
‘ธปท.’ ชี้โจทย์นโยบายไม่ใช่ ‘กระตุ้น’ เศรษฐกิจให้โตเหมือนเดิม แต่ต้องประคองให้มี ‘เสถียรภาพ’ย้ำเก็บ ‘policy space’ รับความเสี่ยงในระยะข้างหน้า ประเมิน ‘สงครามการค้า’ ส่อกระทบการจ้างงาน 1.3 ล้านคน
.........................................
เมื่อวันที่ 14 พ.ค. นายปิติ ดิษยทัต รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยในงาน Monetary Policy Forum 1/2568 ตอนหนึ่ง ว่า จากสถานการณ์ความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะความไม่แน่นอนของสงครามการค้า ทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ต้องมี policy space เพื่อรองรับกับความไม่แน่นอนดังกล่าว และตอนนี้เองต้องถือว่าศักยภาพในการดำเนินนโยบายการเงินมีไม่มากแล้ว
“ศักยภาพหรือรูมที่เหลือของนโยบายการเงิน ตอนนี้ถือว่าไม่ได้เยอะมาก เราลดมาถึง 1.75% แล้ว และไม่เพียงแค่ในประเทศไทยเท่านั้น ระดับอัตราดอกเบี้ย เมื่อต่ำลงมาแล้ว แรงกระตุ้นเพิ่มเติมจากการลด มันจะน้อยลง การส่งผ่านและผลที่มีต่อเศรษฐกิจจะค่อยๆน้อยลง ดังนั้น การใช้ดอกเบี้ย เมื่ออัตราดอกเบี้ยเริ่มต่ำแล้ว มันจึงต้องชั่งให้มากขึ้น” นายปิติ กล่าว
นายปิติ กล่าวต่อว่า “ในแง่ policy space แล้ว เราเก็บไว้เพื่อใช้ ซึ่งคณะกรรมการฯ โดยรวม มองว่าโลกข้างหน้า ความไม่แน่นอนมันเยอะ มีความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้หลากหลาย ที่ทำให้เราต้องใช้นโยบายการเงินในช่วงนั้นจะดีกว่า จึงต้องคำนึงถึงอนาคตไว้ ส่วนอีกด้านหนึ่ง คือ ลดตอนนี้ ในระดับที่ต่ำแล้ว บวกกับภายใต้บริบทที่ความไม่แน่นอนสูงมาก ผลของมันจะไม่ค่อยเยอะ อย่างการลงทุน ลดดอกเบี้ยไป ถ้าไม่มีความชัดเจนเรื่องนโยบายการค้า ธุรกิจเขาก็ไม่ลงทุน
ผู้บริโภคก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะจับจ่ายใช้สอย เพราะฉะนั้น ประสิทธิภาพของนโยบายการเงินอาจไม่ได้สูงเท่าปกติ ทั้งนี้ policy space มีไว้ เพื่อรองรับเหตุการณ์ที่คิดว่าอาจมีความรุนแรง เช่นว่าระบบการเงินโลกเกิดมีปัญหาขึ้นมาอย่างที่เกิด จึงต้องมีบัฟเฟอร์ในการรองรับ และลักษณะเศรษฐกิจที่เรามอง ตัวที่ฉุดเศรษฐกิจ หลักๆมาจากนโยบายการค้าโลก ซึ่งช็อกแบบนี้ เศรษฐกิจไทยต้องชะลอระดับหนึ่ง เศรษฐกิจโลกจะชะลอระดับหนึ่ง
เราจึงต้องประคองให้เศรษฐกิจมีเสถียรภาพพอ เพื่อรองรับความไม่แน่นอน ไม่ใช่กระตุ้นให้เศรษฐกิจโตเท่าเดิมได้ ภายใต้ช็อกที่มาจากข้างนอกและควบคุมไม่ได้ โจทย์ของนโยบาย จึงไม่ใช่ว่าวันนี้เราจะทำอะไร แต่ต้องเป็นลักษณะว่า ในระยะต่อไปข้างหน้าใน long game นโยบายการเงินควรจะวางตำแหน่งตัวเองอย่างไรกับฉากทัศน์หลายๆฉากทัศน์ที่จะเกิดขึ้นในหลายเดือนหรือเป็นปีข้างหน้า สิ่งที่มองจึงไม่ใช่แค่รอบนี้ แต่มองเป็นระยะยาว”
นายปิติ กล่าวด้วยว่า ผลกระทบจากสงครามการค้า ซึ่งทำให้การลงทุนเอกชนลดลงนั้น จะทำให้ศักยภาพเศรษฐกิจไทยชะลอตัวในระยะสั้น ส่วนในระยะยาว ศักยภาพเศรษฐกิจจะกลับมาได้หรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับตัวเราว่า จะปรับตัวให้เข้ากับโลกที่เปลี่ยนไปได้อย่างไร ซึ่งนโยบายการเงินเองมีผลในลำดับรองๆ เพราะจากการพูดคุยกับธุรกิจ เขาบอกว่า ไม่ใช่เรื่องต้นทุนทางการเงินที่เป็นอุปสรรค แต่เป็นความชัดเจนนโยบาย การมองเห็นโอกาส และกฎเกณฑ์กติกาของภาครัฐ
นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธปท. กล่าวว่า แม้ว่าขณะนี้ผลกระทบจากสงครามการค้าจะยังไม่ชัดเจนมากนัก แต่เริ่มเห็นสัญญาณการลงทุนที่ชะลอตัวลงจากความไม่แน่นอนที่สูงขึ้น ทั้งนี้ ผลกระทบจากสงครามการค้าจะมีความชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และทอดยาวไปจนถึงปีหน้า โดยเซ็กเตอร์หลักๆ ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าฯ ได้แก่ 1.กลุ่มผู้ส่งออก โดยเฉพาะกลุ่มที่ส่งออกสินค้าไปสหรัฐ
และ 2.กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการแข่งขันของกลุ่มที่ส่งออกสินค้าไปสหรัฐได้น้อยลง และหันมาส่งออกสินค้าไปแข่งขันในตลาดโลก รวมถึงตลาดไทยมากขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อ SME ค่อนข้างมาก ดังนั้น โจทย์ของนโยบายจึงต้องให้ความสำคัญกับการปรับตัว เพื่อทำให้ภาคธุรกิจและการผลิตปรับตัวให้เข้ากับโลกใหม่
“มาตรการทางการเงินในช่วงการประชุม (คณะกรรมการนโยบายการเงิน) ครั้งที่แล้ว ได้ลดดอกเบี้ยลงมา เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มของเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อที่มีความเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน การปรับดอกเบี้ยในรอบที่ผ่านมา ทำให้มีการผ่อนคลาย และรองรับความเสี่ยงที่มองไปข้างหน้าได้ระดับหนึ่งแล้ว” นายสักกะภพ กล่าว



@‘สหรัฐ-จีน’ลดภาษีชั่วคราว ส่งผลดีGDP‘เล็กน้อย’
ด้าน นางปราณี สุทธศรี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธปท. กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยโดยรวมมีแนวโน้มปรับลดลงจากภาคต่างประเทศเป็นหลัก และมีความเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มขึ้น จากความไม่แน่นอนที่รออยู่ข้างหน้า โดยเฉพาะนโยบายการค้าโลกที่ยังคาดเดาตอนจบได้ยาก โดย ธปท.ได้ประเมินผลกระทบจากสงครามการค้าเป็น 2 ฉากทัศน์ คือ ฉากทัศน์ Reference Scenario (Lower Tariffs) และฉากทัศน์ Alternative Scenario (Higher Tariffs)
นางปราณี ยังกล่าวถึงกรณีสหรัฐลดภาษีนำเข้าจีนเหลือ 30% จาก 145% และจีนลดภาษีตอบโต้สหรัฐเหลือ 10% จาก 125% เป็นเวลา 90 วัน หรือครบกำหนดวันที่ 12 ส.ค.นี้ ว่า จะช่วยลดความตึงเครียดทางด้านการค้าระหว่าง 2 ประเทศใหญ่ลงชั่วคราว และส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยเล็กน้อย โดยจะทำให้ประมาณการเศรษฐกิจไทยภายใต้ฉากทัศน์ Reference Scenario ปรับตัวดีขึ้น 0.1% จากที่คาดว่าในปี 2568 เศรษฐกิจไทยจะเติบโต 2%
“ผลดี จะผ่านมาจากการส่งออกไทยที่ดีขึ้น จากความต้องการในตลาดโลกที่ปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจจีนและสหรัฐไม่ได้ขึ้นภาษีกันรุนแรง และผลดี ยังส่งผ่านมาในช่องที่ไทยเป็นซัพพลายเชนให้จีน แล้วจีนส่งออกไปสหรัฐ ซึ่งเราคาดว่าน่าจะเห็นจีนเร่งส่งออกไปอีกระลอกหนึ่ง ก่อนครบ 90 วัน
อีกทั้งสินค้าจีนที่จะทะลักเข้าในไทย รวมถึงสินค้าจีนที่จะไปแข่งกับไทยในตลาดอื่นๆ สถานการณ์ตรงนี้น่าจะบรรเทาลง ซึ่งจะส่งผลดีต่อการส่งออกและจีดีพี 0.1% เนื่องด้วยเป็นการลดภาษีชั่วคราว 1 ไตรมาส และยังต้องจับตาผลการเจรจาของ 2 ประเทศ ว่า มีทิศทางเป็นอย่างไร รวมถึงผลการเจรจาของประเทศต่างๆเทียบกับไทยด้วย” นางปราณีระบุ



@‘เทรดวอร์’กระทบ 5 กลุ่ม จ้างงานรวม 1.39 ล้านคน
นางปราณี กล่าวต่อว่า กลุ่มส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า ได้แก่ อาหารแปรรูป เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักร ชิ้นส่วนยานยนต์รวมยางล้อ และโลหะ นั้น แต่ละกลุ่มได้รับผลกระทบแตกต่างกัน โดยกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์รวมยางล้อ ซึ่งถูกเรียกเก็บภาษี tariff ในอัตรา 25% พบว่า ผู้ส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ 700 ราย เป็นสัญชาติไทย มี SME ที่เกี่ยวข้อง 3,400 ราย และมีการจ้างงาน 4 แสนคน
สำหรับกลุ่มอาหารแปรรูป ซึ่งถูกเรียกเก็บภาษี tariff ในอัตรา 10% นั้น กลุ่มนี้มีการใช้วัตถุดิบในประเทศ (local content) สูง มี SME กว่า 1.2 หมื่นราย และเชื่อมโยงกับเกษตรกร มีการจ้างงาน 2.7 แสนคน ส่วนกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งถูกเรียกเก็บภาษี tariff ในอัตรา 10% นั้น ผู้ส่งออก 200 ราย เป็นต่างชาติ และมี SME ที่เกี่ยวข้อง 5,000 ราย มีการจ้างงาน 1.4 แสนคน ในขณะที่กลุ่มส่งออกที่ยังไม่ได้รับผลกระทบ เพราะสหรัฐยังยกเว้นภาษีให้ คือ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์
“เป็นความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยที่ต้องจับตามอง และถ้าเป็นไปได้ ถ้ามีการเร่งการเจรจา ก็จะช่วยลดผลกระทบต่อผู้ส่งออก รวมถึงผลกระทบที่จะมีต่อ SME ไทย และการจ้างงานได้” นางปราณี กล่าว
นางปราณี กล่าวว่า อีกกลุ่มที่น่ากังวลเป็นพิเศษ คือ กลุ่มที่เจอการแข่งขันที่สูงขึ้นจากสินค้านำเข้า (import flooding) เช่น เครื่องนุ่งห่มและสิ่งทอ เฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก ซึ่งกลุ่มเหล่านี้เดิมมีปัญหาเชิงโครงสร้างในด้านความสามารถการแข่งขันที่น้อยกว่าชาติอื่นๆอยู่แล้ว จึงมีความเปราะบางเพิ่มขึ้นอีก เมื่อเผชิญการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น จากสินค้านำเข้าที่เข้ามาแข่งขัน
“หลายๆเซ็กเตอร์ เจอการแข่งขันที่สูงมานานแล้ว เช่น เครื่องนุ่งห่ม ซึ่งกลุ่มเครื่องนุ่งห่ม มี SME กว่า 1.2 แสนราย มีการจ้างงานถึง 4.3 แสนคน ในขณะที่กลุ่มเฟอร์นิเจอร์เอง เจอการแข่งขันที่สูงขึ้นเมื่อ 3-4 ปีก่อน โดยกลุ่มนี้มี SME กว่า 1.2 หมื่นราย และมีการจ้างงาน 1.5 แสนคน ส่วนกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบทั้งในแง่การส่งออกไปสหรัฐ และการแข่งขันจาก import flooding มี SME 5,000 รายและจ้างงาน 1.4 แสนราย” นางปราณี ระบุ
นางปราณี ยังกล่าวว่า SME ให้ความเห็นว่า จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ SME ค่อนข้างจะอยู่ได้ยาก และคาดหวังว่าจะมีความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในเรื่องของการบังคับใช้กฎหมาย และการตรวจสอบที่เข้มงวดขึ้น เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์และการแข่งขันจากสินค้าด้อยคุณภาพราคาถูกจากต่างประเทศ รวมทั้งคาดหวังว่าจะได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาล ทั้งเงินทุนเพื่อช่วยปรับตัว องค์ความรู้ การพัฒนาสินค้า และการช่วยหาตลาด


ด้าน นายสุรัช แทนบุญ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายการเงิน ธปท. กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปีนี้และปีหน้ามีแนวโน้มลดต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย โดยหลักๆจะมาจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง รวมถึงมาตรการลดค่าครองชีพของภาครัฐ ทั้งการลดราคาน้ำมันดีเซลและเบนซินเพิ่มเติม รวมถึงการลดค่าไฟฟ้า อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานทรงตัว ไม่ได้สะท้อนสัญญาณเงินฝืด ขณะที่อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ยังยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมาย
“ถามว่าการที่เงินเฟ้อทั่วไปปรับลดลง จากการที่สินค้าและบริการบางตัว คือ ราคาพลังงานปรับลดลง มันส่งสัญญาณหรือลามไปทำให้เกิดการลดลงของสินค้าและบริการในวงกว้างหรือไม่ คำตอบก็คือ ไม่” นายสุรัช กล่าว
นายสุรัช กล่าวว่า แม้ว่าขณะนี้ภาวะการเงินยังตึงตัวอยู่ แต่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ต้นทุนการระดมทุนลดลง ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนเคลื่อนไหวผันผวนจากปัจจัยภายนอก ทั้งนี้ สินเชื่อโดยภาพรวมยังหดตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะการหดตัวของสินเชื่อ SME ทำให้ในเดือน ก.พ.2568 สินเชื่อรวมหดตัว -0.5% ซึ่งสอดคล้องกับความเสี่ยงด้านเครดิต (credit risk) ที่ปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่คุณภาพสินเชื่อยังปรับด้อยลง




อ่านประกอบ :
‘ผู้ว่าฯธปท.’มอง‘เทรดวอร์’ทำภาพศก.ไทยเป็น‘ตัว V ขากว้าง’-แนะออกมาตรการดูแล‘เฉพาะกลุ่ม’
มติ 5 ต่อ 2! 'กนง.'ลดดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 1.75%-'เทรดวอร์'ส่อฉุดGDPปี 68 เหลือ 1.3-2%
เศรษฐกิจโตต่ำกว่าที่ประเมิน! กนง.มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 2%
มติเอกฉันท์! 'กนง.'คงดอกเบี้ย 2.25% มอง GDP ปีหน้า 2.9%-จับตาเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง
บรรเทาภาระหนี้! กนง.มีมติ 5 ต่อ 2 ลดดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 2.25%-คาด GDP ปี 67 โต 2.7%
‘ผู้ว่าฯธปท.’เผย‘กนง.’กังวลสภาวะการเงิน‘ตึงตัว’ ย้ำ 3 เงื่อนไขปรับดบ.-ปัดตอบลดค่าฟี FIDF
มติ 6 ต่อ 1! กนง.คงดอกเบี้ยนโยบาย 2.5% ชี้สอดคล้องการขยายตัวศก.-กังวล‘หนี้ครัวเรือน’สูง
มติ 5 ต่อ 2 เสียง! 'บอร์ด กนง.' เสียงแตก คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.5%-มอง GDP ปี 67 โต 2.6%
'นายกฯ'เรียกร้อง'ธปท.'นัดประชุม'กนง.'ก่อนกำหนด ถกลด'ดอกเบี้ย'หลังมีข้อมูลใหม่'สภาพัฒน์'
มติ 5 ต่อ 2! 'กนง.'เสียงแตก คงดอกเบี้ยนโยบาย 2.5%-หั่นคาดการณ์จีดีพีปี 67 โตไม่เกิน 3%
มติเอกฉันท์! กนง.คงดอกเบี้ยนโยบาย 2.5%-หั่นคาดการณ์จีดีพีปีนี้เหลือ 2.4%
3 กรรมการ'กนง.'ฝั่ง'แบงก์ชาติ' มองทิศทาง'ดอกเบี้ยนโยบาย' ท่ามกลาง'ปัจจัยเสี่ยง-แรงกดดัน'
เงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้น! กนง.มีมติเอกฉันท์ขึ้นดบ. 0.25% สู่ระดับ2.5%-มองGDPปีนี้โต 2.8%
สู่ระดับ 2.25%! 'กนง.'มีมติเอกฉันท์ขึ้นดอกเบี้ย 0.25%-มอง'เงินเฟ้อ'มีความเสี่ยงด้านสูง
มติเอกฉันท์! ‘กนง.’เคาะขึ้นดบ. 0.25% สู่ระดับ 2% มองเศรษฐกิจอาจโตเกินคาด-จับตาเงินเฟ้อ
มติเอกฉันท์! กนง.ขึ้นดอกเบี้ย 0.25%สู่ระดับ 1.75% สกัดเงินเฟ้อ-จับตาตลาดการเงินโลกผันผวน
มติเอกฉันท์! กนง.ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% สกัดเงินเฟ้อ-มองศก.ไทยฟื้นต่อเนื่อง แม้ส่งออกแผ่ว
กนง.มีมติเอกฉันท์ขึ้นดบ.นโยบาย 0.25% สู่ระดับ 1.25%-จับตาเศรษฐกิจโลกเสี่ยงชะลอกว่าคาด
มติเอกฉันท์! กนง.ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จับตา‘เงินบาท’ใกล้ชิด-มองจีดีพีปีนี้โต 3.3%

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา