
"...ถาม : ถ้าเช่นนั้น สส.ที่จะถูกฟ้องได้ ก็ต้องมีพฤติการณ์มากกว่าลงชื่อเสนอร่างกฎหมายใช่ไหมครับ ตอบ : แน่นอนครับ มันต้องมีพฤติการณ์อื่นมาประกอบด้วยถึงจะฟ้องว่าไม่ใช่ “การใช้อำนาจนิติบัญญัติ โดยชอบ ” เช่นพบหลักฐานการสมคบรู้เห็น การขึ้นเวทีชุมนุมโจมตีสถาบัน การพูดจาถือหางให้กำลังใจแล้วใช้ตำแหน่ง สส.เป็นหลักประกันตัว ผู้ก่อความวุ่นวาย ด่าในหลวง ฯลฯ พวกที่เข้าข่ายอย่างนี้ ผมทราบว่ามีในรายงานอยู่สิบกว่าคนเท่านั้น ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมการไต่สวนของ ปปช.ถึงช้าขนาดนี้ได้อย่างไร เขาน่าจะร่อนตะแกรง เอาที่ชัดๆ แล้วส่งฟ้องศาลฎีกาจนเสร็จเรื่องได้เร็วกว่านี้มาก..."
ถาม : พรรคส้ม ถูกยุบมาสองครั้งแล้ว ทั้ง “อนาคตใหม่” และ “ก้าวไกล” มาวันนี้เป็นพรรค “ประชาชน” คือเป็น“ส้ม 3” เข้าไปแล้วและกำลังจะส่ง สส.ลงเลือกตั้งในกุมภานี้อยู่พอดี แล้วนี่ ปปช.ก็ยังจะลงมือฟ้องตัดสิทธิผู้สมัคร เขาอีกหรือ มันจะอาฆาตอะไรกันนักกันหนาครับ ท่านสารวัตร
ตอบ : คุณต้องเข้าใจความเป็นมา ก่อนครับว่า งานนี้เป็นเรื่องของสมัย “ส้ม 2” คือการที่พรรคก้าวไกล เสนอเลิก 112 เมื่อ ปี 2564 แล้วต่อมาถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่า การกระทำนี้เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการกร่อนเซาะสถาบันกษัตริย์ จนเกิดมูลคดีขึ้นสามประการ จนปัจจุบัน คือ
1. คดีปกป้องรัฐธรรมนูญ คดีนี้มีผู้อาศัยสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ และศาลรัฐธรรมนูญตัดสินไปแล้ว เมื่อ 31 มกราคม 2567 ว่า ความเคลื่อนไหวเลิก 112 ทั้งในสภาโดยการเสนอร่างกฎหมายของพรรคก้าวไกล กับการประท้วงให้ร้ายสถาบันต่างนานานอกสภาเป็นปีๆนั้น แท้จริงแล้ว เป็นขบวนการที่สอดประสานกันเพื่อกร่อนเซาะสถานภาพทางการเมืองของสถาบันกษัตริย์ ศาลจึงสั่งให้พรรคก้าวไกลยุติความเคลื่อนไหวทั้งปวงในเรื่องนี้
2. คดียุบพรรคก้าวไกล ด้วยผลผูกพันจากคดีที่ 1. กกต.จึงร้องให้ยุบพรรคก้าวไกล ตามอำนาจหน้าที่ใน พรบ.พรรคการเมือง และในวันที่ 7 สิงหาคม 2567 ศาลรัฐธรรมนูญก็มีมติตามนั้น พร้อมทั้งตัดสิทธิทางการเมืองของ กรรมการบริหารพรรคด้วย
3. คดีจริยธรรม สส. เมื่อความปรากฏตามคดี 1. และ 2. ปปช.จึงมีอำนาจหน้าที่รับคำร้องของผู้ร้อง เมื่อ กุมภา 67 มาไต่สวนว่า สส.ก้าวไกล ทั้ง 44 คน ที่มีชื่อเสนอร่างกฎหมายเลิก 112 นั้น มีผู้ใดกระทำผิดจริยธรรม ข้อนี้หรือไม่
“ข้อ 6 สมาชิกและกรรมาธิการต้องจงรักภักดีและพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
นี่แหละครับคือ คดีจริยธรรม 44 สส.ส้ม ในวันนี้
ถาม : สส.ก้าวไกล 44 คนนี้ หลุดมาเป็น สส.พรรคประชาชน เพียงบางส่วน มาวันนี้ก็มีเหลือชื่อสมัคร สส.ในนาม พรรคประชาชน สมัยนี้อีกไม่กี่คน ตกลงก็พวกนี้อาจต้องถูกฟ้องได้หมดเลยหรือครับ
ตอบ : มันไม่ใช่ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ครั้งเป็น สส. แต่เป็นความขาดจริยธรรมที่ปรากฏขึ้น ความปรากฏเมื่อใดก็ถูกฟ้องได้ทั้ง 44 คน แต่วันนี้ศาลยังไม่ตัดสิน เค้าก็ลงสมัคร สส.ได้ไม่มีอะไรห้าม แต่ภายหน้าถ้าได้เป็น สส. แล้วศาลฎีกาพิพากษาว่าขาดจริยธรรมนักการเมืองเมื่อใด ก็จะสิ้นสมาชิกภาพ สส.เลย ส่วนใครที่ไม่ได้เป็น สส. ก็สิ้นแต่เพียงสิทธิเลือกตั้งเท่านั้น
ถาม : การที่ สส.ก้าวไกลเห็นโดยสุจริตว่า ต้องแก้กฎหมายอาญาให้คุ้มครองกษัตริย์ด้วยระบบกฎหมายหมิ่นประมาทเช่นบุคคลธรรมดา ไม่ให้ถือเป็นความผิดต่อความมั่นคงของรัฐอีกต่อไป จึงร่วมลงนามเสนอร่างกฎหมายนั้น ทำอย่างนี้มันจะเป็นผิดจริยธรรมได้อย่างไรครับ
ตอบ : ตรงจุดนี้แหละครับ ที่ ปปช.จะต้องแยกให้ออกว่า ใน 44 คนนี้ มี สส.คนใดที่เป็นหัวโจกรู้เห็นสมคบกับนอกสภา ร่วมกันเคลื่อนไหวเป็นขบวนการกร่อนเซาะสร้างภาพให้ร้ายสถาบันหรือไม่ ซึ่งในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ท่านก็เขียนตัวความผิดที่เป็นความเคลื่อนไหวตรงนี้ไว้ชัดว่า
“ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า การกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองมีพฤติการณ์ในการใช้สิทธิหรือเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเพื่อทำลายการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดย ซ่อนเร้นหรือผ่านการนำเสนอร่างกฎหมาย ...มีลักษณะดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องเป็นขบวนการ ใช้หลายพฤติการณ์ประกอบกัน ทั้งการชุมนุม การจัดกิจการ การรณรงค์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ การเสนอร่างแก้ไขกฎหมายเข้าสู่สภา และการใช้เป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง ”
“ศาลรัฐธรรมนูญโดยมติเอกฉันท์ วินิจฉัยว่า สั่งการให้ผู้ถูกร้องทั้งสองเลิกการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่นเพื่อให้มีการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อีกทั้ง ไม่ให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ด้วยวิธีการซึ่งไม่ใช่กระบวนการทางนิติบัญญัติโดยชอบ ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย”
ถาม : ถ้าเช่นนั้น สส.ที่จะถูกฟ้องได้ ก็ต้องมีพฤติการณ์มากกว่าลงชื่อเสนอร่างกฎหมายใช่ไหมครับ
ตอบ : แน่นอนครับ มันต้องมีพฤติการณ์อื่นมาประกอบด้วยถึงจะฟ้องว่าไม่ใช่ “การใช้อำนาจนิติบัญญัติ โดยชอบ ” เช่นพบหลักฐานการสมคบรู้เห็น การขึ้นเวทีชุมนุมโจมตีสถาบัน การพูดจาถือหางให้กำลังใจแล้วใช้ตำแหน่ง สส.เป็นหลักประกันตัว ผู้ก่อความวุ่นวาย ด่าในหลวง ฯลฯ
พวกที่เข้าข่ายอย่างนี้ ผมทราบว่ามีในรายงานอยู่สิบกว่าคนเท่านั้น ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมการไต่สวนของ ปปช.ถึงช้าขนาดนี้ได้อย่างไร เขาน่าจะร่อนตะแกรง เอาที่ชัดๆ แล้วส่งฟ้องศาลฎีกาจนเสร็จเรื่องได้เร็วกว่านี้มาก
ถาม : เมื่อเป็นอย่างนี้ พรรคประชาชนเขาก็ต้องส่งผู้สมัครที่ตนเห็นควร โดยไม่ต้องกังวลถึงปัญหาการต้องคดีจริยธรรมนี้เลย
ตอบ : เขาต้องทำเช่นนั้นครับ พวกเราที่เป็นผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งก็เหมือนกัน ถ้าเห็นว่าผู้สมัคร สส.พรรคประชาชนคนนี้เข้าท่า ก็เลือกไปเลย อย่าไปกังวลว่าเค้ามีชื่ออยู่ใน 44 สส.นี้หรือไม่
ถาม : เป็นไปได้ไหมครับว่า พรรคส้มอาจจะโหมกระแส ประโคมว่าการลงมือในคดีจริยธรรมนี้เป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง หวังให้ผู้มีใจรักความเป็นธรรมแห่มาลงคะแนนเลือกตั้งอุ้มชูประชาชนด้วยกันก็ได้นะครับ
ตอบ : มีเค้ามากๆว่างานนี้อาจจะกลายเป็นเรื่อง “เตะหมูเข้าปากหมา”เลยก็ได้ครับ แต่ก็เป็นหน้าที่ ปปช.ต้องชี้แจงคดีให้ดีๆ ส่วน กกต.ก็ต้องตามติดตรวจสอบการหาเสียงในโซเชียลให้เท่าทันด้วย เลือกตั้งคราวนี้การหาเสียงผิดกฎหมาย ใส่ร้ายบิดเบือนความจริง จะเนืองนองเต็มสนามในโลกโซเชียลเลยทีเดียว
บทความโดย :
แก้วสรร อติโพธิ

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา