
"...ภัยจากปัญญาประดิษฐ์รวมทั้งภัยจากโลกออนไลน์แม้เป็นภัยที่อาจไม่ได้สร้างความสูญเสียให้เห็นเด่นชัดดังเช่น การทำลายล้างอย่างรุนแรงด้วยอาวุธหรือระเบิดนิวเคลียร์ แต่ภัยจากปัญญาประดิษฐ์จะค่อยๆแทรกซึมเข้าไปในสังคมโดยยากที่จะสังเกตเห็นได้ อีลอน มัสก์ นักเทคโนโลยีคนดังของโลกเคยออกมาเตือนถึงภัยของปัญญาประดิษฐ์ว่า “ปัญญาประดิษฐ์อาจเลวร้ายกว่าอาวุธนิวเคลียร์” เสียอีก สอดคล้องกับคำเตือนของ สตีเฟน ฮอว์กิง นักฟิสิกส์คนสำคัญของโลก ที่เคยเตือนถึงภัยจากปัญญาประดิษฐ์ไว้เช่นกันว่า “ปัญญาประดิษฐ์อาจเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ความเป็นอารยะธรรมของมนุษย์” ดังนั้นการทำหน้าที่พลเมืองที่เข้มแข็งสำหรับโลกยุคใหม่จึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการใช้ชีวิตของผู้คนในโลกแห่งปัญญาประดิษฐ์ เพื่อไม่ให้มนุษย์ถูกบงการด้วยเทคโนโลยีจนกระทั่งลืมความเป็นมนุษย์ไป..."
..............................
กระแสการชูสามนิ้วและการผูกโบขาวของนักเรียนในช่วงเกือบสองเดือนที่ผ่านมากลายเป็นข่าวใหญ่ตามสื่อต่างๆอยู่หลายวันและไม่บ่อยครั้งนักที่ได้เห็นนักเรียนออกมาชุมนุมกันในโรงเรียนและตามสถานที่ต่างๆอย่างกว้างขวาง จนนำมาสู่การชุมนุมที่กระทรวงศึกษาธิการ แสดงให้เห็นว่านักเรียนจำนวนหนึ่งมีความอึดอัดใจต่อสถานะความเป็นนักเรียนของตนเองอยู่ไม่น้อย จนต้องออกมาเรียกร้องหาความเป็นธรรมและยังแสดงให้เห็นถึงพลังของนักเรียนที่ต้องการแสดงออกผ่านช่องทางต่างๆโดยใช้โซเชียลมีเดียซึ่งมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารระหว่างกันเพื่อนัดชุมนุม
สิ่งที่นักเรียนเรียกร้องเท่าที่จับความได้จากปากของนักเรียนบางคนผ่านสื่อโทรทัศน์สองแห่งพบว่ามีอยู่ด้วยกันอย่างน้อย 6 ประเด็น เป็นต้นว่า (อ้างถึง 1)
- นักเรียนเห็นว่าโรงเรียนเป็นเสมือนสถานที่ที่นักเรียนถูกยัดเยียดสิ่งที่ครูอยากให้นักเรียนรับรู้โดยไม่ได้สนใจว่านักเรียนมีความพร้อมหรือเต็มใจที่จะรับในสิ่งที่ครูมอบให้หรือไม่
- นักเรียนเห็นว่าการทำโทษโดยวิธีเฆี่ยนตี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำโทษด้วยการเฆี่ยนตีหน้าเสาธงเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำและเป็นการลงโทษที่ไม่เหมาะกับยุคสมัย
- นักเรียนเห็นว่ากระทรวงศึกษาธิการยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาการคุกคามทางเพศนักเรียนได้
- นักเรียนเห็นว่าโรงเรียนมีกฎระเบียบล้าหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎระเบียบเกี่ยวกับการแต่งกายซึ่งนักเรียนควรมีสิทธิที่จะเป็นเจ้าของร่างกายของตัวเองแทนการถูกบังคับด้วยระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการ
- นักเรียนเห็นว่ากำลังถูกกดขี่ทางความคิดโดยการใช้อำนาจและความอาวุโสของครู
- นักเรียนเห็นว่าควรปฏิรูปวิชาประวัติศาสตร์และวิชาหน้าที่พลเมืองเพราะเรียนรู้มามากแล้วควรเน้นการเรียนเรื่องเทคโนโลยี เช่น ปัญญาประดิษฐ์และวิชากระเภท Big Data แทน ข้อเรียกร้องทั้งหกข้อของนักเรียนเป็นเหตุผลที่ผู้ใหญ่ต้องรับฟังและหากข้อเรียกร้องดังกล่าวเป็นความจริงตามที่นักเรียนเรียกร้อง แสดงว่ากระบวนการเรียนการสอนรวมทั้งระเบียบต่างๆของโรงเรียนในบ้านเราน่าจะมีปัญหาอยู่ไม่มากก็น้อย ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการเองและโรงเรียนต่างๆคงรับทราบและคงไม่ละเลยต่อการแก้ไขปัญหาเพื่อทำให้เด็กนักเรียนรับรู้ได้ว่าผู้ใหญ่เองก็มิได้นิ่งนอนใจต่อสิ่งที่นักเรียนกำลังเรียกร้อง
ปัญหาบางปัญหาที่นักเรียนกำลังเรียกร้องเกิดขึ้นตั้งแต่ดึกดำบรรพ์สมัยที่ ปู่ ย่า ตา ยาย หรือ พ่อ แม่ ยังนุ่งกางเกงขาสั้นและผูกคอซองไปโรงเรียนกันอยู่ นักเรียนยุคประชาธิปไตยเบ่งบานเมื่อหลายสิบปีก่อนยังเคยฉีกตำราเรียนทิ้งมาแล้วเพราะเห็นว่าล้าสมัย การเรียกร้องต่างๆของนักเรียนจึงไม่ใช่ปัญหาใหม่แต่อย่างใด แต่รูปแบบของการแสดงออกและการนัดหมายรวมตัวของนักเรียนยุคนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปด้วยอิทธิพลของการใช้โซเชียลมีเดีย จึงสะท้อนถึงพลังของโซเชียลมีเดียต่อการชุมนุมเรียกร้องและยังสะท้อนถึงปัญหาในระบบการศึกษาไทยที่ทับถมมาตลอดเวลาหลายสิบปีโดยไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง ข้อเรียกร้องของนักเรียนจึงเป็นเรื่องที่รับฟังได้และมีเหตุผลที่กระทรวงศึกษาธิการต้องรับไปพิจารณาแก้ไข
อย่างไรก็ตาม การที่นักเรียนบางคนเห็นว่า “ ต้องการให้ปฏิรูปวิชาประวัติศาสตร์และวิชาหน้าที่พลเมืองเพราะเรียนรู้มามากแล้วและควรเน้นการเรียนเรื่องเทคโนโลยี เช่น ปัญญาประดิษฐ์และวิชากระเภท Big Data นั้น เป็นเรื่องที่เข้าใจได้เพราะมนุษย์กับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีคือวิวัฒนาการที่เคลื่อนไหวไปพร้อมๆกันไม่ว่าจะอยู่ในยุคใดสมัยใดก็ตาม แต่การเรียนประวัติศาสตร์เป็นการเรียนรู้อดีตเพื่อคาดการณ์อนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งประวัติศาสตร์ที่สร้างความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงแก่ชาวโลกเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้เพื่อให้ประวัติศาสตร์ไม่ซ้ำรอยเหมือนอดีต ประวัติศาสตร์จึงทำให้เราไม่หลงทาง แต่วิทยาศาสตร์จะเป็นเครื่องมือให้เราก้าวไปข้างหน้า (อ้างถึง 2) การเรียนประวัติศาสตร์จึงไม่ใช่วิชาที่ล้าสมัยหรือเป็นวิชาที่ไร้สาระแต่อย่างใด เพราะประวัติศาสตร์คือวิชาที่ช่วยไม่ให้เราหลงทางไปจนกู่ไม่กลับนั่นเอง
การเรียกร้องเพื่อไม่เรียนวิชาประวัติศาสตร์ของนักเรียนบางคนเป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ว่าอาจเกิดจากแนวคิดที่เห็นว่าวิชาประวัติศาสตร์เป็นเรื่องของอดีตและเป็นเรื่องไกลตัว แต่แนวคิดที่ไม่อยากเรียนวิชาหน้าที่พลเมืองเพราะเห็นว่าเรียนมามากแล้วและอยากเรียนวิชาทางเทคโนโลยีแทนนั้น ออกจะเป็นแนวคิดที่น่าเป็นห่วงและดูเหมือนว่านักเรียนกำลังจะทิ้งหน้าที่ความเป็นมนุษย์ด้วยการหันหน้าเข้าไปหาเทคโนโลยีแทน การแสดงความเห็นดังกล่าว จึงทำให้คาดเดาได้ว่านักเรียนมองวิชาหน้าที่พลเมืองเป็นวิชาที่ต้องเรียนเฉพาะในห้องเรียนตามหลักสูตรที่กำหนดมาให้และเรียนเพื่อให้สอบผ่านหรือเพื่อให้จบการศึกษา ทั้งๆที่วิชาที่ว่าด้วยหน้าที่พลเมืองคือวิชาที่ต้องเรียนรู้ตลอดชีวิตทั้งในโรงเรียนและในชีวิตจริงตามพลวัตของเทคโนโลยีและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละยุค
หน้าที่พลเมืองจึงเป็นเหมือนวิชาการใช้ชีวิตของมนุษย์ทั้งในโลกแห่งความเป็นจริงและในโลกเสมือนที่ต้องเรียนรู้ตั้งแต่วัยเรียนจนเติบใหญ่และแม้ว่าโลกจะย่างก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลและยุคของปัญญาประดิษฐ์ตามที่นักเรียนเรียกร้องอยากจะเรียน แต่มิได้หมายความว่าผู้คนในโลกปัญญาประดิษฐ์จะหลุดพ้นพันธะจากการทำหน้าที่เป็นพลเมืองที่ดีไปได้ เพราะในโลกของปัญญาประดิษฐ์ซึ่งเป็นโลกใหม่ที่มนุษย์กำลังมอบอำนาจการตัดสินใจในกิจกรรมประจำวันต่างๆให้กับระบบอัตโนมัติผ่านอัลกอริทึมซึ่งไม่ใช่มนุษย์และมีความซับซ้อนนั้น ยิ่งต้องการการทำหน้าที่พลเมืองที่เข้มแข็ง ต้องการศีลธรรม จริยธรรม ความรับผิดชอบและความโปร่งใสที่เข้มงวด เพื่อไม่ให้ปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องถูกนำไปใช้ในทางมิชอบซึ่งจะเป็นภัยต่อมวลมนุษย์ในที่สุด
ภัยจากปัญญาประดิษฐ์รวมทั้งภัยจากโลกออนไลน์แม้เป็นภัยที่อาจไม่ได้สร้างความสูญเสียให้เห็นเด่นชัดดังเช่น การทำลายล้างอย่างรุนแรงด้วยอาวุธหรือระเบิดนิวเคลียร์ แต่ภัยจากปัญญาประดิษฐ์จะค่อยๆแทรกซึมเข้าไปในสังคมโดยยากที่จะสังเกตเห็นได้ อีลอน มัสก์ นักเทคโนโลยีคนดังของโลกเคยออกมาเตือนถึงภัยของปัญญาประดิษฐ์ว่า “ปัญญาประดิษฐ์อาจเลวร้ายกว่าอาวุธนิวเคลียร์” เสียอีก สอดคล้องกับคำเตือนของ สตีเฟน ฮอว์กิง นักฟิสิกส์คนสำคัญของโลก ที่เคยเตือนถึงภัยจากปัญญาประดิษฐ์ไว้เช่นกันว่า “ปัญญาประดิษฐ์อาจเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ความเป็นอารยะธรรมของมนุษย์” ดังนั้นการทำหน้าที่พลเมืองที่เข้มแข็งสำหรับโลกยุคใหม่จึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการใช้ชีวิตของผู้คนในโลกแห่งปัญญาประดิษฐ์ เพื่อไม่ให้มนุษย์ถูกบงการด้วยเทคโนโลยีจนกระทั่งลืมความเป็นมนุษย์ไป
การที่เยาวชน แม้เป็นเพียงส่วนน้อย ไม่เห็นความสำคัญของวิชาหน้าที่พลเมืองคือสัญญาณที่บอกให้สังคมไทยรู้ว่าตลอดระยะเวลาอันยาวนานของการเรียนการสอนวิชาหน้าที่พลเมืองซึ่งเป็นเหมือนคู่มือการใช้ชีวิตของมนุษย์ไม่ได้ถูกเชื่อมโยงเข้ากับความเป็นพลเมืองในชีวิตจริงและนักเรียนไม่ได้ถูกบ่มเพาะให้เข้าใจถึงบทบาทของหน้าที่พลเมืองทั้งในโรงเรียนและนอกโรงเรียน อาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ผู้คนไร้ระเบียบมากที่สุด ผู้คน มีการกระทำผิดซึ่งหน้าโดยไม่ละอายใจ ทั้งในชีวิตจริงและบนโลกออนไลน์ เราจึงมักพบเห็นการทำผิดกฎหมายได้ทั่วไปทั้ง ตามถนนหนทาง สถานที่สาธารณะต่างๆ แม้กระทั่งในบางพื้นที่ก็ยังพบเห็นคนบางกลุ่มบางพวกไปยึดที่หลวงทั้งบนบกและในทะเลมาหาประโยชน์ให้กับตัวเองอย่างหน้าตาเฉยดังที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่เนืองๆ
ความวุ่นวายไร้ระเบียบของสังคม รวมทั้งความปั่นป่วนบนโลกออนไลน์ที่เริ่มต้นมาจากอินเทอร์เน็ตผ่านมาถึงโซเชียลมีเดียจนนำไปสู่ความวุ่นวายในชีวิตจริง จึงสะท้อนถึงความอ่อนแอในการทำหน้าที่การเป็นพลเมืองที่ดีของคนไทยจำนวนหนึ่งอย่างยากที่จะปฏิเสธได้ เราจึงเห็นกฎหมายจำนวนมากถูกตราขึ้นเพื่อการลงโทษผู้กระทำผิด แต่เรายังขาดกลไกที่เข้มแข็งในการสร้างพลเมืองให้รู้จักคำว่าหน้าที่พลเมือง เพื่อไม่ให้กระทำสิ่งผิดกฎหมายเสียตั้งแต่ต้นมือ
สถาบันการศึกษาและสถาบันครอบครัวจึงต้องหันมาสร้างทัศนคติให้นักเรียนได้ซึมซับถึงความสำคัญของการทำหน้าที่พลเมืองที่ดีให้ เป็นเสมือนอัลกอริทึมที่ฝังอยู่ในดีเอ็นเอของคนไทย เพื่อไม่ให้นักเรียนเข้าใจว่า วิชาหน้าที่พลเมืองเป็นเรื่องน่าเบื่อและจำกัดอยู่ในเฉพาะในห้องเรียนเท่านั้น แต่หน้าที่พลเมืองคือวิชาที่นักเรียนต้องเรียนรู้ไปจนตลอดชีวิต เพราะคนไทยทุกคนนอกจากจะต้องทำหน้าที่ให้ตนเองเป็นพลเมืองดีแล้วในภายภาคหน้าอาจต้องไปทำหน้าที่อบรมบุตรหลานหรือลูกศิษย์ให้เป็นพลเมืองที่รู้จักหน้าที่ของตัวเองอีกด้วย
อ้างอิง
1. บางส่วนจากรายการสัมภาษณ์นักเรียนทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสและเนชั่นทีวี
2. วิถีคิด โดย โสภณ สุภาพงษ์
ภาพประกอบ

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา