
“...Q3 : หากมีการยิงหรือยั่วยุในช่วง 72 ชั่วโมง ไทยจะทำอย่างไร A : ข้อตกลงวันนี้ชัดเจนว่า ต้องไม่มีการโจมตีหรือยั่วยุซ้ำ หากเกิดเหตุ ไทยจะดำเนินการตามกฎการปะทะและมาตรการที่เหมาะสม เพื่อปกป้องอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชน พร้อมใช้กลไกสื่อสารโดยตรงที่จัดตั้งไว้เพื่อแก้ปัญหาอย่างรวดเร็วลดการบานปลาย…”
หมายเหตุสำนักข่าวอิศรา : ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา เผยแพร่การตอบสื่อมวลชน (ภายหลังประชุม GBC สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3/2568) ที่โรงแรมชาเทรียม รีสอร์ท อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี ทั้ง 20 คำถาม ดังนี้
Q: สรุปผลสำคัญของการประชุมวันนี้คืออะไร
A : วันนี้ทั้งสองฝ่ายได้เห็นพ้องมาตรการสำคัญเพื่อให้เกิดความสงบอย่างแท้จริง ได้แก่ การให้หยุดยิงมีผลหลังลงนามแถลงการณ์ร่วม การคงกำลังในระดับปัจจุบัน ไม่ยั่วยุ ไม่โจมตี และติดตามเฝ้าสังเกตการณ์ 72 ชั่วโมงรวมถึงการมีกลไกตรวจสอบ และประสานงานในระดับพื้นที่และระดับนโยบาย เพื่อให้การหยุดยิงเกิดขึ้นจริงและต่อเนื่อง
Q2 : ทำไมต้องกำหนด “หยุดยิง 72 ชั่วโมง”
A : เพื่อยืนยันว่า “หยุดยิงเกิดขึ้นจริงและต่อเนื่อง” ไม่ใช่เพียงถ้อยแถลง โดยช่วง 72 ชั่วโมงเป็นกรอบเฝ้าติดตามร่วมกันลดความเสี่ยงความเข้าใจผิดและเหตุปะทะซ้ำ และช่วยสร้างเงื่อนไขให้ประชาชนกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย
Q3 : หากมีการยิงหรือยั่วยุในช่วง 72 ชั่วโมง ไทยจะทำอย่างไร
A : ข้อตกลงวันนี้ชัดเจนว่า ต้องไม่มีการโจมตีหรือยั่วยุซ้ำ หากเกิดเหตุ ไทยจะดำเนินการตามกฎการปะทะและมาตรการที่เหมาะสม เพื่อปกป้องอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชน พร้อมใช้กลไกสื่อสารโดยตรงที่จัดตั้งไว้เพื่อแก้ปัญหาอย่างรวดเร็วลดการบานปลาย
Q4 : การ “คงกำลังในระดับปัจจุบัน” หมายถึงอะไร
A : หมายถึงทั้งสองฝ่ายจะไม่เคลื่อนย้ายหรือเสริมกำลังเข้าหากันในลักษณะที่เพิ่มความตึงเครียด และไม่ดำเนินการใด ๆ ที่อาจถูกตีความว่าเป็นการยั่วยุ เพื่อรักษาบรรยากาศหยุดยิงให้มั่นคง กล่าวโดยสรุปคือเมื่อเริ่มหยุดยิง กำลังฝ่ายใดอยู่ ณ บริเวณใดก็ให้คงอยู่ ณ บริเวณนั้นไปก่อนจนกว่ากระบวนการสำรวจและจัดทำหลักเขตจะแล้วเสร็จ
Q5 : การสำรวจและจัดทำหลักเขต จะเริ่มต้นกระบวนการได้เมื่อไร
A : อันดับแรกคณะทำงานร่วมด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม (JTCF) จะหารือร่วมกันและดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามแผนที่กำหนดเพื่อทำให้พื้นที่มีความปลอดภัยก่อน หลังจากนั้นคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม(JBC) จะมอบให้คณะทำงานสำรวจทางเทคนิคร่วมของทั้ง 2 ประเทศ จะลงพื้นที่ร่วมกัน เพื่อดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตต่อไป
Q6 : กลไกตรวจสอบการหยุดยิงมีอะไรบ้าง
A : มีกลไกหลายระดับเพื่อให้ “ปฏิบัติได้จริงและตรวจสอบได้” ได้แก่ คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) สำนักงานประสานงานชายแดนในระดับพื้นที่และในระดับนโยบายมีสายด่วนระหว่างรัฐมนตรีกลาโหมและผู้บัญชาการทหารสูงสุดของทั้งสองฝ่ายเพื่อสื่อสารได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุ
Q7 : ทำไมไทยยืนยันว่าต้อง “เจรจาโดยตรง” ระหว่างสองประเทศ
A : เพราะการเจรจาโดยตรงสามารถสร้างความไว้วางใจ แก้ปัญหาได้ตรงจุด และออกแบบกลไกปฏิบัติที่สอดคล้องกับสถานการณ์พื้นที่จริง นำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืนได้มากที่สุด
Q8 : ทำไมไทยย้ำเรื่อง “ทุ่นระเบิด” เป็นเงื่อนไขสำคัญ
A : เพราะเป็นประเด็นมนุษยธรรมและความปลอดภัยของประชาชนและเจ้าหน้าที่ ซึ่งรัฐบาลไทยให้ความสำคัญมาโดยตลอด วันนี้ทั้งสองฝ่ายจึงเห็นพ้องให้มีกลไกทำงานร่วมด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมอย่างเป็นระบบ ปลอดภัย และโปร่งใสและให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนขั้นตอนสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในระยะต่อไป
Q9 : ทำไมไม่รบต่อ
A : การรบของไทยและกัมพูชาที่ผ่านมา ได้เกิดขึ้นสองครั้งแล้ว ครั้งที่หนึ่งเป็นเวลา 5 วัน ในห้วง 24 - 28 ก.ค. 68 และครั้งที่สอง เริ่มตั้งแต่วันที่ 7 ธ.ค.68 จนถึงตอนนี้เป็นเวลาเกือบ 20 วันแล้ว ซึ่งผลของการปฏิบัติทางทหารจนถึงปัจจุบัน ถือว่าฝ่ายเราบรรลุเป้าหมายทางทหารแล้วโดยสามารถควบคุมภูมิประเทศสำคัญในพื้นที่เขตอธิปไตยที่มีผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนไว้ได้แล้ว และหากเราทำการรบต่อไป ความชอบธรรมของไทยในเวทีโลกก็จะเริ่มลดลง นอกจากนี้ เราอาจต้องสูญเสียชีวิตและเลือดเนื้อของทหารเพิ่มขึ้นอีก
Q10 : เรื่องการปล่อยตัวทหารกัมพูชา 18 นาย จะเกิดขึ้นเมื่อไร
A : จะพิจารณาหลังการหยุดยิงเป็นไปอย่างต่อเนื่องและสงบลงแล้วตามกรอบเฝ้าสังเกตการณ์ เพื่อแสดงความสุจริตใจ สร้างความเชื่อมั่น และเป็นไปตามหลักมนุษยธรรม
Q11 : จะมั่นใจได้อย่างไรว่าข้อตกลงครั้งนี้จะไม่ซ้ำรอยเดิม
A : ครั้งนี้เราได้กำหนดมาตรการที่ชัดเจนขึ้น ทั้งเวลาเริ่มหยุดยิงที่ผูกกับการลงนาม การคงกำลังระดับปัจจุบัน การเฝ้าติดตาม 72 ชั่วโมง และการสื่อสารโดยตรงผ่านสายด่วน รวมถึงกลไกประสานในพื้นที่ ซึ่งช่วยให้ตรวจสอบได้และแก้เหตุได้รวดเร็ว
Q12 : ประชาชนชายแดนจะกลับบ้านได้เมื่อไร
A : เป้าหมายสำคัญคือให้ประชาชนกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย เมื่อการหยุดยิงเกิดขึ้นจริงต่อเนื่องและสถานการณ์สงบลง ตามการประเมินของหน่วยงานในพื้นที่ เราจะเร่งสนับสนุนการกลับเข้าพื้นที่อย่างเป็นขั้นตอนและปลอดภัยที่สุด ยกเว้นในบางพื้นที่ที่แต่ละฝ่ายยังคงวางกำลังเผชิญหน้ากันอยู่ เช่น บ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว บ้านคลองแผง ซึ่งจะต้องมีการประเมินสถานการณ์กันอย่างละเอียดรอบคอบอีกครั้ง
Q13 : ศูนย์แถลงข่าวร่วมฯ จะทำอย่างไรกับ “ข่าวบิดเบือน”
A : ได้กำหนดให้ทีมสื่อสารของทั้งสองประเทศทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันข่าวบิดเบือนและให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชาชน โดยยึดหลักยืนยันข้อเท็จจริงก่อนสื่อสาร และชี้แจงอย่างสุภาพ โปร่งใส ไม่ยั่วยุ
Q14 : ข้อความหลักที่อยากสื่อถึงประชาชนและประชาคมโลกคืออะไร
A : ประเทศไทยยึดความปลอดภัยของประชาชนเป็นอันดับแรก และดำเนินการทุกขั้นตอนด้วยความรอบคอบ บนหลักมนุษยธรรมและกติกาสากล โดยมุ่งแก้ไขปัญหาด้วยการเจรจาโดยตรง เพื่อสันติภาพที่ยั่งยืน
Q15 : หลังการลงนาม ไทยยังยืนยันจุดยืน 3 ข้อนี้อยู่หรือไม่
A : ประเทศไทยยังคงยึดมั่นในแนวทางทั้ง 3 ประการอย่างครบถ้วนและต่อเนื่องการลงนามมิใช่จุดสิ้นสุด แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการพิสูจน์ความจริงใจในการปฏิบัติ โดยไทยจะดำเนินการบนหลักการเดียวกับที่ได้สื่อสารต่อประชาคมโลกมาโดยตลอด
Q16 : แนวทางข้อที่ 1 “ไทยต้องการสันติภาพที่แท้จริงและยั่งยืน”จะสะท้อนในทางปฏิบัติอย่างไร?
A : ไทยต้องการสันติภาพที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่ ไม่ใช่เพียงคำประกาศทางการเมืองหลังวันลงนาม ไทยจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้แน่ใจว่า ความรุนแรงลดลงจริง ประชาชนสามารถกลับสู่ความปลอดภัย และบรรยากาศเอื้อต่อการแก้ปัญหาในระยะยาว
Q17 : แนวทางข้อที่ 2 เรื่อง “ความจริงใจของกัมพูชา” ไทยจะประเมินอย่างไร
A : ไทยยึดหลักว่า ความจริงใจต้องสะท้อนผ่านการกระทำ ไม่ใช่คำพูดเพียงอย่างเดียว การประเมินจะยึด 3 เงื่อนไขหลัก ได้แก่ การประกาศหยุดยิงอย่างเป็นทางการ การหยุดยิงต้องเกิดขึ้นจริงและต่อเนื่องในพื้นที่ ความร่วมมืออย่างจริงใจในกลไกที่ตกลงร่วมกัน โดยเฉพาะด้านมนุษยธรรม หากเงื่อนไขเหล่านี้เกิดขึ้นจริง จะเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อกระบวนการสันติภาพ
Q18 : แนวทางข้อที่ 3 ที่ระบุว่า “การหยุดยิงต้องอิงการประเมินของทหาร” หมายความว่าอย่างไร
A : หมายความว่า การตัดสินใจด้านความมั่นคงต้องตั้งอยู่บน ข้อเท็จจริงในพื้นที่จริง ไม่ใช่แรงกดดันทางการเมืองหรือการสื่อสารจากภายนอก กองทัพไทยจะประเมินสถานการณ์อย่างเป็นมืออาชีพเพื่อให้มั่นใจว่า การหยุดยิงไม่ทำให้ประชาชนหรือกำลังพลตกอยู่ในความเสี่ยง
Q19 : หากเกิดการละเมิดข้อตกลงหลังวันลงนาม ไทยจะดำเนินการอย่างไร
A : ไทยจะใช้ข้อมูลและข้อเท็จจริงที่ตรวจสอบได้ เป็นฐานในการดำเนินการทั้งในระดับทวิภาคีและการสื่อสารต่อประชาคมโลกขณะเดียวกัน กองทัพไทยยังคงมีหน้าที่และสิทธิในการป้องกันตนเองเพื่อคุ้มครองอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชนภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ
Q20 : ข้อความหลักที่ไทยอยากสื่อถึงนานาชาติหลังวันลงนามคืออะไร
A : ประเทศไทยเปิดทางสันติภาพอย่างจริงใจ แต่จะไม่ลดทอนความรับผิดชอบในการปกป้องประชาชนและประเทศชาติไทย เชื่อว่าสันติภาพที่ยั่งยืนต้องเกิดจาก ความจริงใจ การปฏิบัติจริง และความรับผิดชอบร่วมกัน

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา