
เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม เผยผลตรวจสอบเหล็กตึกสตง. ถล่ม พบไม่ได้มาตรฐาน มาจากยี่ห้อเดียวกัน-บริษัทที่เคยสั่งปิดเมื่อเดือนธันวาคม ปี 67 เตรียมลงพื้นที่ตรวจสอบรอบสอง ขู่ เพิกถอนใบอนุญาต - นภิทร ศรีสรรพางค์ รมช.พาณิชย์ พบ บ.ไชน่า เรลเวย์ ฯ เกี่ยวพันกับอีก 13 บริษัท ลั่น ดำเนินการตามกฎหมายทุกฉบับ-ทุกข้อกล่าวหา
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 1 เมษายน 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม ให้สัมภาษณ์ถึงผลการตรวจสอบคุณภาพเหล็กที่ใช้ก่อสร้างตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ มูลค่า 2 พันล้านบาท ถล่ม ว่า การเข้าไปเก็บตรวจอย่างเหล็กเพื่อนำไปตรวจสอบได้ขออนุญาตนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทยแล้ว ซึ่งมีหน่วยกู้ภัยมาช่วยตัดเหล็กท่ามกลางสื่อมวลชน โดยได้เก็บตัวอย่างเหล็กมาตรวจสอบคุณภาพมีจำนวน 6 ประเภท 3 ยี่ห้อม ประกอบด้วย เหล็กขนาด 9 มิลลิเมตร และอีก 5 ประเภท คือ เหล็กข้ออ้อย แบ่งออกเป็นขนาด 12 ขนาด 16 ขนาด 25 และ ขนาด 32
“จากการตรวจสอบเมื่อวาน (31 มี.ค.68) ที่สถาบันเหล็กและเหล็กกล้า โดยมีตัวแทนจากสภาวิศกรรมสถาน ตัวแทนจศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) พบว่า เหล็ก 2 ขนาดที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน คือ เหล็กไซส์ 20 และเหล็กไซส์ 32 ซึ่งมาจากยี่ห้อเดียวกัน”นายเอกนัฏกล่าว
@ ขู่ เพิกถอนใบอนุญาต
นายเอกนัฏกล่าวว่า จากการตรวจสอบพบเนื่องจากเหล็กที่ไม่ได้มาตรฐานมาจากผู้ผลิตที่กระทรวงอุตสาหกรรมเคยสั่งให้หยุดโรงงานไปเมื่อเดือนธันวาคมปี 2567 ดังนั้นจึงต้องมีการดำเนินการต่อ โดยจะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนและขยายผลข้อเท็จจริงออกไปอีก
“ตามปกติถ้าตรวจสอบว่า มีผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ไม่ได้มาตรฐานต้องเรียกเก็บทั้งหมด และให้ผู้ผลิตหยุดและปรับปรุง แต่กรณีนี้ ได้ให้หยุดและปรับปรุงไปแล้ว เพราะฉะนั้นหากสามารถทำได้ก็ต้องไปดูว่ามีผลพอให้เพิกถอนใบอนุญาตได้เลยหรือไม่”นายเอกนัฎกล่าว
นายเอกนัฎกล่าวกล่าว ในการเข้าพื้นที่ในครั้งต่อไปจะเข้าไปพร้อมกับคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของกระทรวงมหาดไทย โดยกรมโยธาธิการและผังเมือง และเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยจะเก็บเหล็กแบบชี้เป้า และให้ครบทุกประเภท หลายตัวอย่าง และเข้าไปเก็บในจุดที่สัณนิฐานว่าเป็นจุดที่ทำให้ตึกถล่ม
“เรื่องนี้ผมต่อสู้มาโดยตลอด ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงอุตสาหกรรมได้สั่งปิดไปแล้ว 7 โรงงาน และอยู่ระหว่างตรวจสอบอีก 3 โรงงาน มูลค่าของกลางที่ยึดมาได้กว่า 400 ล้านบาท ไม่นับความเสียหายทางเศรษฐกิจ”นายเอกนัฎกล่าว
นายเอกนัฏกล่าวว่า ไม่ใช่เฉพาะเรื่องเหล็กอย่างเดียว รวมถึงเรื่องสายไฟ คือ ทองแดงไม่เป็นไปตามมาตรฐานและเล็กกว่าที่ควรจะเป็น เรื่องยางเก่า และอุตสาหกรรมธุรกิจศูนย์เหรียญ ซึ่งไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจในประเทศไทย เป็นทุนต่างชาติ 100 % จ้างงานต่างด้าว 100 % ภาษีบางบริษัท 0 % ไม่จ่าย ได้รับสิทธิประโยชน์จากสำนักงานส่งเสริมการลงทุน (BOI) ด้วย
“อยากให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ เพราะที่ผ่านมาวันสองวันได้ข่าวว่า มีความพยายามที่จะวิ่งเต้น หรือข่มขู่เจ้าหน้าที่ ไม่เป็นไร ถ้าไม่กล้าพูด ผมพูดเอง เกิดอะไรขึ้นผมรับผิดชอบเอง เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เราปล่อยปละละเลยไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว”นายเอกนัฎกล่าว
@ พบบ.ไชน่า เรลเวย์ฯ โยง 13 บริษัท
ด้านนายนภินทร ศรีสรรพางค์ รมช.พาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ถึง บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทกิจการ่วมค้ารับจ้างก่อสร้างตึกสตง.แห่งใหม่ ว่า ได้ให้คณะทำงานชุดใหญ่ ซึ่งประกอบด้วย ร้อยตรี จักรา ยอดมณี รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองสอบสวนอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ กรมสรรพากร ลงไปตรวจสอบและใช้กฎหมายที่มีอยู่อย่างเต็มที่เพื่อให้ได้ข้อสรุปภายใน 7 วัน โดยจะประชุมในวันนี้ (1 เม.ย.68) เวลา 13.30 น.
“เบื้องต้นเราพบว่า บริษัทนี้เกี่ยวพันกับบริษัทอื่น ๆ อีก 13 บริษัทด้วยกัน และทั้งหมดทำงานที่ไหนบ้าง รับงานที่ไหนบ้าง โดยจะตรวจสอบและดำเนินการอย่างเข้มงวดตามกฎหมายที่มีอยู่ทุกฉบับ ทุกข้อหา”นายนภินทรกล่าว
นายนภินทรกล่าวว่า ยืนยันว่า จะตรวจสอบอย่างละเอียดว่าบริษัทนี้เกี่ยวกับพันกี่บริษัท และแต่ละบริษัทนนั้นรับงานในประเทศไทยอย่างไรบ้าง เสร็จที่ไหน และที่ไหนกำลังก่อสร้างอยู่ เบื้องต้นพบว่ามีคนไทยถือหุ้นบริษัทฯ แต่ยังไม่ขอสรุปว่าเป็นนอมินีหรือไม่
“เรามีวิธีการทางกฎหมายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมสรรพากร กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานกองบังคับการตำรวจอาชญากรรมฯ ที่สามารถลงไปสืบสวนสอบสวนได้ว่าบริษัทนี้เป็นบริษัทนอมินีหรือไม่ เกี่ยวพันกับบริษัทอื่นที่เป็นนอมินีหรือไม่ และรับงานอยู่ที่ไหนบ้าง เสร็จแล้วที่ไหนบ้าง หรืออยู่ระหว่างดำเนินการ”นายนภินทรกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า รวมถึงการสุ่มตรวจบริษัทจีนอื่น ๆ ที่มีเรื่องร้องเรียนเรื่องนอมินีหรือไม่ นายนภินทรกล่าวว่า พยายามทำงานอย่างเต็มที่ในการตรวจสอบว่าเข้าข่ายเป็นนอมินีหรือไม่ แต่เนื่องจากบริษัทมีจำนวนมาก 20,000 กว่าบริษัท
นายนภินทรกล่าวว่า อย่างไรก็ดี กระทรวงพาณิชย์ได้ประสานงานกับกรมที่ดินเพื่อแลกเปลี่ยนและเชื่อมโยงข้อมูลกับกรมที่ดิน เพราะกรมที่ดินมีข้อมูลว่า ผู้ถือครองมีบริษัทอะไรบ้าง แต่ไม่รู้ว่าผู้ถือครองบริษัทเหล่านั้นจะมีการเปลี่ยนรายชื่อผู้ถือหุ้นในภายหลังหรือไม่ ทั้งนี้ ในอนาคตจะเชื่อมโยงข้อมูลแบบเรียลไทม์ว่า บริษัทไหนถือที่ดินและโอนกรรมสิทธิ์ถือหุ้นอย่างไร

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา