"...จากสถานการณ์วิกฤติโควิด-19ที่กำลังจะทวีความรุนแรงขั้นสูงสุดภายในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า ประเทศไทยกำลังมาถึงทางสองแพร่งคือจะเป็นแบบอิตาลีและอเมริกาซึ่งอัตราการเพิ่มของผู้ป่วยจะเร็วมากและมีการสูญเสียมากหรือเรากดให้อัตราการเพิ่มของผู้ป่วยไม่สูงมาก ขึ้นช้าๆ และสูญเสียไม่มากแบบญี่ปุ่นและไต้หวัน ซึ่งเราต้องการให้เป็นแบบญี่ปุ่นและไต้หวัน ดังนั้น สิ่งที่ต้องดำเนินการและเตรียมการอย่างเร่งด่วนมี 3 เรื่องใหญ่..."
การรับมือกับปัญหาวิกฤติโควิด-19 ที่ปฏิบัติกันตอนนี้เน้นไปที่การตรวจหาเชื้อเฉพาะกลุ่มที่มีอาการ กับกลุ่มเสี่ยง และการใช้มาตรการ social distancing เพื่อลดการแพร่เชื้อ โควิด-19 ทั้งสองเป็นมาตรการที่ถูกต้องและสำคัญมาก
การติดเชื้อโควิด-19 แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มคือกลุ่มที่แสดงอาการ กับกลุ่มไม่แสดงอาการซึ่งอาจพบได้ถึง 25%
ถ้าเป็นกลุ่มแสดงอาการ ระยะแรกที่อยู่ในช่วงติดเชื้ออาจจะไม่มีอาการอะไรเลยเป็นเวลา 1 สัปดาห์แล้วต่อด้วยมีอาการอีก 2 สัปดาห์ หลังจากนั้นจะเป็นช่วงรักษาตัวและฟื้นตัวอีกราว 3-4 สัปดาห์ ทั้งหมดรวมแล้วประมาณ 7 สัปดาห์ ที่เชื้อจะอาศ้ยอยู่ในตัวเราและแพร่เชื้อให้คนอื่นได้ กลุ่มนี้จะค่อนข้างชัดเจนและเราน่าจะสามารถค้นหาคนติดเชื้อกลุ่นนี้ได้ทั้งหมด จากการปฏิบัติการตรวจค้นหาเชื้ออย่างเข้มข้นแต่อาจจะต้องทำไปยาว 7-8 สัปดาห์ เพื่อนำไปสู่การรักษาและป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น
กลุ่มที่ 2 คือกลุ่มที่ติดเชื้อโดยไม่แสดงอาการ แต่แพร่เชื้อได้ จะเห็นว่าวิธีเดียวที่จะสามารถค้นหาคนที่มีเชื้อแฝงอยู่แต่ไม่มีอาการเลย ก็คือต้องมีมาตรการเชิงรุกอย่างเข้มข้นที่จะตรวจหาผู้ติดเชื้อให้รวดเร็วขึ้นและได้จำนวนมากที่สุดโดยขยายการค้นหาไปในกลุ่มคนที่มีโอกาสติดเชื้อทั้งหมดไม่ว่าจะมีความเสี่ยงแม้ระดับต่ำและไม่แสดงอาการเลย หรือถ้าสามารถทำได้ดียิ่งขึ้นจะขยายไปยังกลุ่มที่ไม่มีความเสี่ยงเลยก็จะได้ข้อมูลสมบูรณ์มากขึ้น จะเป็นการตัดตอนไม่ให้แพร่เชื้อต่อไป
เราไม่รู้ว่ากลุ่มที่สามารถแพร่เชื้อโดยที่ไม่มีอาการแต่มีการติดเชื้อโดยไม่รู้ตัวมีอยู่เท่าไหร่และอยู่ที่ไหนบ้าง จากข้อมูลของประเทศจีนคาดว่าจะมีประมาณ 6 เท่าของผู้ที่ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อ ดังนั้นประเทศไทยในขณะนี้จะมีคนกลุ่มนี้มากกว่า 1 หมื่นคน (1771×6) การบังคับให้ทุกคนใส่หน้ากาก ลดการพบปะกัน หรือ social distancing เป็นการลดโอกาสการแพร่เชื้อของคนกลุ่มนี้ให้กับผู้อื่น ซึ่งก็เป็นวิธีป้องกันที่ถูกต้อง
ข้อมูลล่าสุดจนถึง 1 เม.ย. 2563 ประทศไทยมีผู้ติดเชื้อสะสมรวม 1,771 คน มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 9.58% หรือเพิ่ม 2 เท่าทุก 10 วัน นั่นหมายถึงว่าวันที่ 30 เม.ย. 2563 จะมีผู้ติดเชื้อเป็น 14,186 คน วันที่ 30 พ.ค. 2563 เพิ่มเป็น 113,344 คน และเมื่อถึงอีก 3 เดือน วันที่ 30 มิ.ย. 2563 จะมีผู้ติดเชื้อถึง 906,752 คน
ถ้าคิดอัตราตายเพียง 1% จะมีคนไทยตายถึง 9 พันกว่าคนใน 3 เดือนข้างหน้า ซึ่งสถานการณ์จะไปเหมือนกับอิตาลีและอเมริกา ที่สำคัญระบบสาธารณสุขของไทยทั้งบุคลากรทางการแพทย์ เวชภัณฑ์และอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ต่างๆ จะไม่เพียงพอที่รับมือได้ จะเกิดความสูญเสียมหาศาลทั้งด้านชีวิตคนและด้านเศรษฐกิจ
จากสถานการณ์วิกฤติโควิด-19ที่กำลังจะทวีความรุนแรงขั้นสูงสุดภายในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า ประเทศไทยกำลังมาถึงทางสองแพร่งคือจะเป็นแบบอิตาลีและอเมริกาซึ่งอัตราการเพิ่มของผู้ป่วยจะเร็วมากและมีการสูญเสียมากหรือเรากดให้อัตราการเพิ่มของผู้ป่วยไม่สูงมาก ขึ้นช้าๆ และสูญเสียไม่มากแบบญี่ปุ่นและไต้หวัน ซึ่งเราต้องการให้เป็นแบบญี่ปุ่นและไต้หวัน ดังนั้น สิ่งที่ต้องดำเนินการและเตรียมการอย่างเร่งด่วนมี 3 เรื่องใหญ่ ดังนี้
1) ยกระดับมาตรการ physical distancing ให้เข้มข้นมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงการไปรับเชื้อและหยุดยั้งการแพร่กระจายเชื้อ ซึ่งมาตรการนี้มีความสำคัญมากที่สุด เน้นให้อยู่บ้านไม่เดินทาง ไม่ให้มีการรวมตัวกันของประชาชน และให้เว้นระยะห่าง 1.5-2 เมตร แต่ยังไม่ได้รับความร่วมมือจากประชาชนมากเท่าที่ควร
ข้อมูลสถิติจำนวนประชาชนสัญจรลดลงเฉลี่ย 40-50% รัฐบาลตั้งเป้าไว้ให้ลด 90% ซึ่งมีการวิจัยว่าสามารถลดการแพร่เชื้อได้ชัดเจน ต้องเพิ่มมาตรการโดยขอให้หน่วยงานของรัฐ บริษัท ห้างร้าน องค์กรต่างๆ ปรับการทำงานเป็น work from home อย่างจริงจัง อนุญาตให้เดินทางเฉพาะผู้ปฏิบัติงานในบางภารกิจที่จำเป็นเท่านั้น
2) ยกระดับมาตรการด้านสาธารณสุขโดยปูพรมค้นหากลุ่มผู้มีโอกาสติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการหรือมีอาการน้อย กลุ่มนี้ติดเชื้อแต่ไม่รู้ตัวและเป็นตัวการสำคัญในการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้ จะเห็นว่าวิธีเดียวที่จะสามารถค้นหาคนที่มีเชื้อแฝงอยู่แต่ไม่มีอาการเลย ก็คือต้องมีมาตรการเชิงรุกอย่างเข้มข้นที่จะตรวจหาผู้ติดเชื้อให้รวดเร็วขึ้นและได้จำนวนมากที่สุดโดยขยายหน่วยตรวจหาเชื้อให้ครอบคลุมทั้งประเทศทุกจังหวัด และให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ง่าย ต้องมีนโยบายขยายการค้นหาทั้งในกลุ่มคนที่มีโอกาสติดเชื้อ คนที่มีความเสี่ยงแม้ไม่แสดงอาการและกลุ่มที่ไม่มีความเสี่ยงด้วย จะเป็นการตัดตอนไม่ให้แพร่เชื้อต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ต้องประมาณการว่าต้องตรวจคนกี่คน ต้องใช้ test kits กี่ชุด มียาสำหรับคนไข้ได้กี่คน ศักยภาพเราพร้อมระดับไหน
3) การเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรทางการแพทย์ เวชภัณฑ์ อุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ทั้งหมดให้เพียงพอกับวิกฤตินี้ ต้องคาดการล่วงหน้าให้ใกล้เคียงที่สุดว่าที่เราต้องรองรับมันใหญ่ขนาดไหน ต้องเป็นตัวเลขจริงและใครคือผู้รับผิดชอบในแต่ละส่วน มีบูรณาการกันอย่างไรที่เป็นรูปธรรม จะบอกเพียงว่าเรารับไหวโดยไม่มีตัวเลขยืนยัน ทำแบบเดิมไม่ได้แล้ว ถ้าเราเตรียมทุกอย่างได้พร้อมและครบถ้วนจะทำให้สามารถรับมือกับวิกฤตินี้ได้อย่างราบรื่น อีกทั้งยังเป็นการสร้างเสริมขวัญและกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ได้อย่างดียิ่ง
เราต้องเตรียมการและทำแผนรองรับอย่างดี ก่อนที่จะเข้าสู่สภาพเหตุการณ์ที่รุนแรงที่จะเกิดขึ้นจริงในไม่ช้านี้
ทุกคน ทุกภาคส่วนต้องช่วยกัน ร่วมมือกัน ต้องถือเป็นหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขอย่างจริงจัง และต้องเริ่มปฏิบัติเสียแต่วันนี้ก่อนที่ประเทศไทยจะกู่ไม่กลับแบบอิตาลี เราจะผ่านวิกฤติโควิด-19 นี้ไปด้วยกันอย่างมีชัยชนะ
#อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ
#โรคติดต่อจะไม่ติดต่อถ้าทุกคนไม่ใกล้ชิดกัน
ภาพประกอบจาก : เจาะใจ ออนไลน์ : Insider ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์อุดม คชินทร - ที่สุดแห่งแรงบันดาลใจ [1 ก.พ 61]