
"...วิกฤตโควิด-19 แสดงให้เห็นว่าโครงสร้างอำนาจ ไม่มีสมรรถนะในการเผชิญกับปัญหาที่ซับซ้อนและยาก วิกฤติชาติมีทั้งวิกฤตใหม่ และวิกฤตเก่าที่เรื้อรัง เพราะประเทศขาดสมรรถนะแห่งชาติในการจัดการเชิงสัมฤทธิศาสตร์ จำเป็นต้องรีบสร้างโครงสร้างทางสมอง...โครงสร้างสมองในที่นี้หมายถึง “กลุ่มพัฒนานโยบาย”
.........................
1. ประเทศต้องมีสมอง
ประเทศ ก็เช่นเดียวกับคนที่ต้องมีสมอง คนที่สมองอ่อนเอาชีวิตไม่รอด ฉันใด ประเทศก็เช่นเดียวกัน
ประเทศไทยเต็มไปด้วยโครงสร้างอำนาจ แต่โครงสร้างสมองเกือบมองไม่เห็น การบริหารในภาครัฐ คือ การบริหารกฎระเบียบ เกือบทั้งหมด ซึ่งก็คือบริหารอำนาจ ไม่ใช่การบริหารปัญญา
วิกฤตโควิด-19 แสดงให้เห็นว่าโครงสร้างอำนาจ ไม่มีสมรรถนะในการเผชิญกับปัญหาที่ซับซ้อนและยาก วิกฤติชาติมีทั้งวิกฤตใหม่ และวิกฤตเก่าที่เรื้อรัง เพราะประเทศขาดสมรรถนะแห่งชาติในการจัดการเชิงสัมฤทธิศาสตร์ จำเป็นต้องรีบสร้างโครงสร้างทางสมอง
บุคคลที่จะเป็นองค์ประกอบของโครงสร้างทางสมองจะมีอยู่แล้ว ทั้งในมหาวิทยาลัยและในระบบราชการ อยู่ที่ไม่ได้ก่อตัวเป็นโครงสร้างสมอง จึงถูกใช้ไปในการบริหารอำนาจหมด
โครงสร้างสมองในที่นี้หมายถึง “กลุ่มพัฒนานโยบาย”
2.นโยบายคือปัญญาสูงสุด
นโยบายมีหลายระดับ ตั้งแต่ระดับบุคคล ครอบครัว องค์กร ไปจนถึงระดับชาติ ที่เรียกว่านโยบายสาธารณะ (Public policies) นโยบายคือปัญญาสูงสุด มีผลต่อความเป็นไปขององค์กร และของประเทศ ทั้งทางบวกและทางลบ
การพัฒนานโยบาย หมายถึง
1. การสังเคราะห์นโยบาย
2. กระบวนการตัดสินใจนโยบาย
3. การสื่อสารนโยบายไปสู่ผู้ปฏิบัติให้เข้าใจอย่างทั่วถึง
4. การสร้างเป้าหมายและวิสัยทัศน์ร่วม
5. การทำแผนปฏิบัติ
6. การปฏิบัติตามแผน
7. การติดตามการปฏิบัติเพื่อแก้ไขอุปสรรคขัดข้อง
8. ผลการปฏิบัติและการประเมินผล เพื่อเป็นข้อมูลป้อนกลับไปปรับระบบให้ดีขึ้น
เพื่อให้จำง่ายๆ อาจเรียกว่า มรรค 8 แห่งการพัฒนานโยบาย ถ้าทำครบทั้ง 8 ขั้นตอน ก็ไม่มีทางที่จะไม่สัมฤทธิ์ผลจึงอาจเรียกวิชานี้ว่า สัมฤทธิศาสตร์
3.กลุ่มพัฒนานโยบายในมหาวิทยาลัย
กลุ่มพัฒนานโยบาย (กพน.) ในมหาวิทยาลัยมีได้หลายระดับ ทั้งในระดับมหาวิทยาลัย คณะ หรือแม้แต่ในภาควิชา ในการประชุมสภามหาวิทยาลัยมักไม่ค่อยมีเรื่องนโยบายจะเสนอ มีแต่เรื่องกฎระเบียบและเรื่องงานประจำ จนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่านบ่นว่าเป็นการใช้กรรมการไม่คุ้มค่า
สำนักงานสภามหาวิทยาลัยควรมีกลุ่มพัฒนานโยบาย อาจทดลองประกอบด้วยรองอธิการบดีทั้งหมดก็ได้ ในการประชุมสภามหาวิทยาลัย บ่อยๆ ครั้งมีการเสนอความเห็นดีๆ แต่มักจะลอยหายไปหมด ไม่สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้ เพราะเป็นเพียงความเห็นยังไม่ได้ผ่านการวิเคราะห์ สังเคราะห์ เป็นนโยบาย หน้าที่ของกพน. ของสำนักงานสภามหาวิทยาลัย คือ นำประเด็นที่คิดว่าสำคัญ ที่เกิดในการประชุมสภามหาวิทยาลัยก็ดี หรือเกิดในระบบ หรือประชาคมมหาวิทยาลัยก็ดี หรือจากการสื่อสารสาธารณะ มาสังเคราะห์เป็นนโยบาย โดยแสวงหาข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับประเด็นนั้น จัดประชุมผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ เพื่อวิเคราะห์สังเคราะห์เป็นนโยบาย ซึ่งอาจต้องประชุมหลายครั้งหรือต่อเนื่อง เมื่อสังเคราะห์เป็นนโยบายได้แล้วนำเสนอสภามหาวิทยาลัย นโยบายที่สังเคราะห์มาดี ไม่เป็นการยากที่สภามหาวิทยาลัยจะตัดสินใจ กพน.นำนโยบายที่ผ่านการตัดสินใจโดยสภามหาวิทยาลัยแล้วไปดำเนินการต่อไปตามมรรค 8 แห่งการพัฒนานโยบาย ถ้ามีกพน.ระดับคณะและภาควิชา ก็จะเกิดเป็นเครือข่ายกลุ่มพัฒนานโยบายของมหาวิทยาลัย ที่ยังให้เกิดความสำเร็จได้ทุกเรื่อง
เครือข่ายกลุ่มพัฒนานโยบายของมหาวิทยาลัยทุกมหาวิทยาลัย จะเป็นโครงสร้างทางสมองขนาดค่อนข้างใหญ่ ที่จะช่วยขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะทุกนโยบายสู่ความสำเร็จได้
4.กลุ่มพัฒนานโยบายในระบบราชการ
ทางราชการก็ทราบความสำคัญของการพัฒนานโยบาย ดังที่ตั้งสำนักนโยบายและแผนบ้าง สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์บ้าง แต่ยังไม่เกิดผลใหญ่ เพราะไปตั้งเป็นหน่วยงานประจำตามระบบ
ที่จริงทุกกระทรวง มีตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิทางวิชาการ หรือนักวิชาการในชื่ออะไรก็ตาม แต่มักไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี นักวิชาการต่างๆ ข้ามศาสตร์ข้ามศิลป์ในกระทรวงต่างๆ ควรก่อตัวเป็น กลุ่มพัฒนานโยบาย แล้วดำเนินการตามมรรค 8 แห่งการพัฒนานโยบาย ทั้งนโยบายที่มีอยู่แล้ว แต่ไม่ได้พัฒนาไปครบทุกขั้นตอนสู่ความสำเร็จ หรือจะเป็นนโยบายที่สังเคราะห์ขึ้นใหม่ก็ตาม โดยวิธีนี้ทุกกระทรวงจะมีความสำเร็จ และเครือข่ายของกลุ่มพัฒนานโยบายของทุกกระทรวงเชื่อมโยงกัน และเชื่อมโยงกับเครือข่ายกลุ่มพัฒนานโยบายของทุกมหาวิทยาลัย จะเป็นเครือข่ายทางสมองขนาดใหญ่ของประเทศไทย
5.กลุ่มพัฒนานโยบายตามพื้นที่ ตามองค์กร และตามประเด็น
มีเรื่องดีๆ ที่มีประโยชน์มากมาย ที่มีนโยบายแล้ว แต่ไม่มีผลสัมฤทธิ์ เช่น เรื่องเด็กปฐมวัยมีนโยบายมาหลายสิบปีแต่ยังไม่ไปถึงไหน ทั้งๆ ที่คุณภาพเด็ก เยาวชน และครอบครัว คือ อนาคตของประเทศไทย หรืออย่างเรื่องที่คนไทยต้องเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุจราจรประมาณปีละ 20,000 คน บาดเจ็บอีกหลายแสน สะสมคนพิการมากขึ้นๆ แก้ไม่ได้เลย หรืออย่าง พรบ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ที่จัดทำสมัย ดร.รุ่ง แก้วแดง เป็นเลขาธิการสภาการศึกษา ก็มีความครอบคลุมยืดหยุ่นมาก แต่ก็ไม่นำไปสู่ผลสัมฤทธิ์ ทั้งๆ ที่การมีกฎหมายก็ถือว่ามีนโยบายและเครื่องมือทางโยบายแล้ว เรื่องทำนองนี้ คือมีนโยบายแล้วแต่ไม่มีผลสัมฤทธิ์มีมากมายเต็มประเทศ ทั้งนี้เพราะขาดการพัฒนานโยบายครบวงจร ซึ่งเต็มๆ มี 12 ขั้นตอน* โดยย่อมี 8 ดังกล่าวในตอน 2 ข้างต้น ก็ประดุจวงจรไฟฟ้า ถ้าไม่ครบวงจรกระแสไฟก็เดินไม่ได้
เพราะฉะนั้นจึงมีความต้องการกลุ่มพัฒนานโยบายทั้งตามพื้นที่ เช่น ระดับตำบล อำเภอ จังหวัด ในองค์กรต่างๆ เช่น กรม มหาวิทยาลัย และตามประเด็น
เพราะฉะนั้นนอกเหนือจากมหาวิทยาลัยและระบบราชการแล้ว องค์กรอื่นๆ เช่น องค์กรปกครองท้องถิ่น บริษัท สมาคม มูลนิธิ หรือแม้ปัจเจกชน ก็ควรมีการก่อตัวเป็นกลุ่มพัฒนานโยบายในเรื่องต่างๆ
เมื่อมีกลุ่มพัฒนานโยบายเกิดขึ้นเต็มประเทศ ความสำเร็จในเรื่องต่างๆ ก็จะเกิดขึ้นเต็มประเทศ เพราะ “กระบวนการนโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม” หรือ P4 (Participatory Public Policy Process) เป็นกระบวนการทางปัญญาที่ทรงพลังมาก เพราะใช้การเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติ (Interactive learning through action) ในสถานการณ์จริง เป็นเครื่องมือ เป็นประชาธิปไตยทางปัญญา ซึ่งทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้เป็นไปได้
เมื่อระบบนโยบายครบวงจร ก็ทำให้ทุกองค์ประกอบเก่งและดี รวมทั้งการเมืองด้วย เพราะการเมืองเป็นองค์ประกอบหนึ่งของระบบนโยบาย
ฉะนั้น ในยามวิกฤตสังคมไทยต้องรีบทำความเข้าใจอย่างเร่งด่วนว่า คำตอบอยู่ที่ระบบนโยบายครบวงจร อันนำไปสู่ความสำเร็จทุกเรื่อง โดยคนไทยรวมตัวเป็นกลุ่มพัฒนานโยบาย ซึ่งทำได้ง่าย ทำได้เร็ว แต่มีผลมาก และนำไปสู่การเปลี่ยนใหม่ (Transformation) ประเทศไทยอย่างถาวร คือ เปลี่ยนโครงสร้างอำนาจเป็นโครงสร้างทางปัญญา
(*ดูคู่มือการขับเคลื่อนระบบนโยบายครบวงจร 12 ขั้นตอน สู่ความสำเร็จ โดย ประเวศ วะสี จัดพิมพ์โดย มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ )

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา