
กรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โควิดในไทย เผยอาการไม่รุนแรงขึ้น แต่แพร่เร็ว พบผู้ป่วย 221,186 ตาย 52 ราย อยู่ระหว่างวิเคราะห์เหตุเสียชีวิต หลังสงกรานต์พบการระบาดแล้ว 14 คลัสเตอร์ ทั้งในเรือนจำ-โรงเรียน-ค่ายทหาร
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 พญ.จุไร วงศ์สวัสดิ์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษกกรมควบคุมโรค กล่าวตอนหนึ่งถึงสถานการณ์โควิด-19 ว่า ข้อมูลจากกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ปัจจุบันคนไข้สะสม 221,186 ราย และเสียชีวิต 52 ราย อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ขณะนี้เป็นอย่างไร หากดูกราฟตั้งแต่ปี 2564 -2565 อัตราป่วยตายประมาณร้อยละ 1 แต่ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2566 กรมควบคุมโรคเปลี่ยนสถานะจากโรคติดต่ออันตราย เป็นโรคติดต่อเฝ้าระวัง สื่อสารประมาณเป็นโรคประจำถิ่น ซึ่งในปี 2566-2567 ก็ยังมีโควิด แต่อัตราเสียชีวิตลดลง โดยเคสโควิดป่วยตายเหลือร้อยละ 0.02 กระทั่งหลังสงกรานต์ปี 2568 มีเคสผู้ป่วยเพิ่มขึ้น
ความรุนแรงของโควิดลดลงเรื่อยๆ แต่เราไม่ประมาท อย่างปีนี้เสียชีวิตล่าสุด 52 ราย อัตราป่วยตายอยู่ที่ 0.02% โดยข้อมูลปี 2568 ผู้ป่วยเพิ่มขึ้นหลังสงกรานต์ ช่วงสัปดาห์ที่ 17 คือ ช่วงวันที่ 20-26 เมษายน มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น และตั้งแต่สัปดาห์ที่ 19 เริ่มสูงขึ้นกว่าปีที่แล้วในช่วงเดียวกัน โดยสัปดาห์ที่ 19 คือช่วงวันที่ 4-10 พฤาภาคม ป่วยเป็น 33,608 ราย สัปดาห์ที่ 20 คือ 11-17 พฤาภาคม ป่วย 57,826 ราย และสัปดาห์ที่ 21 วันที่ 18-24 พ.ค. ป่วย 67,484 ราย แต่พอสัปดาห์ที่ 22 ช่วงวันที่ 25-27 พ.ค. ป่วยเหลือ 9,253 ราย
“เห็นว่าในช่วงสัปดาห์ที่ 19-21 พบว่าจำนวนผู้ป่วยสูงกว่าค่ามัธยฐานย้อนหลัง 5 ปี รวมถึงสูงกว่าจำนวนผุ้ป่วยในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 สรุปคือ หลังสงกรานต์ อัตราป่วยตายยังเฉลี่ยร้อยละ 0.02 จึงไม่รุนแรง ขอให้ประชาชนตระหนัก แต่อย่าตระหนก เพราะไวรัสปรับเปลี่ยนให้ความรุนแรงลดลง เนื่องจากเป็นโรคประจำถิ่น แต่อาจมีการเพิ่มขึ้นตามฤดูกาล ช่วงหน้าฝน หน้าหนาว เหมือนไวรัสทางเดินหายใจทั่วไป อย่างไข้หวัดใหญ่ หรือ RSV” พญ.จุไรกล่าว

พญ.จุไร กล่าวอีกว่า สำหรับ 10 จังหวัดที่มีอัตราป่วยสูงสุด คือ ระยอง อัตราป่วยอยู่ที่ 1,073 คนต่อประชากรแสนคน รองลงมา กรุงเทพมหานคร 976 คนต่อประชากรแสนคน, ชลบุรี 914 คนต่อประชากรแสนคน, ภูเก็ต 911 คนต่อประชากรแสนคน, นนทบุรี 817 คนต่อประชากรแสนคน, ปทุมธานี 650 คนต่อประชากรแสนคน, นครปฐม 639 คนต่อประชากรแสนคน, สมุทรปราการ 609 คนต่อประชากรแสนคน, ตราด 585 คนต่อประชากรแสนคน และประจวบคีรีขันธ์ 548 คนต่อประชากรแสนคน
ทั้งนี้ อัตราป่วยจำแนกตามกลุ่มอายุ พบว่าก่อนและหลังสงกรานต์ สัปดาห์ที่ 17-22 ป่วยมากสุดคือ เด็ก อายุ 0-4 ปี และส่วนผู้ใหญ่อายุ 30-39 ปี รองลงมาอายุ 20-29 ปี และผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งพบมาก และข้อมูลตรงกันทั้งก่อน และหลังสงกรานต์
“ส่วนตัวเลขผู้เสียชีวิตจากโควิดปี 2568 พบ 51 ราย ในอัตราตายที่ 0.08 ต่อประชากรแสนคน โดย 78% ของผู้เสียชีวิตคือ อายุ 60 ปีขึ้นไปและมีภาวะปอดอักเสบร่วมด้วย ขณะนี้กำลังวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงของกลุ่มเสียชีวิตว่า มีปัจจัยเสี่ยงอะไรร่วมด้วย แต่ที่แน่ๆเป็นผู้สูงอายุส่วนใหญ่ ซึ่งกำลังดูว่ามีปัจจัยโรคประจำตัวอะไร และเป็นผู้ไม่ได้รับวัคซีนมาก่อนหรือไม่” พญ.จุไร กล่าว

ทั้งนี้ การระบาดกลุ่มก้อนของโควิดในปีนี้ (สัปดาห์ที่ 17-21 หลังสงกรานต์) มี 14 เหตุการณ์ โดยมีการระบาดในเรือนจำ 6 เหตุการณ์ มีผู้ป่วย 198 ราย สถานศึกษา 5 เหตุการณ์ ผู้ป่วย 258 ราย ค่ายทหาร 2 เหตุการณ์ ผู้ป่วย 178 ราย และโรงพยาบาล 1 เหตุการณ์ ผู้ป่วย 35 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 27 พ.ค.2568)
สำหรับการถอดรหัสพันธุกรรมการของเชื้อ โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบว่า สายพันธ์โอมิครอนในประเทศไทยตั้งแต่เดือนมกราคม 2567- 6 พฤษภาคม 2568 พบว่า JN.1 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 63.92 ของสายพันธ์ทั้งหมดในไทย ส่วนสายพันธ์ XEC แนวโน้มลดลง คิดเป็นสัดส่วนสะสมร้อยละ 3.07สอดคล้องกับการระบาดทั่วโลก แต่ก็มีสายพันธุ์อื่นเพิ่มเติม ซึ่งต้องเฝ้าระวัง
อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนสายพันธุ์โควิด-19 ไม่ได้ทำให้มีอาการรุนแรงขึ้น แต่แพร่ระบาดได้รวดเร็วขึ้น

“กรมวิทย์กำลังจับตาสายพันธุ์อื่นๆอยู่ ส่วนที่มีข้อกังวลเรื่องบางรายมีอาการท้องเสีย จริงๆไวรัสทางระบบหายใจตัวอื่นๆก็มีอาการนี้ได้ ไม่เฉพาะเจาะจง แต่รักษาได้ สำหรับไวรัสโควิดมีการปรับตัวให้ความรุนแรงลดลง เพื่อให้แพร่เชื้อต่อได้ ขณะนี้ไวรัสเองก็กำลังปรับตัว จึงไม่ค่อยรุนแรง แต่เมื่อไปเจอกลุ่มเสี่ยง ผู้สูงอายุก็อาจรุนแรงได้ ประกอบกับปัจจุบันคนส่วนใหญ่ยังมีภูมิคุ้มกันจากโควิดระบาดก่อนหน้านี้ ย้ำว่า ยังไม่มีสัญญาณว่า โควิดปรับตัวจะทำให้เชื้อรุนแรงขึ้น” พญ.จุไร กล่าว
พญ.จุไร กล่าาวว่า อาการโควิดในเด็ก ไม่รุนแรง แต่ RSV รุนแรงกว่า โดยเฉพาะเด็กเล็กๆ ซึ่งเด็กยังให้ยาฟาวิพิราเวียร์ แต่ผู้ใหญ่เราไม่ให้แล้ว โดยให้งดพักที่บ้าน 5 วัน ไม่ต้องไปโรงเรียน กรณีนอนแอดมิทจะเป็นเด็กเล็กๆมากกว่า ซึ่งอาการแสดงออกไม่ได้รุนแรงกว่าไวรัสอื่นๆ
พญ.จุไร กล่าวเสริมว่า หากผู้ป่วยแอดมิทติดเชื้อจากโควิด ไข้หวัดใหญ่ และมีอาการปอดบวมจาก 2 โรคพร้อมกันก็จะรุนแรงได้
พญ.จุไร ยังกล่าวเสริมถึงสถานการณ์โรคติดเชื้อโควิดในต่างประเทศ อย่างสิงคโปร์ ก็พบป่วยเพิ่ม ซึ่งคาดว่ามีสาเหตจากภูมิคุ้มกันลดลง ส่วนฮ่องกง จีน พบเพิ่มเช่นกัน อย่างไรก็ตาม สถานการณ์โควิดนอกจากไทย ก็ยังพบจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นในต่างประเทศเช่นกัน ซึ่งไทยยังอยู่ในระยะขาขึ้น จึงจำเป็นต้องมีมาตรการป้องกัน ไม่ให้ระบาดมากกว่านี้ ยิ่งอยู่ในช่วงเปิดเทอมก็จะพบเคสของโรคระบบทางเดินหายใจเพิ่มขึ้น จึงแนะนำการเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และดำเนินมาตรการป้องกันโรค เช่น สวมหน้ากากอนามัยในสถานที่แออัด รักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล เช่น ล้างมืออย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วย เป็นต้น โดยเฉพาะโรงเรียน สถานศึกษาขอให้เข้มมาตราการเหล่านี้

พญ.จุไร กล่าวว่า ในช่วงเปิดเทอมจะทำให้มีเคสการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจเพิ่มขึ้น กรมควบคุมโรคจึงเฝ้าระวังสถานการณ์ใกล้ชิด และดำเนินมาตรการต่อเนื่อง โดยเฉพาะการสวมหน้ากากอนามัยในพื้นที่แออัด และล้างมืออย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งหลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้มีอาการป่วย ส่วนผู้ที่จะเดินทางไปต่างประเทศ ขอให้ติดตามสถานการณ์ในประเทศปลายทางด้วย
ด้าน นพ.วีรวัฒน์ มโนสุทธิ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ และโฆษกกรมควบคุมโรค กล่าวถึงอาการติดเชื้อโควิดในผู้ใหญ่ ว่า ต้องระวังผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไป ซึ่งแอดมิทในรพ.จะมีภาวะปอดอักเสบ แต่ไม่รุนแรงเหมือนเทียบกับสายพันธ์ก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ความรุนแรงของโรคไม่ได้เพิ่มขึ้น
"โควิด ไข้หวัดใหญ่ เป็นไวรัสคนละสายพันธุ์ เคยตรวจเจอ 1 คนป่วยทั้ง 2 โรคก็มี แต่ที่เจอคือ เพิ่งติดไข้หวัดใหญ่ และมาติดโควิดต่อ เนื่องจากภูมิคุ้มกันของไข้หวัดใหญ่ ไม่ได้ส่งผลต่อโควิด และอาการก็ไม่ได้รุนแรง ขึ้นกับแต่ละบุคคล" นพ.วีรวัฒน์ กล่าว


Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา