"...การช่วยเหลือผู้ติดเชื้อและครอบครัวสามารถขยายมากกว่าการช่วยเหลือด้านการเงิน โดยให้ครอบคลุมถึงการสร้างงานที่เชื่อมโยงกับการควบคุมการระบาดและการรักษาผู้ติดเชื้อ เช่น การจ้างคนตกงาน/บริษัทที่เดือดร้อนให้ช่วยกิจกรรมควบคุมโรคของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ การจ้างโรงแรม/ร้านอาหารให้ช่วยทำอาหารส่งอาสาสมัครหรือประชาชนในพื้นที่ระบาด การจ้างคนขับรถที่ตกงาน/มีรายได้ลดลง ให้ช่วยขนส่งของ/อาหารหรือรับส่งผู้มีความเสี่ยงที่อาการไม่รุนแรงมากไปยังโรงพยาบาล ..."
....................................
เพื่อหาแนวทางควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อในกทม.และปริมณฑล ให้ลดลงสู่ระดับที่ระบบสาธารณสุขสามารถบริหารจัดการได้ โดยไม่ส่งผลเสียหายรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจ และทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างยั่งยืน สามารถดำเนินกิจกรรมด้านสังคมได้ตามสภาวะใกล้เคียงกับปกติ กลุ่มนักเศรษฐศาสตร์และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ป้องกันและระบาดวิทยาจึงได้มีข้อเสนอต่อมาตรการควบคุมการระบาดของโควิด-19 ระลอก 3 ทั้งสิ้น 3 ด้านดังนี้
1. ข้อเสนอการเร่งดำเนินการจัดตั้งทีมเฝ้าระวังสอบสวนโรคในเขตกรุงเทพมหานครเพิ่มเติมอย่างน้อย 200 ทีมและสร้างความเชื่อมโยงกับการดำเนินการกักแยกโรค
การระบาดของโรคโควิด-19 ในระลอกสามนี้ก่อให้เกิดภาระด้านสาธารณสุขและการรักษาอย่างมาก โดยเฉพาะในพื้นที่เขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ความเสี่ยงที่ผู้ติดเชื้อจะได้รับการดูแลอย่างทันการณ์เพิ่มสูงกว่าการระบาดในระลอกก่อนหน้าอย่างชัดเจน เห็นได้จากกรณีผู้ติดเชื้อจำนวนมากที่กว่าภาครัฐจะสามารถทราบว่าติดเชื้อก็ผ่านไปเป็นเวลาหลายวันหรือถึงสัปดาห์ ทำให้ผู้ติดเชื้อดังกล่าวมีอาการมากกว่าที่ควรเป็นเมื่อถึงมือแพทย์ อัตราการตายมีแนวโน้มสูงกว่าการระบาดที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังขาดการประสานงานเชื่อมโยงกับระบบการกักแยกโรค ทำให้เกิดการตกค้างของผู้ติดเชื้อในครอบครัวและชุมชน เกิดความเสี่ยงที่จะทำให้การระบาดขยายวงกว้างยิ่งขึ้น และแม้จะได้รับการบริหารจัดการไประดับหนึ่ง แต่ยังมีความเสี่ยงว่าสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้นจะยังคงยืดเยื้อจนทำให้ระบบสาธารณสุขต้องรับภาระอันหนักหน่วงต่อไป การควบคุมการระบาดให้ต่ำลงจะทำได้ยาก ผู้ป่วยอาการหนักและผู้เสียชีวิตก็ยากที่จะลดลง
ปรากฏการณ์ข้างต้นน่าจะเกิดจากสองสาเหตุ ได้แก่ (ก) ความสามารถในการค้นหาผู้ติดเชื้อยังไม่เพียงพอกับสถานการณ์และธรรมชาติของการระบาดในระลอกนี้ซึ่งเป็นกระจายของเชื้อโรคในวงกว้าง (wide community spreading) ทำให้ทีมสอบสวนโรคในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่มีและทรัพยากรอยู่ไม่เพียงพอที่จะรับมือ เพราะกทม.มี จำนวนชุมชนแออัด 641 แห่ง และชุมชนเมืองอีก 459 แห่ง เขตบางเขตใหญ่กว่าหลายจังหวัด (ข) ขาดการประสานงานเชื่อมโยงระหว่างการสอบสวนโรคและระบบการแยกกักโรค สถานการณ์จะไม่ดีขึ้นหากไม่มีการแก้ปัญหาที่สองสาเหตุนี้ แนวทางการแก้ปัญหาอื่นเช่นการตรวจเชิงรุก (active case finding) เพราะชุมชนที่มีความเสี่ยงของการระบาดสูงกระจายตัวไปมากแล้ว หรือแม้กระทั่งการล็อคดาวน์พื้นที่กรุงเทพและปริมณฑลในระดับที่เข้มงวดสูงสุดก็อาจไม่สามารถแก้ปัญหาได้ (ดังตัวอย่างการระบาดในกลุ่มผู้ต้องขังในปัจจุบัน) เพราะการล็อคดาวน์เมืองอาจช่วยลดการแพร่เชื้อในที่ทำงานและที่สาธารณะ แต่จะไม่ช่วยลดการติดเชื้อในภาพรวม เพราะเมื่อการระบาดลงไปในพื้นที่ซึ่งทำ social distancing ไม่ได้ เช่น ครัวเรือนในชุมชนแออัด หรือในเรือนจำ ล็อคดาวน์ไปก็คงไม่ช่วยอะไรมากนัก
ทางเลือกที่เหลืออยู่และเป็นทางเลือกที่ควรทำอย่างเร่งด่วนคือ การเพิ่มทีมสอบสวนโรคให้มากกว่าปัจจุบันหลายเท่าตัวเช่นเพิ่มให้มีจำนวนอย่างน้อย 200 ทีมในพื้นที่ กทม. อย่างเดียว (เพราะทุกแขวงควรมีทีมสอบสวนโรคอย่างน้อยหนึ่งทีม)โดยในระยะสั้นอาจเป็นการระดมทีมสอบสวนโรคที่มีประสบการณ์จากจังหวัดอื่นที่สถานการณ์การระบาดค่อนข้างน้อย (หรือน้อยลงแล้วจากที่เคยมีการระบาดมาก) และในระยะยาวควรมีการสร้างศักยภาพในการสอบสวนโรคและสร้างทีมใหม่ ๆ ขึ้นมาเพื่อพื้นที่ กทม. และปริมณฑลโดยเฉพาะกลไกการเชื่อมโยงและประสานงานกับระบบการแยกกักโรคควรทำโดยการสร้างระบบสั่งการที่มีความเชื่อมโยงระหว่างการสอบสวนโรค การตรวจเชื้อ และการเตรียมการกักแยกโรคทุกระดับ การเชื่อมโยงดังกล่าวต้องเป็นแบบ real-time ไม่ใช่การประชุมเป็นครั้งคราวระหว่างหน่วยงานที่แยกกันรับผิดชอบ และควรมีมาตรการเสริมที่ตอบสนองความจำเป็นและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน เช่น การจ่ายเงินทดแทนขั้นต่ำอย่างสิบสี่วันตามจำนวนวันที่กักตัวหรือแยกรักษาตัวให้กับผู้ติดเชื้อที่เป็นลูกจ้างรายวัน แรงงานนอกระบบ และคนฐานราก (ดูข้อเสนอ 2 เพิ่มเติม) มาตรการเร่งด่วนนี้จะเป็นการสร้างแรงจูงใจให้คนฐานรากที่เสี่ยงติดเชื้อ เต็มใจเข้ามารับการตรวจและกักตัวทันที
2. ข้อเสนอเชื่อมโยงมาตรการควบคุมโรคกับมาตรการด้านเศรษฐกิจและสังคม
มาตรการเพิ่มทีมเฝ้าระวังและสอบสวนโรคเพื่อควบคุมการระบาดของโรคย่อมจะมีผลกระทบทางเศรษฐกิจสังคมต่อประชากรกลุ่มเปราะบางในชุมชนแออัดจำนวนนับล้านคน (ทั้งที่มีทะเบียนบ้านและเป็นประชากรแฝง) ศบส. จึงควรมีนโยบายเชื่อมโยงมาตรการควบคุมโรคกับมาตรการเยียวยาด้านเศรษฐกิจและสังคมโดยตรง เพื่อให้การบังคับใช้มาตรการควบคุมได้ผลมากที่สุด สามารถปฏิบัติได้จริงตรงตามบริบท (Practical) และถูกต้องตามหลักจริยธรรม (Ethical) ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมกลับสู่ภาวะปรกติได้รวดเร็วขึ้น
การดำเนินการให้ความช่วยเหลือดังกล่าวจะเป็นแรงจูงใจสำคัญให้ประชาชนฐานรากที่เปราะบาง ยากจน หาเช้ากินค่ำ ให้ข้อมูลที่เป็นจริงแก่ทีมเฝ้าระวังและสอบสวนโรค รวมทั้งยินดีเข้าสู่การกักตัวแยกโรค ยิ่งกว่านั้นการเชื่อมโยงมาตรการควบคุมโรคกับมาตรการเศรษฐกิจสังคมจะเพิ่มประสิทธิผลของมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดในกทม.และปริมณฑล และลดโอกาสการเกิดการระบาดระลอกใหม่อย่างมีนัยสำคัญ ภาวะเศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้เร็วขึ้น กิจกรรมด้านสังคม การศึกษาจะสามารถกลับสู่ภาวะปรกติได้ในเวลาอันสั้น
เหตุผลที่รัฐควรให้ความช่วยเหลือแรงงานที่ตกงาน/มีรายได้ลดลงและกิจการนอกระบบในชุมชนที่ถูกผลกระทบจากการปิดกิจการ ก็เพราะแม้ว่ารัฐบาลจะมีโครงการ “เราชนะ” เป็นมาตรการเยียวยาที่มีผู้ได้สิทธิประโยชน์ประมาณ 32.9 ล้านคน แต่ยังมีปัญหาว่าอาจมีการตกหล่นของแรงงานนอกระบบและกลุ่มคนเปราะบางจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น ประชาชนจำนวนหนึ่งเข้าไม่ถึงมาตรการเยียวยาเพราะไม่มีสมาร์ทโฟน นอกจากนี้การช่วยเหลือควรเป็นระดับครัวเรือนของผู้ที่รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการระบาดไม่ใช่เพียงระดับบุคคลและระดับความช่วยเหลือควรสัมพันธ์กับผลกระทบ ดังนั้น ศูนย์บูรณาการแก้ไขสถานการณ์แพร่ระบาดโรคโควิด-19 ในพื้นที่กทม.และปริมณฑล (ศบส.) ควรใช้โอกาสในช่วงการทำ TTI เชิงรุกในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทำการสำรวจและกำหนดผู้ควรได้รับความช่วยเหลือและระดับความช่วยเหลือ โดยอาศัยความร่วมมือกับเขตและสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (ที่ทำงานใกล้ชิดกับชุมชนเมือง) ผลการสำรวจในระหว่างการสืบสวนโรคจะช่วยให้กลุ่มคนเปราะบางด้อยโอกาสที่ถูกผลกระทบของโควิด ได้รับความช่วยเหลือเยียวยาตามสิทธิที่เขาเหล่านี้ควรได้รับ และรัฐอาจถือโอกาสนี้นำแรงงานนอกระบบเข้าสู่ระบบประกันสังคม (โดยจ่ายเงินสมทบเฉพาะการประกันบางประเภท เช่นการว่างงานและเงินชราภาพ เพราะคนเหล่านี้มีบัตรทองอยู่แล้ว)
การช่วยเหลือผู้ติดเชื้อและครอบครัวสามารถขยายมากกว่าการช่วยเหลือด้านการเงิน โดยให้ครอบคลุมถึงการสร้างงานที่เชื่อมโยงกับการควบคุมการระบาดและการรักษาผู้ติดเชื้อ เช่น การจ้างคนตกงาน/บริษัทที่เดือดร้อนให้ช่วยกิจกรรมควบคุมโรคของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ การจ้างโรงแรม/ร้านอาหารให้ช่วยทำอาหารส่งอาสาสมัครหรือประชาชนในพื้นที่ระบาด การจ้างคนขับรถที่ตกงาน/มีรายได้ลดลง ให้ช่วยขนส่งของ/อาหารหรือรับส่งผู้มีความเสี่ยงที่อาการไม่รุนแรงมากไปยังโรงพยาบาล การจ้างคนตกงานให้เป็นผู้ดูแล (Caregiver) ประชาชนกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่ระบาด เด็ก คนชรา และผู้ป่วยติดเตียงที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้แต่ต้องอยู่คนเดียวเพราะญาติต้องกักตัว โดยอาศัยการร่วมมือกับกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน
การดำเนินการให้ความช่วยเหลือดังกล่าวจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการช่วยควบคุมการแพร่ระบาดในชุมชนเมืองที่แออัด
ในระยะกลาง รัฐบาลควรร่วมมือกับกทม. และจังหวัดต่างๆ ปรับปรุงโครงสร้างและระบบสุขาภิบาลตลาดสด (เฉพาะในกทม.มีตลาดสด 389 แห่ง) ตลาดสดเป็นกิจการที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตสำหรับคนฐานราก ไม่สามารถปิดได้ แต่ตลาดสดหลายแห่งเป็นแหล่งแพร่เชื้อโควิดดังที่พบที่ตลาดในสมุทรสาคร ปทุมธานี กทม. เพราะตลาดสดส่วนใหญ่ที่เป็นโครงสร้างอาคารยังขาดระบบสุขาภิบาลที่ถูกสุขลักษณะ โครงสร้างตลาดแออัด อากาศถ่ายเทไม่สะดวกกลายเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคต่างๆ ยิ่งกว่านั้น อาหารและผลิตภัณฑ์การเกษตรที่ซื้อขายกันในตลาดยังไม่ปลอดภัย มีสารเคมีและจุลินทรีย์ปนเปื้อน เป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนที่เป็นคนฐานรากของประเทศ
รัฐบาลจึงจำเป็นต้องร่วมมือกับ กทม. และเทศบาลกำหนดมาตรการช่วยเหลือทางการเงินและการออกแบบตลาดให้เจ้าของตลาดและผู้ค้ารายย่อยในตลาดสดเหล่านี้ปรับปรุงโครงสร้างตลาด และจัดระบบสุขาภิบาลให้มีการระบายอากาศที่ดี การมีสุขลักษณะ ลดความแออัด นอกจากนั้นเอกชนและเทศบาลยังสามารถพัฒนาตลาดสดให้เป็นแหล่งซื้อขายอาหารของคนส่วนใหญ่สามาถแข่งขันกับ supermarket และเป็นดึงดูดท่องเที่ยวจนกลายเป็นแหล่งสร้างรายได้ที่มั่นคงให้คนฐานราก ผู้ว่าราชการทุกจังหวัดควรกำกับดูแลการปรับปรุงให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
3. ข้อเสนอแต่งตั้ง CEO และปรับโครงสร้างบริหารจัดการสถานการณ์โควิดของกทม. แม้ว่า ศบส. ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานมีอำนาจหน้าที่เป็นผู้กำหนดแนวทางบูรณาการ ขับเคลื่อน เร่งรัดและติดตามการปฏิบัติงาน ฯลฯ แต่ ศบส. ไม่ใช่หน่วยปฏิบัติการ จึงต้องมอบอำนาจการปฏิบัติงานไปยังศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดโรคโควิด-19 สำนักงานเขตกทม. 50 เขต และจังหวัดอีก 5 จังหวัด
แม้ศบส. จะเป็นการรวมศูนย์อำนาจการกำหนดแนวทางบูรณาการขับเคลื่อนติดตาม ฯลฯ ที่สอดคล้องกับหลักสากลในการแก้ปัญหายามวิกฤติ แต่การกระจายอำนาจการดำเนินงานลงสู่เขต ยังมีช่องว่างละจุดอ่อน 3 ประการ
ประการแรก คือ ขาด “CEO” และทีมงานของศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาด ที่ได้รับมอบอำนาจและหน้าที่จากศบส. ในการปฏิบัติงานและแก้ไข
สถานการณ์โควิด ทั้งในพื้นที่กทม.และปริมณฑล สามารถปฏิบัติงานได้รวดเร็ว สามารถประสานงานกับหน่วยงานราชการนอกกทม. เขตต่างๆและภาคเอกชนได้โดยตรง โดยเฉพาะการบริหาร value chain ที่เชื่อมโยงภารกิจ TTI (ต้นน้ำ) กับการส่งผู้ติดเชื้อเข้ารับการรักษา และฉีดวัคซีน (ปลายน้ำ) มีอำนาจตัดสินใจด้านการใช้ทรัพยากรและงบประมาณหรือแก้ไขข้อจำกัดในการทำงาน โดยไม่ต้องรอขออนุมัติจาก ศบส.
ดังนั้นศบส. โดยนายกรัฐมนตรีจึงควรพิจารณาแต่งตั้งข้าราขการชั้นผู้ใหญ่ หรือบุคคลที่มีต้นทุนทางสังคมสูง ได้รับความเคารพนับถือจากผู้ปฏิบัติงาน และมีความสามารถในการกำหนดกลยุทธที่ครอบคลุม รอบด้าน และสั่งการอย่างเป็นระบบให้เป็น CEO รับผิดชอบการดำเนินงานเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด (ดังเช่นความสำเร็จของการบริหารจัดการโดยซีอีโอกรณีเหตุการณ์ที่ถ้ำหลวง จังหวัดเชียงราย)
ประการที่สอง ในการดำเนินงานยังขาดตัวกลางที่ทำหน้าที่ประสานงานเชื่อมโยงระหว่างทีมสอบสวนโรคและทีมแยกกักโรคดังที่กล่าวข้างต้น ทำให้การประสานงานและการแก้ปัญหามีต้นทุนธุรกรรมสูง ต้องใช้ระยะเวลาในการขออนุมัตินาน เพราะเมื่อมีปัญหาทีมปฏิบัติงานต้องเจรจากันเอง หรือร้องขอผ่านที่ประชุมกรรมการที่ปรึกษาศบค.
ข้อเสนอคือ ให้ CEO มีอำนาจในการเลือกและแต่งตั้งทีมงานคนหนุ่มสาวซึ่งมีจิตอาสาทั้งจากภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม สามารถสละเวลาทำงานได้อย่างเต็มที่แบบเสียกัดไม่ปล่อย เข้ามาช่วยทำงานดังกล่าว
ประการที่สาม ทุกครั้งที่เกิดวิกฤติต่างๆ ระบบราชการไทยนิยมตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า โครงสร้างการทำงานเฉพาะกิจแบบชั่วคราวนี้ เน้นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าแบบนาทีต่อนาที วันต่อวัน ขาดทีมที่รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อใช้แก้ปัญหาหน้างาน หากจะมีการจัดเก็บข้อมูลประจำวันก็เพียงเพื่อส่งต่อให้ผู้อื่นรับผิดชอบวิเคราะห์ เนื่องจากทีมปฏิบัติงานในพื้นที่ไม่มีเวลา ทรัพยากรและความสามารถเพียงพอ หลังจากวิกฤติจบลง ผู้ปฎิบัติงานต่างคนต่างแยกย้ายกลับกรมกองของตน ไม่มีการบันทึกความจำของสถาบัน (institutional memory) เพื่อนำไปศึกษาวิเคราะห์ ถอดบทเรียน จัดทำแผน หรือปรับปรุงแผนเดิมให้ดีขึ้น สามารถรับมือกับวิกฤติในอนาคตได้ดีกว่าเดิม
ข้อเสนอ คือ ศบส. ควรแต่งตั้งคณะทำงานที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการภาวะวิกฤติและด้านการควบคุมโรคติดต่อ ตามคำแนะนำของ CEO เพราะทีมงานต้องอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาโดยตรงของ CEO หน้าที่ของทีมงาน คือ การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลที่จะนำมาใช้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ให้การฝึกอบรมและทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ภาคสนาม รวมทั้งการรวบรวมและบันทึกข้อมูลและข้อเท็จจริงในการปฏิบัติงานเพื่อนำไปใช้วางแผนรับมือกับโรคระบาด หรือวิกฤติอื่นๆในอนาคต ข้อเสนอเรื่องการสร้าง “ความจำสถาบัน” นี้จะเป็นการพัฒนาสมรรถะในการแก้ปัญหา วางแผนรับมือกับวิกฤติต่างๆในอนาคต รวมทั้งการสร้างหน่วยงานด้านการจัดการสถานการณ์วิกฤติแบบยั่งยืน
ข้อเสนอเรื่องการสื่อสารประชาสัมพันธ์: นอกจากนี้ ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดจะต้องมีทีมงานสื่อสารประชาสัมพันธ์โดยขอความร่วมมือจากบริษัทเอเยนซีโฆษณาชั้นนำช่วยให้คำแนะนำและดูแลการสื่อสาร โดยเฉพาะการสื่อสารผ่านช่องทาง social media (เพราะกลุ่มผู้ติดโควิดส่วนใหญ่อยู่ในวัยหนุ่มสาวซึ่งกำลังเรียนหรือทำงาน 20-30 ปี) ทั้งในเชิงรุก และการวางแผนล่วงหน้าเพื่อตอบโต้ข่าวปลอม ข่าวที่บั่นทอนความน่าเชื่อถือของข่าวสารของรัฐ
เป้าหมายสำคัญของยุทธศาสตร์การสื่อสาร คือ การโน้มน้าวให้คนส่วนใหญ่ยอมรับการฉีดวัคซีน เพราะขณะนี้คนส่วนใหญ่ยังไม่ตัดสินใจที่จะฉีดวัคซีน บางคนกำลังรอให้คนอื่นฉีดก่อน เพื่อดูผลการฉีด (wait and see) บางคนไม่ไว้ใจรัฐบาลในฐานะผู้คัดเลือกและกระจายวัคซีน ไม่เชื่อถือในความปลอดภัยของวัคซีนที่รัฐบาลสรรหา รวมทั้งวัคซีนของรัฐบาลไม่ตอบโจทย์ Vaccine certification ในการเดินทางไปต่างประเทศ ดังนั้นศบส. จึงควรกำหนดยุทธศาสตร์การสื่อสารเรื่องวัคซีนให้ชัดเจน และจัดตั้งทีมงานสื่อสารที่เน้นเรื่องการเอามืออาชีพมาช่วยทำสื่อ (ไม่ใช่ไปตั้งงบจ้างมืออาชีพมาทำสื่อ) เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายมาช่วยกันโดยไม่หวังประโยชน์ส่วนตัว เหมือนที่ทุกโรงพยาบาลทั้งรัฐและเอกชนช่วยกันระดมคน/ทรัพยากรมาฉีดวัคซีน โดยรัฐบาลออกแค่ค่าวัคซีน ไม่มีค่าบริหารจัดการ หรือคิดค่าบริหารจัดการตามต้นทุนโดยไม่มีกำไร ทีมงานเฉพาะกิจ (task force) นี้ เป็นทีมเล็กๆที่มีเอกชนซึ่งมีความสามารถด้านสื่อสร้างสรรค์และการบริหารงานเป็นประธาน ทีมงานประกอบด้วยนักวิชาการแพทย์ 1คน นักสาธารณสุข/ระบาด 1 คน เจ้าหน้าที่ซึ่งคุมเรื่องสื่อสารของรัฐ 1 คน และนักสื่อสารที่มีอิทธิพล/ประสบการณ์สื่อ online อีก 1-2 คน
การรณรงค์ให้คนมาฉีดวัคซีนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ต้องคำนึงถึงเนื้อหาและแพลตฟอร์มที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ปัจจัยสำคัญของการสื่อสารคือความโปร่งใสและความถูกต้องของข้อมูล ตัวอย่างการสื่อสารที่ได้ผล เช่น คลิป “ภูเก็ต...จับมือกันไว้” ที่สื่อสารเรื่องการฉีดวัคซีนภายใต้ความร่วมมือของภาครัฐ-ภาคเอกชน ในโครงการ Phuket sandbox หรือโพสท์ของหมอเจ้าของเพจ “เลี้ยงลูกนอกบ้าน” ที่คุณหมอเขียนเชิญชวนให้คนมาฉีดวัคซีน
ผลการศึกษาแนวทางการรณรงค์การวัคซีนโควิด 19 ในสื่อสังคมออนไลน์ของ รศ. พิจิตรา ศุภสวัสดิ์กุล รองคณบดีฝ่ายนวัตกรรมการสื่อสารและเชื่อมโยงสังคม คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า การทำสื่อสารเรื่องการฉีดวัคซีนต้องทำตั้งแต่ก่อน ระหว่างและหลังจากการฉีด โดยช่วงก่อนฉีดวัคซีนควรเน้นชี้แจง Roadmap การฉีดวัคซีน เช่น กลุ่มเป้าหมายของคนที่จะได้รับวัคซีน ชนิดวัคซีน สถานที่ฉีด เป็นต้น ในระหว่างช่วงการฉีดวัคซีนควรมีการสื่อสารเพื่อสร้างความเชื่อมั่น เช่น แผนการติดตามการฉีดวัคซีน การสื่อสารผ่านภาพที่ทำให้เห็นภาพมวลชนเข้าคิวฉีดวัคซีนกันเป็นหมู่คณะ มากกว่าการสื่อภาพลงการทะเบียนฉีดวัคซีนแบบต่างคนต่างลงทะเบียนรับสิทธิ์ การยกต้นแบบที่เป็นบุคคลที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง เป็นต้น และในช่วงหลังจากฉีดวัคซีนควรสื่อสารทำความเข้าใจเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนซ้ำต่างยี่ห้อ เป็นต้น
โดยสรุป ทางที่ประชุมเห็นว่าทางเลือกที่เหลืออยู่และเป็นทางเลือกที่ควรทำอย่างเร่งด่วน มีดังนี้
1) การเพิ่มจำนวนทีมอย่างน้อย 200 ทีมในพื้นที่ กทม. (ทุกแขวงควรมีทีมสอบสวนโรคอย่างน้อยหนึ่งทีม) โดยระยะสั้นอาจเป็นการระดมทีมสอบสวนโรคที่มีประสบการณ์จากต่างจังหวัดที่สถานการณ์การระบาดค่อนข้างน้อย (หรือน้อยลงแล้วจากที่เคยมีการระบาดมาก) และในระยะยาวควรมีการสร้างทีมสาธารณสุขสำหรับพื้นที่ กทม. และปริมณฑล เพื่อรองรับหากเกิดการอุบัติใหม่ของโรคในอนาคต
2) ภาครัฐควรมีมาตรการด้านเศรษฐกิจสังคมที่เชื่อมโยงกับมาตรการควบคุมโรค เพื่อตอบสนองความจำเป็นและข้อจำกัดที่แตกต่างกันของผู้ติดเชื้อหรือกลุ่มผู้มีความเสี่ยงที่ต้องกักตัว โดยเฉพาะกลุ่มคนฐานราก กลุ่มเปราะบาง เช่น การจ่ายเงินทดแทนให้ผู้ถูกกักตัวอย่างน้อยสิบสี่วัน หรือตามจำนวนวันที่กักตัว การจ่ายเงินช่วยเหลือให้กับผู้ติดเชื้อที่เป็นลูกจ้างรายวัน แรงงานนอกระบบ และคนฐานรากที่เข้าไม่ถึงมาตรการเยียวยา “เราชนะ” รวมทั้งการออกมาตรการเพื่อช่วยให้บุคคลและสมาชิกของครอบครัวของกลุ่มเสี่ยงมีงานทำ มาตรการเร่งด่วนเหล่านี้จะเป็นการสร้างแรงจูงใจให้คนฐานรากที่เสี่ยงติดเชื้อ เต็มใจเข้ามารับการตรวจและกักตัวทันที
3) มาตรการสุดท้าย คือการแต่งตั้ง CEO ซึ่งเป็นบุคคลที่มีต้นทุนสังคมสูง ได้รับความเคารพเชื่อถือจากผู้ปฏิบัตงานและมีความสามารถในการบริหารงาน พร้อมทั้งทีมงาน เพื่อปิดช่องว่างของโครงสร้างศบส.ที่ยังขาดทีมผู้บริหารเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดความเชื่อมโยงในการทำ TTI ปัญหาการติดต่อประสานงานระหว่างหน่วยงาน หน้าทีของ CEO และทีมคือ การติดตามการทำงานของเขตต่างๆ ให้ความช่วยเหลือเขตในการแก้ไขปัญหาทั้งด้านทรัพยากร และกฎระเบียบ การสร้างระบบสั่งการที่มีความเชื่อมโยงระหว่างการสอบสวนโรค การตรวจเชื้อ และการเตรียมการกักแยกโรคทุกระดับ การเชื่อมโยงดังกล่าวต้องเป็นแบบ real-time ไม่ใช่การประชุมเป็นครั้งคราวระหว่างหน่วยงานที่แยกกันรับผิดชอบ
นอกจากนั้นศบส. ควรพิจารณาตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจด้านการสื่อสื่อสาร ที่มีเอกชนซึ่งมีความเชียวชาญด้านกลยุทธ์การสื่อสาร online เป็นหัวหน้าทีม เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนส่วนใหญ่ยินดีเข้ารับการฉีดวัคซีน เพราะวัคซีนคือ exit strategy ที่สำคัญสู่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
รายชื่อผู้ร่วมจัดทำข้อเสนอมาตรการควบคุมการระบาดของโควิด-19
1. นพ.สุวัฒน์ วิริยพงษ์สุกิจ ผอ.สำนักปฐมภูมิ กระทรวงสาธารณสุข และ ผอ.รพ.นาทวี สงขลา
2. นพ.ประสิทธิชัย มั่งจิตร ผอ.รพ.แก่งคอย สระบุรี
3. นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ รอง ผอ.รพ.น่าน
4. นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผอ.รพ.จะนะ และประธานชมรมแพทย์ชนบท
5. นพ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมี เลขาธิการมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ
6. ผศ.นพ.บวรศม ลีระพันธ์ อาจารย์ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
7. นพ.คำนวณ อึ้งชูศักดิ์ ที่ปรึกษากรมควบคุมโรค
8. ดร. นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)
9. ดร. สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัย ด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)
10. ดร. วิโรจน์ ณ ระนอง ผู้อำนวยการวิจัย ด้านสาธารณสุขและการเกษตร มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)
11. นายกำพล ปั้นตะกั่ว มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
12. นส. ชวัลรัตน์ บูรณะศิริ มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
13. นส. อุไรรัตน์ จันทรศิริ มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
14. อดีตผู้สื่อข่าวสตรีที่ไม่ประสงค์ลงนาม
15. รศ.พิจิตรา ศุภสวัสดิ์กุล คณะนิเทศน์ศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย (ไม่ไดข้าประชุม แต่ส่งบทความและให้ข้อคิดเห็นเรื่องการสื่อสาร online วัคซีน
14 พฤษภาคม 2564