"...จำเป็นที่คนไทยทั้งประเทศจะต้องปลดปล่อยตัวเองออกจากคุกที่มองไม่เห็น สำนึกในศักดิ์ศรีและศักยภาพในความเป็นมนุษย์ของตนเอง รวมตัวร่วมคิดร่วมทำร่วมช่วยเหลือเยียวยาซึ่งกันและกันและพัฒนาบ้านเมืองในทุกแง่ทุกมุมทุกมิติ ก้าวข้ามข้อจำกัดของรูปแบบและมายาคติทุกชนิด ที่กักขังคนไทยไว้ไม่ให้มีศักยภาพ และบทบาทในการพัฒนาบ้านเมืองของตน..."
...................................
คนไทยต้องเจ็บป่วยล้มตาย ยากแค้นแสนสาหัส เพราะระบบรับขาดสมรรถนะและความว่องไว
วิกฤตโควิดแสดงให้เห็นว่า ระบบรัฐมีสมรรถนะไม่พอและเชื่องช้า ระบบรัฐรวมศูนย์อำนาจ ที่อาจเหมาะสม เมื่อ 100 กว่าปีในสมัย ร.5 บัดนี้ไม่สามารถเผชิญปัญหาสมัยใหม่ที่ซับซ้อนและยากได้
ระบบรัฐรวมศูนย์อำนาจทำให้เกิดผลเสียอย่างน้อย 6 ประการ คือ
1. ชุมชนท้องถิ่นอ่อนแอ อะไรๆ ก็ต้องส่วนกลาง คุณประยุทธ์จะหมดแรงแล้ว ถ้าชุมชนท้องถิ่นเข้มแข็งก็จะจัดการปัญหาต่างๆ ไปได้ 80 - 90 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะถูกต้องกว่า รวดเร็วกว่า อย่างเรื่องวัคซีนทุกจังหวัด ควรจะสามารถจัดการเองได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง จะไปฝากไว้ที่คุณประยุทธ์กับคุณอนุทินเท่านั้นได้อย่างไร
ธรรมชาติมีเหตุผลมากที่สุด ระบบร่างกายของเราที่ซับซ้อนสุดประมาณมีสมรรถนะสูงมาก หัวใจ ตับ ปอด ต่อมเอ็นโดรครีนต่างๆ มีความเป็นอัตโนมัติ (Autonomy) จะไปรอให้ใครมาสั่งหัวใจค่อยเต้น หรือปอดค่อยหายใจไม่ได้ เพราะจะสั่งผิดและไม่ทันกาล รัฐรวมศูนย์จึงสั่งผิดและไม่ทันการ
2. เกิดความขัดแย้งระหว่างวัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งแตกต่างหลากหลายกับอำนาจส่วนกลางที่บังคับให้เหมือนกันหมด ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นรูปธรรมของความขัดแย้งดังกล่าว
3. ระบบรัฐรวมศูนย์มีสมรรถนะต่ำ เพราะใช้อำนาจมากกว่าปัญญา เป็นเหตุให้ประเทศวิกฤต
4. คอร์รัปชั่นสูง เพราะอำนาจเข้มข้นที่ไหน คอร์รับชันมหาศาลก็ตามมาเหมือนเงา สวิตเซอร์แลนด์เมื่อกว่า 100 ปีมาแล้ว เต็มไปด้วยคอร์รับชันเพราะรวมศูนย์อำนาจ ต่อมากระจายอำนาจไปอย่างทั่วถึงถึง 26 องค์กรท้องถิ่น ทั้งๆ ที่มีประชากรเพียง 5 – 6 ล้านคน การกระจายอำนาจอย่างทั่วถึงทำให้คอรัปชั่นหมดไปและประเทศเจริญสงบสุข
5. ทำให้ทำรัฐประหารได้ง่าย เพราะอำนาจรวมศูนย์ ใช้ทหารไม่กี่ร้อยคนก็ยึดได้ แต่ถ้าอำนาจกระจายไปสู่ชุมชนท้องถิ่นโดยทั่วถึง ก็ไม่รู้จะยึดตรงไหน
6. ระบบอำนาจปิดพื้นที่ทางสังคมและพื้นที่ทางปัญญา ทำให้จำกัดพลังแผ่นดินที่จะเผชิญปัญหา การเปิดพื้นที่ทางสังคมและพื้นที่ทางปัญญาอย่างกว้างขวาง ให้คนไทยทุกภาคส่วน มีบทบาทในการแก้ปัญหาและพัฒนาประเทศของตน จะทำให้ประเทศมีพลัง
บัดนี้ระบบรัฐรวมศูนย์อำนาจไม่สามารถเป็นไปได้อีก ต่อไปมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องแก้ไขจะรอเวลากระบวนการทางกฎหมายที่ใช้เวลาเป็นปี ๆ ไม่ได้ เพราะความตายและความลำบากยากเข็ญของประชาชน รอนานขนาดนั้นไม่ได้
ตรงนี้แหละที่ต้องการความเป็นผู้นำสูง ซึ่งอาจมีได้ 3 แบบ คือ
(1) มีรัฐบุรุษที่มีความเป็นผู้นำสูง
(2) รัฐสภาผนึกกำลังและนำการเปลี่ยนแปลง
(3) พลังพลเมืองที่ตื่นรู้และกัมมันต
ข้อ (1) และ (2) จะบังเกิดหรือไม่ก็ตาม ข้อ (3) สำคัญที่สุด
การเปิดพื้นที่ทางสังคมและพื้นที่ทางปัญญาอย่างกว้างขวาง
นี้คือหัวใจของประชาธิปไตย เพราะเผด็จการมักทำตรงข้ามคือ ปิดพื้นที่ทางสังคมและพื้นที่ทางปัญญา ทำให้คนจำนวนน้อยนิดมีบทบาท ซึ่งไม่มีพลังพอที่จะเผชิญปัญหามหึมาและยาก
การเปิดพื้นที่ทางสังคมและพื้นที่ทางปัญญา เป็นความชอบธรรมหรือความดี การทำความดีไม่ต้องขออนุมัติ ทุกคนสามารถลงมือทำได้เลยในเรื่องต่างๆ ดังต่อไปนี้
(1) ชุมชนท้องถิ่นเข้มแข็ง ชุมชนท้องถิ่นเป็นฐานของประเทศ ถ้าฐานของประเทศแข็งแรงจะรองรับประเทศทั้งหมดให้มั่นคง
ทั้งประเทศ 77 จังหวัด มีประมาณ 800 อำเภอ 8,000 ตำบล 80,000 หมู่บ้าน หรือชุมชน ทุกชุมชน ทุกตำบลทุ กอำเภอ ทุกจังหวัด ต้องมีสมรรถนะในการจัดการพัฒนาอย่างบูรณาการ คือ
เศรษฐกิจ - จิตใจ - สังคม - สิ่งแวดล้อม - วัฒนธรรม –
- สุขภาพ - การศึกษา - ประชาธิปไตย
ผู้นำชุมชนท้องถิ่นที่เก่งและดีมีหลายแสนคนแล้ว จะเพิ่มเป็นประมาณ 4 ล้านคน คือ หมู่บ้านละประมาณ 50 คน
ทุกภาคส่วนของประเทศ คือ ภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคการศึกษา การพระศาสนา ภาพการสื่อสาร ควรสนับสนุนชุมชนท้องถิ่นเข้มแข็ง
(2) คนไทยทุกภาคส่วน รวมทั้งนิสิตนักศึกษาและนักเรียน ควรรวมตัวกันเป็นกลุ่มๆ เป็นกลุ่มจิตอาสาพัฒนาประเทศไทย ในเรื่องต่างๆ เช่น ช่วยคนจนเลี้ยงลูกและดูแลผู้สูงอายุ รวมทั้งดูแลคนพิการ เด็กกำพร้า สนับสนุนชุมชน ช่วยสอนหนังสือเด็ก ส่งเสริมสัมมาชีพเต็มพื้นที่ ควบคุมป้องกันโรค ฯลฯ ตลอดไปจนถึงเป็นกลุ่มพัฒนานโยบาย
(3) กลุ่มสื่อสารสร้างสรรค์ ผู้ที่มีฉันทะและทักษะในการสื่อสารควรรวมตัวกันเป็นกลุ่มสื่อสารสร้างสรรค์ อาจขอรับทุนสนับสนุนจากกองทุนสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ หรือ กสทช.หรือ สสส. ทำการสื่อสารให้คนไทยรู้ความจริงอย่างทั่วถึง
(4) เครือข่ายศิลปินเพื่อการพัฒนาประเทศ ในทุกพื้นที่จะมีศิลปินศิลปินทั่วประเทศควรรวมตัวกันเป็นกลุ่มและเครือข่าย ทำความเข้าใจประเด็นสำคัญของประเทศ และสื่อสารผ่านศิลปะแขนงต่างๆ อย่างมีเสน่ห์และโดนใจประชาชน เพื่อพัฒนาจิตใจ สังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และการเมือง ด้วยหัวใจเพื่อเพื่อนมนุษย์ ทำให้เกิดคนไทยหัวใจเพื่อเพื่อนมนุษย์เต็มประเทศ
(5) ภาคธุรกิจเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ภาคธุรกิจมีคนที่เก่งๆ มากที่สุด กับมีสมรรถนะในการจัดการสูงกว่าภาคอื่นๆ ทั้งหมด ซีอีโอของบริษัทใหญ่ๆ มีความสามารถสูงมาก ถึงเวลาที่ภาคธุรกิจนอกเหนือจากการมุ่งกำไรเฉพาะบริษัทแล้ว ต้องเข้ามามีบทบาทในการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ เช่น
• สนับสนุนชุมชนเข้มแข็งเป็นรายจังหวัด บริษัทละ 1 จังหวัด
• สร้างสัมมาชีพเต็มพื้นที่ให้เป็นประเทศไทยสามศูนย์ คือ
- ความยากจนเป็นศูนย์
- การว่างงานเป็นศูนย์
- การปล่อยมลภาวะเป็นศูนย์
(ดูหนังสือโลกสามศูนย์ โดยโมฮัมหมัดยูนุส)
• ปฏิรูปการศึกษา
• พัฒนานโยบายสาธารณะ
ฯลฯ
ทั้งนี้โดยแต่ละบริษัทลงมือทำเป็นเอกเทศ โดยตั้งเป็นมูลนิธิ หรือ สถาบันสนับสนุนการพัฒนาประเทศไทย หรือมีการรวมตัวกันเป็น Business Council for Development หรือ สภาธุรกิจเพื่อการพัฒนา
(6) การศึกษากับการพัฒนาประเทศ ภาคการศึกษามีกำลังคนซึ่งมีความรู้ รวมทั้งนักเขียน นิสิต นักศึกษา หลายล้านคน กำลังเหล่านี้ไม่ควรท่องบ่นตำร าแบบไม่ลงมือทำอีกต่อไป ถ้ามาลงมือทำการพัฒนาในเรื่องต่างๆ ได้ทุกเรื่องตามที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมด ประเทศไทยจะหายจน และลดความเหลื่อมล้ำเพิ่มความเป็นธรรม และสร้างคนเก่งๆ ที่ทำเป็นคิดเป็น จัดการเป็น อยู่ร่วมกันเป็น ไม่มีบัณฑิตตกงาน ซึ่งก่อภาระให้ประเทศจากการศึกษาที่เอาวิชาเป็นตัวตั้ง แต่ทำอะไรไม่เป็นอีกต่อไป
(7) วัดกับชุมชนเข้มแข็ง เรามีวัดประมาณ 40,000 วัด พระสงฆ์ และสามเณร ประมาณ 250,000 รูป เป็นพลังมหาศาล จุดยุทธศาสตร์อยู่ที่วัดกับชุมชนเข้มแข็ง วัดเฉพาะหน้า สามารถช่วยเหลือสงเคราะห์คนที่ไม่มีจะกินได้ทั้งหมด
(8) กองทัพกับการพัฒนาประเทศ กองทัพมีกำลังพลหลายแสนคน มีวินัย และมีเครื่องมือมาก ศัตรูที่จะรุกรานจากภายนอกประเทศมีความเป็นไปได้น้อยลง ปัญหาความมั่นคงเปลี่ยนเป็นปัญหาภายในอันสลับซับซ้อนและยาก ซึ่งแก้ไม่ได้ด้วยการใช้อำนาจ แต่ต้องการพลังทางสังคมและพลังทางปัญญาของคนไทยทุกคน กองทัพมีบทบาทได้มากมายหลายอย่าง (ดูข้อเสนอแนะในบทความ “บทบาทของกองทัพต่ออนาคตประเทศไทย” โดย ประเวศ วะสี ที่เสนอต่อคณะกรรมาธิการทหารของรัฐสภา)
พลังพลเมืองที่ตื่นรู้และกัมมันตะ
ที่กล่าวมาในตอน 2 เรื่องเปิดพื้นที่ทางสังคมและพื้นที่ทางปัญญาอย่างกว้างขวาง ฉายให้เห็นภาพพลังพลเมืองที่ตื่นรู้และกัมมันตะ คนไทยทุกคนเป็นพลเมืองที่ตื่นรู้ และรวมตัวกันทำกิจ สาธารณะ เพื่อพัฒนาประเทศไทยอย่างแข็งขัน หรือกัมมันตะ (active)
เมื่อคนทั้งประเทศตื่นรู้และลงมือทำกิจสาธารณะเพื่อพัฒนาประเทศถึงขณะนี้ ก็เป็นไปไม่ได้อีกต่อไปที่ประเทศไทยจะไม่ประสบความสำเร็จ ทั้งในเรื่องโควิด เศรษฐกิจ และเรื่องอื่นใด
ทั้งหมดเป็นภาพ คนไทยหัวใจเพื่อเพื่อนมนุษย์
คือทำอะไรต้องเอาใจนำ คือหัวใจเพื่อเพื่อนมนุษย์ อย่าเอาความรู้นำ ถ้าเอาความรู้นำจะกลัว กลัวว่าความรู้มีไม่พอ ไม่กล้า กลัวคนอื่นว่า แต่ถ้าเอาใจนำแล้วจะมีความกล้าหาญไม่กลัวอะไร ความรู้มีเท่าไหร่ก็ไม่เป็นไร ถ้ามีใจเสียแล้วประเดี๋ยวก็หามาได้ โดยเฉพาะการเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติในสถานการณ์จริง ที่ยิ่งทำยิ่งรักกันมากขึ้น ยิ่งเชื่อถือไว้วางใจกัน (Trust) มากขึ้น ยิ่งฉลาด และฉลาดร่วมกันมากขึ้น เกิดปัญญาร่วม (Collective wisdom) ที่ทรงพลัง ทำให้ฝ่าความยากไปสู่ความสำเร็จ และทุกคนมีความสุขประดุจบรรลุนิพพาน
ปลดปล่อยพลังคนไทยทุกคนออกมากู้บ้านกู้เมือง
โครงสร้างอำนาจ ความเป็นทางการ รูปแบบ พิธีการ และมายาคติต่างๆ ได้สร้าง “คุกที่มองไม่เห็น” (The invisible prison) ที่กักขังคนไทยทั้งประเทศไว้ ไม่ให้มีศักดิ์ศรี ไม่มีศักยภาพ ไม่มีบทบาทในการพัฒนาบ้านเมืองของตน ปล่อยให้เป็นเรื่องของคนส่วนน้อยที่มีอำนาจ แต่สติปัญญาและความดีไม่พอ บ้านเมืองจึงวิกฤตมากขึ้นจนๆ กระทั่งโควิดมาเยือน
วิกฤตโควิดแสดงให้เห็นอย่างโจ่งแจ้งว่า ระบบคนส่วนน้อยที่มีอำนาจไม่มีสมรรถนะที่จะกู้บ้านกู้เมือง
จำเป็นที่คนไทยทั้งประเทศจะต้องปลดปล่อยตัวเองออกจากคุกที่มองไม่เห็น สำนึกในศักดิ์ศรีและศักยภาพในความเป็นมนุษย์ของตนเอง รวมตัวร่วมคิดร่วมทำร่วมช่วยเหลือเยียวยาซึ่งกันและกันและพัฒนาบ้านเมืองในทุกแง่ทุกมุมทุกมิติ ก้าวข้ามข้อจำกัดของรูปแบบและมายาคติทุกชนิด ที่กักขังคนไทยไว้ไม่ให้มีศักยภาพ และบทบาทในการพัฒนาบ้านเมืองของตน
เมื่อคนไทยทุกคนมีศักดิ์ศรีศักยภาพและบทบาท จะเป็นพลังในการกู้บ้านกู้เมืองอย่างมหาศาลที่ไม่มีอะไรทานได้ นอกจากหายวิกฤตแล้ว ยังจะจัดระเบียบใหม่ ที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง มีสมรรถนะ มีสติปัญญา และคุณงามความดี ในการสร้างอนาคตประเทศไทยที่มีความถูกต้องเป็นธรรมและงดงาม ที่คนไทยทั้งมวลมีศักดิ์ศรีและศักยภาพในความเป็นมนุษย์ มีบทบาทในการพัฒนาบ้านเมืองของตน และได้รับส่วนแบ่งของการพัฒนาอย่างเป็นธรรมอยู่ร่วมกันอย่างสันติสมดุล เป็นสังคมศานติสุข สืบไป