"...รัฐบาลจะยิง “บาซูก้า”การคลังอย่างไรเพื่อให้เศรษฐกิจไทยฟื้นเร็วเป็น V shape และทุกบ้านที่ไร้คนติดเชื้อก็ควรได้รับรางวัลด้วย ไม่ใช่แค่การให้เงินเยียวยาผู้ถูกกระทบจากโควิด19 เท่านั้น หากแต่คนไทยที่ยอมเสียสละกักตัวเองและครอบครัวอยู่กับบ้าน ทำงานจากบ้าน Work From Home และให้ความร่วมมือกับภาครัฐเป็นอย่างดี..."

จากมติ ครม. เมื่อวันที่ 7 เม.ย. 2563 เห็นชอบวงเงินกว่า 1.9 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 11 ของจีดีพีไทย เพื่อทุ่มงบประมาณในการดูแลเยียวยาผู้ถูกกระทบจากโควิด19 จึงเปรียบเสมือนการยิง “บาซูก้า” การคลังชุดใหญ่ของรัฐบาลไทยในการออกรบกับไวรัสปีศาจร้ายนี้ และอัดฉีดเยียวยาภาคส่วนต่างๆ ที่ถูกกระทบทางเศรษฐกิจจากวิกฤตหนักในครั้งนี้ โดยมีการคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้อาจจะโตติดลบราวร้อยละ 5-6
อย่างไรก็ดี แล้วรัฐบาลจะยิง “บาซูก้า”การคลังอย่างไรเพื่อให้เศรษฐกิจไทยฟื้นเร็วเป็น V shape และทุกบ้านที่ไร้คนติดเชื้อก็ควรได้รับรางวัลด้วย ไม่ใช่แค่การให้เงินเยียวยาผู้ถูกกระทบจากโควิด19 เท่านั้น หากแต่คนไทยที่ยอมเสียสละกักตัวเองและครอบครัวอยู่กับบ้าน ทำงานจากบ้าน Work From Home และให้ความร่วมมือกับภาครัฐเป็นอย่างดี ก็ควรได้รับการตอบแทนด้วย ดิฉันจึงขอเสนอแนะ “มาตรการ “9999 บาทสำหรับบ้านที่ไร้ผู้ติดเชื้อโควิด19” โดยจะต้องไม่มีสมาชิกในบ้านติดเชื้อเลยในช่วง 7 เดือนอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ม.ค.-ก.ค. 2563
สำหรับวัตถุประสงค์ของโครงการ“9999 บาทสำหรับบ้านที่ไร้ผู้ติดเชื้อโควิด19” มี 2 ข้อหลัก คือ
ประการแรก เพื่อเป็นแรงจูงใจให้คนไทยได้อยู่บ้าน และดูแลตัวเองรวมทั้งคนในครอบครัวอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ปลอดภัยจากการติดเชื้อโควิด19 รวมทั้งช่วยสร้าง peer pressure ให้คนในครอบครัวได้ช่วยกันดูแลกันและกัน เพื่อจะได้รับเงินรางวัล ที่สำคัญ จะยิ่งเป็นการจูงใจให้คนรายได้ต่ำในระดับรากหญ้าหันมาดูแลตัวเองมากขึ้น เพราะเงิน 9,999 บาทมีคุณค่ามากสำหรับผู้มีรายได้น้อย
ประการที่สอง เพื่ออีดฉีด “บาซูก้า” การคลังอย่างทั่วถึง จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะกระจายเม็ดเงินไปได้ทั่วถึงทุกครัวเรือนในทุกจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งจะทำให้มีการจ่ายใช้สอยได้เพิ่มเป็นตัวทวีคูณและช่วยเร่งให้เศรษฐกิจไทยกลับมาฟื้นตัวได้เร็วแบบ V shape
สำหรับวงเงินงบประมาณและแนวทางการดำเนินการ มีดังนี้
ข้อแรก คำว่า “บ้าน” ให้ยึดตามข้อมูล”ทะเบียนบ้าน” ที่มีการจดทะเบียนไว้แล้ว ซึ่งมีประมาณ 26.7 ล้านครัวเรือน จึงคาดว่า จะใช้งบประมาณ ราว 2.6 แสนล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการมาแจ้งทะเบียนบ้านเพิ่ม/แตกจำนวนครัวเรือนเพื่อหวังเงินรางวัล จึงควรออกระเบียบฯ ว่า เกณฑ์ผู้มีสิทธิ์จะยึดตามทะเบียนบ้านที่มีการจดทะเบียนในระบบฐานข้อมูลไว้ก่อนตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา ก่อนจะมีการประกาศมาตรการนี้ และเจ้าบ้านที่มีบ้านหลายหลัง จะได้สิทธิเพียงแค่หลังเดียว โดยตรวจสอบจากเลขบัตรประชาชน
ข้อสอง เกณฑ์ในการพิจารณาว่า สมาชิกในทะเบียนบ้านปลอดเชื้อโควิด19 จริงหรือไม่ จะยึดตามข้อมูลของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เพื่อตรวจสอบว่า แต่ละครอบครัวเคยมีประวัติผู้ติดเชื้อโควิด19 หรือไม่ ในช่วง 7 เดือน ตั้งแต่มกราคม-กรกฎาคม 2563
ข้อสาม ในการมอบเงินรางวัล จะขอให้เจ้าบ้านเป็นผู้มีสิทธิ์มาลงทะเบียนรับเงินโดยยึดตามข้อมูลทะเบียนบ้าน และเลขที่บัตรประชาชนของเจ้าบ้าน ( 1 บ้าน 1 สิทธิ์) และหลังจากการตรวจสอบข้อมูลกับกระทรวงสาธารณสุขแล้วว่า ปลอดเชื้อโควิด19 จริง ก็ทำการโอนเงินเข้าบัญชีหรือพร้อมเพย์ (คล้ายกับโครงการเราไม่ทิ้งกัน )
สำหรับจุดเด่นของมาตรการนี้ จะเป็นมาตรการเชิงบวก positive incentive เพื่อกระตุ้นส่งเสริมคนไทยมี self discipline จึงไม่ได้เป็นเพียงการแจกเงินเฉยๆ และคาดว่า จะได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี
นอกจากมาตรการนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการอัดฉีดเงินให้ทุกบ้านที่ไร้ผู้ติดเชื้อแล้ว ยังจะช่วยจูงใจและช่วยให้คนไทยได้มีการฝึกวินัยในการดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่องนานหลายเดือน (จนถึงกรกฎาคม 2563) จึงย่อมจะมีผลสร้างการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนไทยให้หันมาดูแลสุขภาพตัวเองอย่างมีนัยสำคัญ และจะเป็นผลดีต่อการสาธารณสุขของประเทศในอนาคต
ที่สำคัญกว่าการมอบเงินรางวัลใดใด คือ การส่งเสริมให้คนไทยหันมาร่วมมือร่วมใจกันอยู่บ้านเพื่อดูแลตัวเองและครอบครัว จะช่วยลดภาระทีมแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องเหนื่อยล้าทุ่มเทรักษาผู้ป่วยโควิด19 และลดการแพร่ระบาดของโรคร้ายนี้ให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทย แล้วในที่สุด เราจะรบชนะไวรัสร้ายนี้ไปด้วยกันได้เร็วขึ้นด้วยค่ะ


Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา