‘ศาลอาญาคดีทุจริตฯ’ นัดฟังคำพิพากษาคดี ‘ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป’ ฟ้อง‘กรรมการ กสทช.’ ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ 6 ก.พ.นี้ ขณะที่ ‘สภาผู้บริโภค’ ชี้เป็นคดีตัวอย่าง หลัง ‘กสทช.’ ทำหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค แต่ถูกฟ้องร้อง
.....................................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า ในวันที่ 6 ก.พ.นี้ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง นัดฟังคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อท.147/2566 ซึ่งเป็นคดีที่ บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด (โจทก์) ยื่นฟ้อง ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านกิจการโทรทัศน์ เป็นจำเลย ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
สำหรับคดีนี้ บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป (โจทก์) ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้บริการแพลตฟอร์มมือถือ มีรายการหนัง เเละเพลงรวมทั้งถ่ายทอดรายการทีวีช่องต่างๆ รวมทั้งการสัมภาษณ์นักการเมือง ซึ่ง กสทช. ยังไม่ได้มีประกาศ หรือออกกฎเกณฑ์ในการกำกับดู และจำเลย (ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง) ทราบดีอยู่แล้วว่า การให้บริการของโจทก์ เป็นการให้บริการประเภท OTT ที่ไม่ต้องขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จึงยังไม่ยื่นขออนุญาต
ต่อมา กสทช.ประกาศว่า การประกอบกิจการดังกล่าว ต้องผ่านการอนุญาตฯก่อน ซึ่งทรูฯ ไม่ขัดข้อง เพียงแต่เมื่อเข้ากระบวนการอนุญาตก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย เช่น มีการตรวจเซ็นเซอร์เนื้อหา
เเต่จำเลย กลับสั่งการให้รักษาการรองเลขาธิการ กสทช.ในขณะนั้น ออกหนังสือแจ้งไปยังผู้รับอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ จำนวน 127 ราย มีข้อความว่า โจทก์เป็นผู้ประกอบกิจการที่ยังไม่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ ทั้งที่ขณะนั้นยังไม่ต้องมีการขอใบอนุญาต อีกทั้งมีการกล่าวถ้อยคำในที่ประชุมที่เป็นเหตุบริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป ได้รับความเสียหาย โจทก์จึงนำคดีฟ้องต่อศาลฯ
ด้าน สภาองค์กรของผู้บริโภค เผยแพร่เอกสารข่าวว่า คดีนี้กลุ่มนักวิชาการและผู้บริโภคเห็นว่า เป็นคดีตัวอย่างที่ กสทช. ได้ทำหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค แต่ถูกฟ้องร้อง ซึ่งเป็นผลเนื่องจากการที่มีผู้บริโภคร้องเรียนมาที่สำนักงาน กสทช. ว่าบนแพลตฟอร์มของแอปพลิเคชันทรูไอดีมีการโฆษณาแทรกในช่องรายการทีวีดิจิทัลของผู้ได้รับใบอนุญาตจาก กสทช. ซึ่งบริษัททรูดิจิทัล กรุ๊ป ในฐานะผู้ให้บริการแอปฯ ทรูไอดีได้นำสัญญาณมาถ่ายทอดในแพลตฟอร์มของตนเอง
ต่อมาคณะอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์ได้พิจารณาและมีความเห็นในเรื่องนี้ สำนักงาน กสทช. จึงทำหนังสือแจ้งไปยังผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์ให้ตรวจสอบว่า มีการนำช่องรายการที่ได้รับอนุญาตไปออกอากาศผ่านโครงข่ายใดหรือนำไปแพร่ภาพในแพลตฟอร์มใดและให้ปฏิบัติตามประกาศ กสทช. และเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด ซึ่งเป็นไปตามหลัก “มัสแครี่” ที่มีโฆษณาแทรกไม่ได้
ทั้งนี้ แม้หนังสือดังกล่าวไม่ได้ส่งตรงไปยังบริษัททรูดิจิทัลฯ เนื่องจากบริษัทไม่ได้เป็นผู้ได้รับใบอนุญาตและไม่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กสทช. แต่บริษัทกลับอ้างว่า การออกหนังสือดังกล่าวทำให้บริษัทฯเสียหาย จึงนำมาซึ่งการฟ้องร้องต่อการทำหน้าที่ของประธานอนุกรรมการชุดนี้ คือ กสทช. พิรงรอง รามสูต
“ในคำร้องของบริษัททรูดิจิทัลฯ อ้างว่าหนังสือดังกล่าวเป็นเหตุที่ทำให้ตนเองได้รับความเสียหายเนื่องจากผู้รับใบอนุญาตประเภทช่องรายการโทรทัศน์ อาจทำการระงับการเผยแพร่รายการต่าง ๆ ผ่านทางแพลตฟอร์มของตน ในคำร้องได้อ้างว่าทางสำนักงาน กสทช. ยังไม่มีระเบียบเฉพาะในการกำกับดูแลกิจการ OTT (Over-The-Top หรือการให้บริการสตรีมเนื้อหาผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน็ต)
อย่างไรก็ตาม กสทช. พิรงรอง ยืนยันว่า การออกหนังสือของสำนักงาน กสทช. เป็นการทำตามหน้าที่ในการคุ้มครองผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบจากการแทรกโฆษณาในบนแพลตฟอร์มทรูไอดีในการรับชมเนื้อหาตามประกาศมัสต์ แครี่ และดูแลลิขสิทธิ์เนื้อหาของผู้ให้บริการโทรทัศน์ดิจิทัล เพื่อให้เกิดการแข่งขันที่เสรีและเป็นธรรม ซึ่งการตรวจสอบของสำนักงาน กสทช. จนนำไปสู่การออกหนังสือดังกล่าวมาจากการร้องเรียนของผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบจากการแทรกโฆษณาบนกล่องทรูไอดี ทั้งนี้ ไม่ได้มีการเลือกปฏิบัติต่อผู้ประกอบกิจการรายหนึ่งรายใดเป็นพิเศษ
เป็นที่สังเกตได้ว่า หนังสือดังกล่าวที่ออกโดยสำนักงาน กสทช. มิใช่คำสั่งทางปกครอง จึงไม่มีผลบังคับใช้ตามกฏหมาย อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้ได้รับใบอนุญาตได้รับหนังสือข้างต้นและจะปฏิบัติตามประกาศ กสทช. ในประเด็นมัสแครี่ อย่างเคร่งครัดหรือไม่ ก็ยังไม่มีบทลงโทษตามกฎหมาย และผู้ได้รับใบอนุญาตมีสิทธิที่จะพิจารณาตามความเหมาะสมต่อรายการที่อยู่ภายใต้การประกอบการของตน” สภาองค์กรของผู้บริโภค ระบุ
สภาองค์กรของผู้บริโภค ระบุด้วยว่า หาก กสทช. พิรงรอง ถูกตัดสินว่ามีความผิดและไม่ได้รับสิทธิให้ประกันตัวระหว่างรอการอนุมัติการอุทธรณ์ จะต้องสิ้นสภาพการเป็น กสทช. ทันที เนื่องจาก พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ มาตรา 7 (6) และ (7) กำหนดลักษณะต้องห้ามของ กสทช. ว่า เป็นบุคคลที่ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล หรือ เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
รายงานข่าวแจ้งว่า ในเดือน เม.ย.2567 ศาลฯมีคำสั่งประทับฟ้องในคดีนี้ และบริษัททรูดิจิทัลฯ ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งให้ กสทช.พิรงรอง ยุติการปฏิบัติหน้าที่กรรมการ กสทช. และประธานอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์ไว้ชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาในคดีนี้ แต่ต่อมาเดือน พ.ค.2567 ศาลฯยกคำร้อง เนื่องจากเห็นว่าจำเลยไม่มีพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าเป็นปฏิปักษ์ ขัดขวาง หรือกลั่นแกล้งการประกอบธุรกิจของโจทก์ตามที่กล่าวอ้าง
“คำร้องที่โจทก์ขอให้ศาลสั่งจำเลยหยุดปฏิบัติหน้าที่กรรมการ กสทช. และประธานอนุกรรมการด้านกิจการโทรทัศน์ไว้ชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาคดีนี้ หรือให้ศาลกำหนดมาตรการใด ๆ ที่เป็นการห้ามจำเลยกระทำการที่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์นั้น ศาลเห็นว่า หลังจากโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้และศาลมีคำสั่งประทับรับฟ้องไว้แล้ว
ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีการกระทำใดหรือพฤติการณ์ใดที่ส่อแสดงให้เห็นว่าเป็นปฏิปักษ์ หรือขัดขวาง หรือกลั่นแกล้งการประกอบธุรกิจของโจทก์ หรือกลุ่มบริษัทในเครือโจทก์ จึงยังไม่มีน้ำหนักและเหตุผลเพียงพอที่ศาลจะมีคำสั่งให้จำเลยหยุดปฏิบัติหน้าที่ หรือกำหนดมาตรการหรือออกข้อกำหนดใด ๆ ตามที่โจทก์ร้องขอ แต่หากมีพฤติการณ์เปลี่ยนแปลงไป ศาลอาจมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นได้” ส่วนหนึ่งของคำสั่งศาลฯระบุ
อ่านประกอบ :
‘ศาลอาญาคดีทุจริตฯ’ยกคำร้อง‘ทรู ดิจิทัล’ ขอสั่ง‘พิรงรอง’หยุดปฏิบัติหน้าที่‘กสทช.’
อาจเข้าข่ายฟ้องปิดปาก! ‘สภาผู้บริโภค’ออกแถลงการณ์จี้‘ทรู ดิจิทัล’ถอนฟ้อง‘กรรมการ กสทช.’
‘ศาลคดีทุจริตฯ’ประทับฟ้อง คดีกล่าวหา‘กรรมการ กสทช.’ มีพฤติการณ์ส่อกลั่นแกล้ง‘ทรู’