
‘โรม’ ถาม รมว.ดีอี ทำไมเวลาผ่านไป 7 เดือน รัฐบาลไม่ยอมตรวจสอบคุณสมบัติประธาน กสทช.เหตุเจ้าตัวเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย-ทำคลินิก ควบคู่ตำแหน่งประธาน กสทช. ด้าน ‘ประเสริฐ’ แจงส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้ว อยู่ในกระบวนการ ด้าน ‘โรม’ ข้องใจอีก ความผิดสำเร็จแล้ว รบ.ควรตั้งกรรมการตรวจสอบได้เลย ไม่ต้องรอศาลวินิจฉัย
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่าเมื่อวันที่ 27 ก.พ.ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยมีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดประจำสัปดาห์
นายรังสิมันต์ โรม สส.พรรคประชาชน (ปชน.) ได้กล่าวสอบถามนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (รมว.ดีอี) ถึงกรณีการแต่งตั้ง นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ให้เป็นประธาน กสทช.ว่าอาจจะมีปัญหาหรือในเรื่องคุณสมบัติต้องห้ามที่ขัดต่อกฎหมาย โดยเรื่องนี้มีการยื่นเรื่องไปยังรัฐบาลไปนานกว่า 7 เดือนแล้ว แต่ยังไม่มีการตรวจสอบ
สส.พรรคประชาชนกล่าวต่อไปว่าสำหรับคุณสมบัติต้องห้ามของ นพ.สรณนั้นก็เนื่องจากผู้มาเป็นกรรมการ กสทช.จะต้องมีการลาออกจากทุกตำแหน่งภายใน 15 วัน แต่ปัญหาก็คือว่าจากการตรวจสอบรายงานจากรรมาธิการเทคโนโลยีสารสนเทศของวุฒิสภาพบว่า นพ.สรณ น่าเชื่อได้ว่าเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยจนถึงวันที่ 12 เม.ย.2565 หรือก่อนโปรดเกล้าฯเพียงหนึ่งวันเท่านั้น นอกจากนี้ยังเป็นแพทย์รายชั่วโมงของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งอีกด้วย และปัจจุบันก็ยังคงทำหน้าที่นี้อยู่ อีกทั้งถ้าพิจารณาจากมาตรา 7 อนุ ข จะพบว่า นพ.สรณ อาจจะเข้าข่ายเป็นผู้ดำรงตำแหน่งของมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่ นพ.สรณได้บริหารเป็นผู้ประกอบกิจการโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิกช่องชื่อว่ารามาแชนนอล ซึ่งตัวประธาน กสทช.อาจจะไม่ได้ลาออกจากการเป็นผู้บริหารภายในหนึ่งปีก่อนเข้ารับการสรรหา ดังนั้นทั้งหมดนี้จึงอาจทำให้ประธาน กสทช.อาจมีลักษณะต้องห้ามตาม พรบ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมตามมาตรา 8 และมาตรา 18 ดังนั้นจึงขอถามไปยังนายประเสริฐว่าทราบเรื่องนี้หรือไม่และจะดำเนินการอย่างไรเพื่อแก้ปัญหานี้
ทางด้านของนายประเสริฐ กล่าวว่าทราบเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว เนื่องจากได้มีโอกาสพูดคุยกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง และขณะนี้ก็ได้มีการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญแล้วในการวินิจฉัย ตีความในเรื่องนี้ว่าประธาน กสทช.มีคุณสมบัติและคุณลักษณะที่ขัดต่อกฎหมายหรือไม่ ซึ่งตอนนี้เรื่องนี้กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา ดังนั้นก็ควรต้องรอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาให้ความเห็นเสียก่อน โดยส่วนตัวก็ได้ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด
นายรังสิมันต์ได้กล่าวสอบถามต่อในคำถามที่สองว่ากระบวนการเข้าสู่ศาลรัฐธรรมนูญนั้นอยากให้นายประเสริฐช่วยชี้แจงด้วยว่าได้เข้าไปสู่กระบวนการนี้เมื่อไร อย่างไร เพราะถ้าหากพิจารณาตามกฎหมายอย่าง พรบ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมาตรา 18 เราจะพบว่ากรณีผู้เป็นกรรมการ กสทช.ที่มีคุณสมบัติต้องห้ามตามมาตรา 7 รวมถึงเงื่อนไขของการเป็นกรรมการตามมาตรา 8 ถ้ามันมีปัญหานั้นจริงๆก็ถือว่าผู้นั้นไม่เคยได้รับเลือกเป็นกรรมการ ต้องมีการเลือกกรรมการใหม่ ซึ่งตาม พรบ.ฯ ฉบับนี้ ก็ต้องยอมรับว่าไม่มีการกำหนดวิธีการอย่างชัดเจนว่าหากมีการโปรดเกล้าฯไปแล้วและพบว่ากรรมการ กสทช.คนนั้นขาดคุณสมบัติ ถ้าเป็นเช่นนั้นจะต้องดำเนินการอย่างไร กฎหมายไม่ได้ลงรายละเอียดตรงนั้น ดังนั้นต้องพิจารณาในรายละเอียดว่าบุคคลนั้นขึ้นมาเป็นกรรมการได้อย่างไร และกระบวนการตอนออกเนื่องจากมีปัญหาในเรื่องคุณสมบัติ ก็ต้องใช้วิธีเดียวกันกับตอนเข้ามาคือเรื่องของการโปรดเกล้าฯ ซึ่งมีกรณีของกรรมการ กสทช.รายหนึ่ง ที่มีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ เพราะมีประเด็นเรื่องคำพิพากษาต่างๆตามมา ซึ่งสุดท้ายนายกรัฐมนตรีในยุคนั้นซึ่งก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ได้มีการเสนอทูลเกล้าฯ และก็ได้มีการโปรดเกล้าฯให้พ้นจากตำแหน่งตามมา
"ถ้ากรณีนี้ ผมคิดว่ามันก็จะต้องมีการดำเนินการในลักษณะเดียวกัน" นายรังสิมันต์กล่าว
สส.พรรคประชาชนกล่าวต่อไปว่าสำหรับรายงานของกรรมาธิการของวุฒิสภานั้นบ่งชี้ว่าข้อมูลการดำเนินการทางกฎหมายของทางวุฒิสภานั้นได้สิ้นสุดไปแล้ว และข้อมูลพยานหลักฐานเหล่านี้เท่าที่ทราบก็คือได้มีกรรมการ กสทช.จำนวนสี่คนได้เข้าชื่อกันและก็ส่งเรื่องไปถึงนายกรัฐมนตรีไปแล้วตั้งแต่วันที่ 7 ม.ค. อีกทั้งการส่งหนังสือฉบับนั้นก็มีการลงเลขรับทุกอย่างเรียบร้อย ดังนั้นเราต้องถือโดยหลักว่านายกรัฐมนตรีได้รับรู้แล้วว่าประธาน กสทช.คนปัจจุบันนั้นมีคุณสมบัติต้องห้ามอยู่ ซึ่งเท่าที่ผ่านมาตลอด 7 เดือน เรากลับไม่เห็นการดำเนินการของทางรัฐบาลเลยว่าจะทำอย่างไร ดังนั้นส่วนตัวไม่แน่ใจว่าการที่นายประเสริฐบอกว่าจะต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความหรือวินิจฉัยก่อนจะต้องใช้อำนาจตามกฎหมายอะไร เพราะตามที่เรียนว่ากระบวนการนั้นมันจะต้องอาศัยนายกรัฐมนตรีในการเสนอทูลเกล้าฯ เนื่องจากว่าความผิดได้สำเร็จไปแล้ว คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามมันได้เกิดขึ้นไปแล้วด้วยเช่นกัน
นายประเสริฐได้กล่าวตอบคำถามนี้โดยยอมรับว่าเสียงของประธาน กสทช.นั้นมีความสำคัญเช่นเดียวกับความเป็นเอกภาพของกรรมการ กสทช.ก็มีความสำคัญทั้งสิ้น สำหรับคำถามในเรื่องเกี่ยวกับการติดตามรายละเอียดการส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าดำเนินการอย่างไรนั้น ต้องขอเรียนว่าเราได้ติดตามอยู่ แต่รายละเอียดเรื่องนี้มีเป็นจำนวนมาก และเรื่องนี้อยู่ในการพิจารณาของศาลอยู่แล้ว
รมว.ดีอีกล่าวต่อไปว่าสำหรับเรื่องที่มาของประธาน กสทช. นั้นต้องขอเรียนว่ามาจากการสรรหาและเป็นไปตาม พรบ.จัดสรรคลื่นความถี่ฯ สำหรับกรณีที่กรรมการ กสทช. สี่คนได้ทำเรื่องถึงนายกรัฐมนตรี ตรงนี้นายกรัฐมนตรีในช่วงเวลานั้นซึ่งก็คือนายเศรษฐา ทวีสิน ก็ได้รับทราบเรื่องแล้ว และมีบัญชาการมาให้ตนและเลขาธิการนายกรัฐมนตรีไปพบปะกับคณะกรรมการ กสทช.ทั้งสี่ คน โดยพูดคุยลงในรายละเอียดถึงเรื่องคุณสมบัติ การดำเนินการภายในของ กสทช.จนทำให้รัฐบาลได้ติดตามเป็นระยะในเรื่องการทำงานของ กสทช. เพื่อให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ
นายรังสิมันต์ได้ถามต่อในคำถามที่สามเป็นคำถามสุดท้าย โดยกล่าวว่าส่วนตัวมีเอกสารฉบับหนึ่งที่อยากจะฝากให้นายประเสริฐเพื่อให้ได้รับทราบข้อมูล แต่ในประเด็นที่นายประเสริฐได้ชี้แจงเรื่องศาลรัฐธรรมนูญ ต้องบอกว่ากฎหมายไม่ได้กำหนดในเรื่องว่าถ้าประธานหรือกรรมการ กสทช.มีประเด็นเรื่องคุณสมบัติต้องห้ามหรือขัดเงื่อนไขบางประการจะต้องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้นถ้านายประเสริฐสามารถให้ข้อมูลได้ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง และอีกประเด็นคือหลังจากเมื่อ 7 เดือนที่แล้วได้มีการยื่นเรื่องไปที่นายกรัฐมนตรี รวมไปถึงตัวนายประเสริฐเองที่มาตอบคำถามในวันนี้ ดังนั้นต้องถามว่าพยานหลักฐานที่ได้มาในชั้นวุฒิสภา ทางรัฐบาลได้มีการตั้งกรรมการที่จะตรวจสอบว่าพยานหลักฐานที่ว่านี้ตรงตามนั้นหรือไม่ ตกลงว่า นพ.สรณยังคงเป็นพนักงานของมหาวิทยาลัยหรือไม่ ยังเป็นกรรมการบริษัทอยู่หรือไม่ และยังเป็นแพทย์รายชั่วโมงใช่หรือไม่ และทำไมจึงมีเอกสารได้มาจากโรงพยาบาลรามาธิบดีว่า นพ.สรณได้เงินมาหลายหมื่นบาท ทั้งในช่วงก่อนจะเป็นและหลังเป็นประธาน กสทช.แล้ว อีกทั้งมีประเด็นเรื่องการเปิดคลินิกที่สหรัฐอเมริกาของบุคคลชื่อคล้าย นพ.สรณ ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่
"ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ทางรัฐบาลสามารถตั้งกรรมการจะตรวจสอบได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องรอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก่อน เพราะถ้าเราปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่่อยๆ มันก็จะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจหลายอย่างและสังคมก็ตั้งคำถามว่าการตัดสินใจสำคัญ ตกลงแล้ว กสทช.มีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องนั้นหรือไม่ เพราะมันมีปัญหาในเรื่องคุณสมบัติ และถ้าปัญหานั้นมีจริงก็เท่ากับว่า นพ.สรณไม่เคยเป็นกรรมการเลย" นายรังสิมันต์กล่าวและกล่าวย้ำว่าส่วนตัวก็หวังว่ากรณีที่มีข่าวลือว่าบุคคลที่เป็นรัฐมนตรีมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนใน กสทช. ซึ่งส่วนตัวก็หวังว่าข่าวลือนี้จะไม่เป็นความจริง เพราะมันอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ถูกมองได้ว่าในช่วง 7 เดือนที่ไม่มีการดำเนินการกับกรณีคุณสมบัติต้องห้ามของประธาน กสทช.มันอาจเป็นเพราะความสัมพันธ์ตรงนี้หรือเปล่า
นายประเสริฐได้กล่าวตอบคำถามของนายรังสิมันต์ว่าในรอบ 7 เดือนที่นายรังสิมันต์กล่าว ทางรัฐบาลได้มีการติดตามการทำงาน กสทช.มาตลอดและต้องขอบคุณความเห็นของนายรังสิมันต์ด้วยที่บอกว่าให้มีการตั้งกรรมการตรวจสอบ ส่วนตัวก็ขอรับข้อเสนอของนายรังสิมันต์เอาไว้ ส่วนกรณีที่มีการกล่าวหาว่าคนในรัฐบาลมีความสัมพันธ์กับคนใน กสทช.นั้นต้องขอเรียนว่าส่วนตัวไม่ทราบเรื่องนี้ แต่ยืนยันว่าคนในรัฐบาลแยกแยะได้ระหว่างความสัมพันธ์ส่วนตัวกับการทำงาน ถ้าผิดก็ว่าไปตามผิด ถูกก็ว่าไปตามถูก
รมว.ดีอีกล่าวทิ้งท้ายว่าสำหรับอำนาจในการตรวจสอบของรัฐบาลจริงๆต้องเรียนว่ามีหลายช่องทางตาม พรบ.จัดสรรคลื่นความถี่ฯ ไม่ว่าจะเป็นการให้ประชาชนได้รับผลกระทบเข้าชื่อไม่น้อยกว่าสองหมื่นคนที่เสนอต่อประธานวุฒิสภา การให้สมาชิกสภาไม่ว่าจะเป็น สส.หรือ สว.จำนวนไม่น้อยกว่าจำนวนหนึ่งในสี่เข้าชื่อต่อประธานวุฒิสภา เพื่อให้กรรมการ กสทช.พ้นจากตำแหน่งได้ ซึ่งความเห็นของนายรังสิมันต์ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะใช้ในการตรวจสอบ

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา