
‘สุริยะ’ เช็กอัพโครงสร้างพื้นฐานกลุ่มจังหวัดอีสานตอนบน 3 จังหวัด ‘สกลนคร-นครพนม-มุกดาหาร’ กางแผนสร้างถนน 4 เลน-ถนนเลียบแม่น้ำโขงนาคาวิถี ส่วนทางคู่บ้านไผ่ - นครพนม ติดหล่มเวนคืนทำคืบแค่ 14% ช้ากว่าแผน 36% ขณะที่การพัฒนาสนามบินมุกดาหารขอหารือ ‘กระทรวงต่างประเทศ’ ก่อน ก่อนระบุในจังหวัดรอบข้าง ‘สกลนคร-นครพนม’ ก็มีสนามบินอยู่แล้ว ดูความจำเป็นก่อน
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 28 เมษายน 2568 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากการลงพื้นที่จังหวัดนครพนม พร้อมกับนางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และผู้บริหารกระทรวงคมนาคม ติดตามงานกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 (สกลนคร นครพนม และมุกดาหาร) ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการคมนาคมขนส่ง มีโครงการที่สำคัญที่ได้รับรายงาน ได้แก่ โครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 223 ตอนอำเภอนาแก - บ้านต้อง อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ของกรมทางหลวง (ทล.) เป็นทางหลวงในแนวตะวันตก - ตะวันออก เชื่อมต่อจังหวัดสกลนคร - จังหวัดนครพนม ซึ่งสามารถเชื่อมต่อไปยังสะพานมิตรภาพไทย - ลาว แห่งที่ 2 (มุกดาหาร - สะหวันนะเขต) และแห่งที่ 3 (นครพนม - คำม่วน) ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง จึงได้มอบหมายให้ ทล. เร่งดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อให้สามารถลงนามในสัญญาและเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้โดยเร็ว รวมทั้งกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนด ให้สามารถเปิดให้บริการได้ในปี 2570
สำหรับโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 223 ตอนอำเภอนาแก - บ้านต้อง จ.นครพนม ระยะทาง 11.411 กม. (กม.53+164.000-กม.64+575.000 ) งบประมาณก่อสร้าง450 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการปี 2568-2570 รูปแบบโครงการเป็นการขยายช่องจราจรจาก 2 เป็น 4 เลนไปกลับ แบ่งแยกทิศทางด้วยพื้นที่เกาะกลางกว้าง 2.60 เมตร ผิวทางเป็นคอนกรีต ผิวจราจรมีความกว้างช่องละ 3.50 เมตร ไหล่ทางกว้าง 2.5 เมตร ออกแบบทางแยกสัญญาณไฟ 1 แห่ง ติดตั้งสะพานลอยบริเวณหน้าโรงเรียน 4 แห่ง พร้อมไฟส่องสว่างตลอดโครงการ และมีจุดกลับรถ 8 จุด
นายสุริยะกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังมีโครงการก่อสร้างถนนเลียบแม่น้ำโขงนาคาวิถี ช่วงสะพานมิตรภาพไทย - ลาว (แห่งที่ 2) - พระธาตุพนม ของกรมทางหลวงชนบท (ทช.) ระยะทางรวม 43.485 กม. ซึ่งเป็นการยกระดับถนนเพื่อการท่องเที่ยวและเส้นทางชุมวิวทิวทัศน์เลียบริมฝั่งแม่น้ำโขง ซึ่งทช.รายงานความก้าวหน้าที่ 82% เร็วกว่าแผน2.018% จึงได้มอบหมายให้ ทช. กำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดสามารถเปิดให้บริการในปี 2570 กรณีประสบปัญหาในการดำเนินการ ให้เร่งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนเพื่อสร้างความเข้าใจและร่วมกันแก้ไขปัญหา ไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินโครงการ
สำหรับรูปแบบโครงการ ก่อสร้างและปรับปรุงถนนทางหลวงชนบทสาย มห.3003 และ นพ. 3015 เป็นถนนคอนกรีตผิวจราจรกว้าง 6 ไหล่ทางกว้างข้างละ 2 เมตร พร้อมระบบระบายน้ำในเขตชุมชนและขยายสะพานในสายทางจำนวน 11 แห่ง รวมถึงสร้างจุดพักรถและชมทิวทัศน์รวมระยะทาง 43.485 กม.


@เวนคืนถ่วงทางคู่บ้านไผ่ - นครพนมคืบแค่ 14%
ขณะที่ระบบราง นายสุริยะกล่าวว่า การรถไฟแห่งประะเทศไทย (รฟท.) อยู่ระหว่างก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่สายใหม่ เส้นทางบ้านไผ่ - นครพนม ระยะทาง 355 กม. วงเงินลงทุน 66,785.53 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยพัฒนาศักยภาพการขนส่งทางรางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้มอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งรัดจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและส่งมอบพื้นที่โดยเร็ว รวมทั้งกำกับดูแลการก่อสร้างให้เป็นไปตามแผน เพื่อให้สามารถเปิดให้บริการในปี 2570
โดยรฟท.รายงานว่าการก่อสร้างภาพรวม ณ เดือนมี.ค.2568 มีความคืบหน้า 14.462% (แผนงาน 50.066%) ล่าช้า 35.604% โดมี 2 สัญญา ได้แก่ สัญญาที่ 1 ช่วง บ้านไผ่-หนองพอก ระยะทาง 177.50 กม. มีกิจการร่วมค้า เอเอส - ช.ทวี แอนด์ แอสโซซิเอทส์ เป็นผู้รับจ้าง วงเงิน 27,100 ล้านบาท เริ่มงานวันที่ 16 มี.ค. 2566 สิ้นสุดวันที่ 22 ก.พ. 2570 มีความคืบหน้า 26.139 % (แผนงาน 52.845 %) ล่าช้า 26.706%
สัญญา 2 ช่วงหนองพอก-สะพานมิตรภาพ 3 ระยะทาง 177.25 กม. มี บมจ. ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (UNIQ) เป็นผู้รับจ้าง วงเงิน 28,310 ล้านบาท เริ่มงานวันที่ 21 เม.ย.2566 สิ้นสุดวันที่ 30 มี.ค. 2570 มีความคืบหน้า 3.286 % (แผนงาน 47.405%) ล่าช้า 44.119%
“ปัญหาอุปสรรคที่ทำให้เกิดความล่าช้าเกิดจากการเวนคืนที่ดินไม่ได้ตามแผนงาน โดยขณะนี้ยังเวนคืนและเข้าพื้นที่ไม่ได้ 20% ทำให้งานก่อสร้างล่าช้า โดยเฉพาะ สัญญาที่ 2 การก่อสร้างล่าช้าถึง 44% จึงให้รฟท.หาแนวทางเร่งรัดการก่อสร้างให้กลับมาทันตามแผนงาน เพราะในการลงนามสัญญาจะมีกรอบว่าจะต้องส่งมอบพื้นที่เท่าไร ซึ่งจะมีพื้นที่ ที่ส่งมอบแล้วและเอกชนสามารถเข้าก่อสร้างได้ก่อน ไม่ใช่รอพื้นที่ที่ยังส่งมอบไม่ได้แล้วอ้างเป็นเหตุว่างานล่าช้า “นายสุริยะกล่าว
นายสุริยะ กล่าวว่า การพัฒนาข้างต้นจะเป็นเส้นทางสายเศรษฐกิจที่สำคัญของภาคตะวันออกเฉียงเหนือนตอนบนที่สามารถเชื่อมโยงไปยัง สปป.ลาว ประเทศเวียดนาม และภาคใต้ของประเทศจีน ที่ไม่เพียงแต่สนองนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง ยังส่งเสริมการเป็นประตูการค้าสู่อนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ที่จะช่วยพัฒนาพื้นที่ในทุกมิติ สร้างงาน สร้างรายได้ และสร้างโอกาส เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน

@ยังไม่เคาะสร้าง สนามบินมุกดาหาร
นายสุริยะกล่าวว่า จากที่ ได้ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ตอนบน 2 (สกลนคร นครพนม และมุกดาหาร) ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด และภาคเอกชน เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะต่าง ๆ และแนวทางการดำเนินงานจากทุกภาคส่วน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมในจังหวัดนครพนมและพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษให้มีความสมบูรณ์ เชื่อมโยงเส้นทางการค้าระหว่างไทยและ สปป.ลาว ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลพื้นที่กลุ่มภาคอีสานตอนบน ได้จัดสรรงบกลางวงเงิน 200 ล้านบาท ช่วยพัฒนาพื้นที่เสริมสร้างแหล่งท่องเที่ยว
ส่วนกรณีที่ภาคเอกชน เสนอให้ก่อสร้างสนามบินมุกดาหาร นายสุริยะกล่าวว่า โครงการนี้มีการลงทุนสูงและต้องศึกษาเรื่องความเหมาะสมและคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ ซึ่งเอกชนก็เสนอให้ใช้สนามบินสะหวันนะเขตแทน แล้วส่วนต่อผู้โดยสารกลับมาในประเทศไทย เรื่องนี้ กระทรวงคมนาคมขอไปหารือ กับกระทรวงการต่างประเทศก่อน เนื่องจาก ข้อเสนอนี้ไม่ชัดเจน ที่บอกว่า จะทำให้ค่าโดยสารถูกลงกรณีสายการบินราคาประหยัด (Low cost) ของไทยไปลงที่สนามบินสปป.ลาวแล้วให้ผู้โดยสารข้ามแดนกลับมา อย่างไรก็ตามต้องเจรจาดูตัวเลขว่าถูกกว่าจริงหรือไม่ และหลักการ สามารถใช้สนามบินใกล้เคียง ที่มีทั้งที่สกลนคร นครพนมได้
@R12 ใช้รับเหมาไทย
ขณะที่โครงการปรับปรุงเส้นทางหมายเลข 12 (R12) ช่วงเมืองท่าแขก - จุดผ่านแดนนาเพ้า สปป.ลาว (โครงการ R12) ระยะทางประมาณ 147 กม.ที่ ครม. มีมติเห็นชอบการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว จำนวน 1,833 ล้านบาทนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมกล่าวว่า จากการหารือในวันนี้ ได้ขอความร่วมมือให้ สปป.ลาวใช้ผู้รับเหมาไทย ตามเงื่อนไข เนื่องจากทางสปป.ลาว ขอที่จะก่อสร้างโดยใช้ผู้รับเหมาสปป.ลาว เพื่อให้การดำเนินงานมีความต่อเนื่องและรวดเร็ว ซึ่งโครงการดังกล่าวเมื่อเสร็จสิ้นแล้วจะสามารถสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนและการขนส่งสินค้า ของทั้งสองประเทศอย่างมาก จึงอยากให้สปป.ลาว ทำตามเงื่อนไข เพื่อให้โครงการได้เริ่มต้น โดยเร็ว
“กระทรวงคมนาคม ได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เดินหน้าพัฒนาการคมนาคมให้ครอบคลุมทุกมิติ เพื่อส่งเสริมการเดินทางและการเชื่อมโยงระหว่างประเทศ ประชาชนสามารถเดินทางได้สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยมากขึ้น และเมื่อโครงการต่าง ๆ แล้วเสร็จจะสร้างประโยชน์สำคัญต่อประชาชนในพื้นที่ ช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในระยะยาว ทั้งการเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจและการค้า ช่วยลดต้นทุนการขนส่งสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมจากภาคอีสานไปยังประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงสนับสนุนการท่องเที่ยวในจังหวัดนครพนมและพื้นที่ใกล้เคียง และยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน เพิ่มโอกาสการจ้างงานในภาคโลจิสติกส์ การค้าชายแดน และการพัฒนาพื้นที่จังหวัดนครพนม และภาคอีสานอย่างยั่งยืน” นายสุริยะ กล่าว

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา