เอกนัฎ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม - วิทยา แก้วภราดัย สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ อยู่บนทางสองแพร่ง เรื่องคุณสมบัติ-ลักษณะต้องห้าม ดำรงตำแหน่ง สส.- รัฐมนตรี หลังพนักงานอัยการ ยื่น ฎีกา โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีชุมนุม กปปส. ปี 56-57
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 4 ในฐานะโจทก์ ได้ยื่นฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2567 ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นจำเลยที่ 1 กับพวกรวม 39 คน จำเลย ในคดีหมายเลขดำที่ อ.247/2561 คดีหมายเลขแดง อ.317/2564 , คดีหมายเลขดำที่ อ.832/2561 คดีหมายเลขแดง ที่ อ.318/2564 , คดีหมายเลขดำที่ อ.1185/2561 คดีหมายเลขแดง อ.319/2564 , คดีหมายเลขดำที่ อ.2603/2561 คดีหมายเลขแดงที่ อ.320/2564 , คดีหมายเลขดำที่ อ.3376/2561 คดีหมายเลขแดงที่ อ.321/2564 , คดีหมายเลขดำที่ อ.491/2562 คดีหมายเลขแดงที่ อ.322/2564 , คดีหมายเลขดำที่ อ.719/2562 คดีหมายเลขแดงที่ อ.323/2564 , คดีหมายเลขดำที่ อ.1315/2562 คดีหมายเลขแดงที่ อ.324/2564 , คดีหมายเลขดำที่ อ.1760/2562 คดีหมายเลขแดงที่ อ.325/2564 , คดีหมายเลขดำที่ อ.2378/2562 คดีหมายเลขแดงที่ อ.326/2564 ของศาลอาญา
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องประกอบ :
- เปิดคำฟ้องอัยการ – โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ฎีกา ‘คดีกบฏ กปปส.’
- ศาลอุทธรณ์สั่งลงโทษยุยงปลุกปั่น ‘สุเทพ’ คุก1 ปี-แกนนำกปปส.1 ปี 8 ด.-ได้ประกันสู้ชั้นฏีกา
รายงานข่าวระบุว่า ในส่วนของจำเลยที่ระบุไว้ในฎีกาของอัยการคดีนี้มีผู้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และรัฐมนตรีในปัจจุบัน 2 ราย ประกอบด้วย 1.นายวิทยา แก้วภราดัย จำเลยที่ 6 ปัจจุบันเป็น สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ และ 2.นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ จำเลยที่ 9 ปัจจุบันเป็น สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษายกฟ้องตามศาลชั้นต้นในคดีความผิด และคำพิพากษาศาลชั้นต้นต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
โดยฎีกาของพนักงานอัยการในส่วนของจำเลยที่ 6 และจำเลยที่ 9 ได้ระบุคำโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในฐานความผิดเป็นอั้งยี่ ไว้ว่า อุทธรณ์ของโจทก์แสดงให้เห็นว่า จำเลย ร่วมกันเป็นสมาชิกของคณะบุคคลใช้ชื่อว่า “คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” หรือ “กปปส.” จัดตั้งขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์และความมุ่งหมายเพื่อกระทำการอันมมิชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวอย่างไรบ้างเท่านั้น โดยไม่ได้บอกหรือแจ้งให้สมาชิกคณะบุคคลดังกล่าวทราบถึงวิธีการในการดำเนินการอันมมิชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวอันเป็นการปกปิด อำพราง ซ่อนเร้น หรือปกปิดวิธีการดำเนินการของคณะบุคคลดังกล่าว
“จึงเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งไว้ชัดเจนแล้วว่า คำพิพากษาของศาลชั้นต้นไม่ถูกต้องอย่างไร ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะรับอุทธรณ์ของโจทก์ในความผิดฐานเป็นอั้งยี่ไว้วินิจฉัย ซึ่งพยานหลักฐานโจทก์รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 10 ที่ 13 ถึงที่ 39 เป็นตัวการร่วมกัน หรือเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานเป็นอั้งยี่ตามเหตุผลในคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์”
ขณะที่ความผิดฐานกบฏ พนักงานอัยการฎีกาว่า หากบุคคลใดได้ลงมือกระทำการโดยการใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายแล้วและมี เจตนาพิเศษ เพื่อล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ หรือให้ใช้อำนาจดังกล่าวไม่ได้ บุคคลดังกล่าวย่อมกระทำ ความผิดสำเร็จแล้ว ซึ่งโจทก์ได้นำพยานหลักฐานเข้านำสืบแสดงให้เห็นชัดแล้วว่า จำเลยทั้งหมดได้กระทำการตามที่ปราศรัยไว้เป็นขั้นตอน โดยร่วมกันกระทำการปลุกระดม ยุยง ชักชวนให้ประชาชน ทั่วราชอาณาจักรเข้าร่วมการชุมนุม และร่วมกิจกรรมในการก่อความไม่สงบ โดยมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายที่จะขับไล่รัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้พ้นจากตำแหน่ง
“ความรุนแรงดังกล่าวเกิดขึ้นมาจากการปลุกเร้าของจำเลยที่ 1 กับพวก ซึ่งจำเลยที่ 1 กับพวก ย่อม เล็งเห็นผล ถึงความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นดังกล่าวได้ และได้เกิดความรุนแรงขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 กับพวก ได้ห้ามปรามผู้ชุมนุมแต่ประการใด การกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 10 ที่ 13 ถึงที่ 39 จึงเป็น ตัวการร่วม กันกระทำความผิดฐานร่วมกันเป็นกบฏ ตาม ป.อ. มาตรา 113”
รายงานข่าวว่า ส่วนความผิดขัดขวางไม่ให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 76 มาตรา 152 วรรคหนึ่ง พนักงานอัยการฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ว่า โจทก์ มีพยานยืนยัน ว่า จำเลยที่ 6 ได้เข้าร่วมกลุ่ม กปปส. เพื่อเคลื่อนไหวทางการเมืองร่วมกับจำเลยที่ 1 โดยทำหน้าที่เป็น กรรมการ กปปส. มีหน้าที่ดูแลการชุมนุมและได้เป็นผู้นำมวลชนที่เวทีปราศรัยกระทรวงการคลังแทนจำเลยที่ 1 พยานหลักฐานโจทก์รับฟังได้ว่าเป็นแกนนำมวลชนในการชุมนุมที่กระทรวงการคลังด้วย และเป็นแกนนำพากลุ่มผู้ชุมนุมไปที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง (สถานที่รับสมัครเลือกตั้ง)
โจทย์มีพยาน ยืนยันว่าจำเลยที่ 9 เข้าร่วมชุมนุมกับจำเลยที่ 1 กับพวกตั้งแต่แรก ทำหน้าที่โฆษกกลุ่ม กปปส. เป็นคณะกรรมการ ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบด้วยการสื่อสารกับต่างประเทศ และเป็นโฆษกของแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมด้วย
ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามการเป็น สส.ไว้ใน มาตรา 98 บุคคลต้องห้ามไม่ให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส. (6) ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังโดยหมายของศาล , มาตรา 101 สมาชิกภาพ สส.สิ้นสุดลง เมื่อ (6) มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98 , (13) ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก แม้จะมีการรอการลงโทษ
ขณะที่รัฐธรรมนูญ ปี 60 กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามการเป็นรัฐมนตรี ไว้ในมาตรา 160 (6) ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98 (7) ไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก แม้คดีนั้นจะยังไม่ถึงที่สุด หรือมีการรอลงโทษ
ทั้งนี้ ปัจจุบันคดีการชุมนุม กปปส. ของนายเอกนัฏ และนายวิทยา ยังคงต้องยึดตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่ยกฟ้องตามศาลชั้นต้น จนกว่าศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด หลังอัยการยื่นฎีกา

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา