดยผลประเมินก่อน–หลังอบรมของผู้ตอบ 41 คน พบการพัฒนาทักษะชัดเจน ได้แก่ Policy Checking เพิ่มขึ้น 47.6%, Fact Checking เพิ่มขึ้น 40.1%, และ Photo Checking เพิ่มขึ้น 34.3% อีกทั้งผู้เข้าร่วมผลิตผลงานตรวจสอบได้ 54 ชิ้น ส่งเข้าประกวด
ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนว่าโครงการไม่ได้จำกัดอยู่ที่การถ่ายทอดความรู้ แต่กำลังพยายามต่อยอดไปสู่ “ระบบนิเวศการตรวจสอบข้อเท็จจริง” ที่ขยายฐานคนทำงานและผู้ใช้ข้อมูลตรวจสอบได้ในสังคม ก่อนเข้าสู่การเลือกตั้ง 2569
ภูมิคุ้มกันสังคม–ความน่าเชื่อถือสื่อ: ปัญหาไม่ใช่แค่ “ข่าวปลอม” แต่คือโครงสร้างการผลิตและพฤติกรรมการรับข่าว
ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) และผู้แทน ป.ป.ช. ระบุว่า คนรุ่นใหม่มีบทบาทมากขึ้นในการตรวจสอบข่าวสาร แต่กำลังทำงานอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สื่อออนไลน์เอื้อให้ข้อมูลถูกดัดแปลง สร้าง หรือใช้โจมตีบุคคลและสถาบันได้รวดเร็ว พร้อมเตือนว่าข่าวลวงและข่าวบิดเบือนไม่เพียงสร้างความสับสน แต่ยังบ่อนทำลายความเชื่อมั่นต่อสถาบัน และบิดเบือนการตัดสินใจทางเศรษฐกิจ การเมือง ซึ่งอาจนำไปสู่ความแตกแยกหรือความรุนแรงในสังคม
ศาสตราจารย์พิเศษ วิชายังเสนอแนวทางตรวจสอบเบื้องต้น เช่น ตรวจสอบแหล่งที่มา ผู้เขียน วันที่เผยแพร่ หลักฐานอ้างอิง เปรียบเทียบหลายสำนักข่าว และใช้แหล่งตรวจสอบข้อเท็จจริงที่น่าเชื่อถือควบคู่กับวิจารณญาณของผู้รับสาร

ขณะเดียวกัน ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ผู้อำนวยการสถาบันอิศรา ตั้งคำถามต่อความคาดหวังของสังคมที่มักให้สื่อกระแสหลักเป็น “กำแพงป้องกันความจริง” เพียงฝ่ายเดียว โดยชี้ว่าในทางปฏิบัติอาจไม่เพียงพอ เพราะสื่อหลักเองก็เคยเผยแพร่ข้อมูลผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อน ภายใต้แรงกดดันทางเศรษฐกิจที่ต้องเร่งยอดผู้ชมและการเข้าถึงบนแพลตฟอร์มออนไลน์
ประสงค์อธิบายว่า ปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบสื่อทำให้หลายข่าวถูกหยิบจากกระแสโซเชียลมาเผยแพร่เร็ว โดยขาดการตรวจสอบรอบคอบ ส่งผลให้ข่าวเท็จแพร่กระจายและซ้ำเติมวิกฤตความน่าเชื่อถือของสื่อ อีกทั้งการแพร่ข้อมูลเท็จไม่ได้เกิดจากผู้สร้างเท่านั้น แต่ยังมาจากพฤติกรรมผู้รับสารที่อ่านแค่พาดหัวหรือข้อความที่ถูกส่งต่อแล้วแชร์ทันที จึงจำเป็นต้องสร้าง “ภูมิคุ้มกันทางข้อมูล” ให้ประชาชน ลดความฉาบฉวย เพิ่มความอดทนในการอ่าน ตรวจสอบ และคิดวิเคราะห์ก่อนแชร์
เขายังเตือน “หากวิชาชีพสื่อกำกับกันเองไม่จริงจังพอ อาจเปิดทางให้เกิดการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือควบคุมสื่อในอนาคต ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกนำไปใช้ปราบปรามผู้เห็นต่างทางการเมือง”
เลือกตั้ง–ประชามติ: เมื่อข้อมูลเท็จปะทะการตัดสินใจระดับประเทศ
สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค มองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญต่ออนาคตประเทศ พร้อมชวนประชาชนตรวจสอบผู้สมัครและนโยบาย โดยย้ำว่าแม้การประกาศนโยบายไม่ยาก แต่หัวใจต้องตั้งอยู่บนข้อมูล หลักฐาน และองค์ความรู้ที่ชัดเจน เพราะ “นโยบายที่ดีต้องตรวจสอบได้ และต้องตอบโจทย์สาธารณะ ไม่ใช่ผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม” พร้อมเสนอว่าสังคมต้องสร้างกลไกให้นักการเมืองมีมาตรฐาน และสามารถ “เรียกคืนความรับผิดชอบ” ได้ หากนโยบายไม่เป็นไปตามคำมั่น
ด้าน ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการโครงการ iLaw เตือนว่าไทยกำลังเข้าสู่ช่วงตัดสินใจสำคัญ โดยมีความเป็นไปได้สูงถึง 95% ว่าการเลือกตั้งวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 จะจัดพร้อมกับการทำประชามติรัฐธรรมนูญเป็นครั้งแรกของประเทศ และเหลือเวลาเพียงราว 50 วันในการตั้งหลักรับมือข้อมูลเท็จที่อาจชี้นำการตัดสินใจระดับประเทศ
ยิ่งชีพชี้ “ความเสี่ยงยิ่งทวีขึ้นในบริบทความขัดแย้งทางการทหาร ซึ่งเป็นช่วงที่ข้อมูลเท็จถูกใช้มากที่สุด และประชาชนแทบไม่สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงได้เหมือนข่าวการเมืองทั่วไป พร้อมย้ำให้แยกแยะระหว่าง “ข่าวปลอม” ที่ปลอมตัวเป็นข่าวแต่ไม่มีเนื้อหาจริง กับข้อมูลผิดพลาด ความคลาดเคลื่อน และความคิดเห็นทางการเมือง และเตือนว่าช่วงก่อนประชามติ สังคมอาจเผชิญการสร้างวาทกรรมหรือชุดคำถามที่บิดเบือนตรรกะ ซึ่งต้องอาศัยการอธิบายเชิงลึกและการตรวจสอบอย่างละเอียด”
มุมมองจิตวิทยา: เมื่อความเท็จ “ฝังหัว” และความเสี่ยงคือการไม่เชื่ออะไรเลย

ปิดท้ายเวทีด้วยมุมมองเชิงวิชาการ ศาสตราจารย์ นิโคล เครเมอร์ จากมหาวิทยาลัย University of Duisburg-Essen ประเทศเยอรมนี อธิบายความแตกต่างระหว่าง disinformation (ข้อมูลบิดเบือนโดยเจตนา) กับ misinformation (ข้อมูลผิดพลาดโดยไม่ตั้งใจ) และชี้ว่าหลายประเทศประชาธิปไตยมองปัญหานี้เป็นภัยต่อประชาธิปไตยโดยตรง
เธอกล่าวถึงงานศึกษาที่พบว่า ข้อมูลเท็จแพร่กระจายบนโซเชียลมีเดียได้เร็วและกว้างกว่าข้อมูลจริง โดยเฉพาะข่าวเชิงลบ แปลกใหม่ หรือมาในรูปพาดหัวสั้น ๆ พร้อมอธิบายกลไกที่ทำให้คนเชื่อมากขึ้นเมื่อเห็นข้อมูลซ้ำ ๆ แม้เป็นข้อมูลเท็จ ซึ่งเชื่อมโยงกับแนวคิด False Information Effect/Continued Influence Effect เมื่อข้อมูลเท็จถูกประมวลผลและฝังอยู่ในโครงสร้างความรู้เดิมแล้ว การแก้ไขภายหลังทำได้ยาก และการตรวจสอบข้อเท็จจริงอาจมา “ช้าเกินไป” สำหรับบางคน
เครเมอร์เตือน “อันตรายที่สุดไม่ใช่แค่การเชื่อเรื่องเท็จเรื่องหนึ่ง แต่คือการไหลไปสู่ภาวะ “ไม่เชื่ออะไรเลย” จนประชาชนไม่ไว้วางใจแม้แต่ข้อมูลที่ถูกต้อง ซึ่งเท่ากับทำลายฐานความเชื่อมั่นที่ประชาธิปไตยต้องพึ่งพา”
บทสรุป: ถ้าสังคมยังฝาก “ความจริง” ไว้กับคนกลุ่มเดียว เราจะไม่ทันเกมข้อมูลบิดเบือน
ภาพสะท้อนจากเวทีนี้ชี้ว่า สงครามข่าวสารก่อนเลือกตั้งไม่อาจรับมือด้วยองค์กรเดียว ห้องข่าวเดียว หรือเครื่องมือเดียว ปัญหาเป็นเชิงระบบ ตั้งแต่โครงสร้างการผลิตข่าว แรงกดดันเศรษฐกิจของสื่อ กลไกแพลตฟอร์ม ไปจนถึงพฤติกรรมการเสพและแชร์ของผู้รับสาร
ดังนั้นโจทย์ใหญ่จึงไม่ใช่เพียง “ทำอย่างไรให้แก้ข่าวเท็จเร็วขึ้น” แต่คือ ทำอย่างไรให้สังคมลดการผลิตซ้ำของข้อมูลเท็จตั้งแต่ต้นทาง และเพิ่มสัดส่วน “ข้อมูลที่ตรวจสอบได้” ให้เข้าถึงประชาชนมากพอจะเป็นฐานร่วมของการถกเถียงทางการเมือง
ก่อนถึงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 คำถามสำคัญคือ สังคมไทยจะพร้อมหรือยังที่จะทำให้ fact-checking เป็นวัฒนธรรมร่วมเชื่อบนฐานตรวจสอบ แชร์บนฐานความรับผิดชอบ และตั้งคำถามกับข้อมูลก่อนตั้งคำถามกับฝ่ายตรงข้าม
เพราะหากความจริงยังถูกฝากไว้กับคนกลุ่มเดียว ในขณะที่ข้อมูลบิดเบือนเคลื่อนที่ด้วยเครือข่ายทั้งระบบ สุดท้ายแล้ว “พื้นที่สาธารณะ” อาจเหลือเพียงความสงสัยถาวร และการเมืองอาจเหลือเพียงเสียงดังที่ไม่มีใครเชื่อใคร
บทความโดย :
วิไลวรรณ จงวิไลเกษม


Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา