
ผุ้ว่า ธปท.เตือนภาษีทรัมป์-สินค้าต่างชาติทะลักทำเศรษฐกิจไทยเสียสมดุล ส่งผลเสียหายรุนแรงภาคอุตสาหกรรมไทย ชี้ SME ไทยเจอผลกระทบสินค้าจีนหนักสุด
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่าเมื่อวันี่ 3 มิ.ย.นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมาให้สัมภาษณ์สำนักข่าวนิกเกอิของญี่ปุ่น กล่าวถึงกรณี การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และการทะลักของสินค้าที่เข้ามาประเทศไทย อาจสร้างความเสียหายรุนแรงต่อภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ของไทย ซึ่งเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอาจทิ้งผลกระทบที่บาดลึกเอาไว้
นายเศรษฐพุฒิกล่าวถึงผลที่สะท้อนมาถึงเอเชียด้วย เนื่องจากมาตรการภาษีที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้นำมาใช้เริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่แท้จริง หลังจากที่สร้างความปั่นป่วนในตลาดการเงินมาตลอดสองเดือนที่ผ่านมา
ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวว่าภาคอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกอาจได้รับผลกระทบอย่างหนัก หากไม่สามารถส่งออกไปขายที่ตลาดสหรัฐฯได้ เช่น กลุ่มอาหารแปรรูป อิเล็กทรอนิกส์ และชิ้นส่วนรถยนต์ โดยเฉพาะยางรถยนต์ยิ่งไปกว่านั้น ตลาดในประเทศก็คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากสินค้าที่ไม่สามารถส่งออกไปสหรัฐฯ และถูกเทเข้ามาในประเทศไทยแทน เช่น เฟอร์นิเจอร์ สิ่งทอและเครื่องแต่งกาย พลาสติก ปิโตรเคมีภัณฑ์ และเหล็ก
“การนำเข้าที่เพิ่มขึ้นมาจากหลายประเทศ แต่แหล่งที่สำคัญแน่นอนคือจากจีน” นายเศรษฐพุฒิกล่าว
ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวอีกว่า สำหรับไทยสิ่งที่น่าเป็นห่วงเป็นพิเศษคือ ผู้ประกอบการรายย่อยหรือเอสเอ็มอีที่จะได้รับผลกระทบจากการนำเข้าสินค้าที่ทะลักเข้ามา เพราะเป็นหมวดสินค้าที่มีอุตสาหกรรมเอสเอ็มอีจำนวนมาก และเปราะบางกว่ามาก และมีสัดส่วนการจ้างงานที่ค่อนข้างมาก
“ตามข้อมูลของทางการศุลกากรจีน การส่งออกของจีนไปยังสหรัฐฯ ลดลง 21% ในเดือนเมษายน นับตั้งแต่รัฐบาลทรัมป์ประกาศมาตรการ “ภาษีตอบโต้” เมื่อวันที่ 2 เมษายน ในขณะเดียวกัน การส่งออกทั่วโลกของจีนเติบโต 8% และเป็นการส่งออกไปไทยเพิ่มขึ้น 28%” นายเศรษฐพุฒิกล่าว
นายเศรษฐพุฒิกล่าวอีกว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่กว้างขวางเช่นนี้ทำให้ธนาคารกลางคาดการณ์เศรษฐกิจได้ยาก ซึ่งกระตุ้นให้ ธปท. ต้องทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน คือการประมาณการณ์ไว้สองสถานการณ์
ย้อนไปเมื่อวันที่ 30 เมษายน ธปท. ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทย โดยคาดการณ์ผลลัพธ์ที่เป็นไปในทางดีที่สุดคือการเติบโต 2% ในปีนี้ และอีกสถานการณ์คือแย่ที่สุดเศรษฐกิจไทยจะเติบโตเพียง 1.3%
ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ฯ) ที่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโต 1.3%-2.3% โดยมีค่ากลางอยู่ที่ 1.8% ในปี 2568
“เราจะเริ่มเห็นผลกระทบของภาษี แสดงผลในไตรมาสที่ 3 และ 4 ซึ่งส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับการเจรจาและผลลัพธ์ของการเจรจา ทั้งนี้ได้ประมาณการอัตราการเติบโตระยะยาวของเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงสูงกว่า 2%” ผู้ว่าการ ธปท.กล่าว
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวอีกว่า จากการคาดการณ์ล่าสุดบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจไทยจะโตต่ำกว่าศักยภาพการเติบโต เนื่องจากผลกระทบจากภาษีเป็นอุปสรรการต่อการส่งออกของไทย ซึ่งส่งออกคิดเป็นสัดส่วนกว่า 60% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP)
ส่วน ธปท. ได้ดำเนินการเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายแล้วสองครั้งในปีนี้ โดยอัตราปัจจุบันอยู่ที่ 1.75%
“นโยบายการเงินในปัจจุบันเอื้อต่อการเติบโต ธปท. ไม่ได้พิจารณาเพียงเป้าหมายเงินเฟ้อ ในการตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ย แต่คำนึงถึงแนวโน้มการเติบโตที่อ่อนแอลงที่เห็นในอนาคต ผมไม่สามารถบอกได้ว่าเราจะลดอัตราดอกเบี้ยอีกเมื่อไร แต่การผ่อนคลายนโยบายการเงินยังคงจำเป็นสำหรับประเทศไทยในตอนนี้” ผู้ว่าการ ธปท.กลาวและย้ำว่า ธปท. จะยังคงรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาท เพื่อคงนโยบายที่เอื้อต่อการเติบโตและส่งเสริมการเติบโต
“ประเทศไทยเป็นประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยภาคการธนาคารมากกว่าตลาด และผลกระทบจากภาษีต่อตลาดการเงินของไทยนั้นมีน้อยกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอย่างสหรัฐ เงินบาทที่อ่อนค่าลงมักจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ส่งออกในประเทศไทย แม้ว่าคำกล่าวนี้จะเป็นจริง แต่เราไม่มีเป้าหมายหรือระดับอัตราแลกเปลี่ยนที่กำหนดไว้ในใจ เราตระหนักดีถึงอันตรายและความเสี่ยงของการพยายามทำมากเกินไปเกี่ยวกับระดับอัตราแลกเปลี่ยน” ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวเสริม โดยอ้างอิงถึงบทเรียนอันหนักหน่วงจากวิกฤตทางการเงินในเอเชียช่วงทศวรรษ ค.ศ.1990
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวเปรียบเทียบภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันกับวิกฤตการณ์ครั้งก่อนๆ ว่า ไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายเกินไปเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน เนื่องจากประเทศไทยยังมีภาคบริการ ซึ่งคาดว่าจะยังคงอยู่รอดได้แม้จะมีภาษีของทรัมป์ และอาจมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเศรษฐกิจไทย
“พายุครั้งนี้ไม่เลวร้ายเท่าครั้งที่เราเคยผ่านมา” นายเศรษฐพุฒิกล่าว โดยอ้างถึงช่วงที่ GDP ไทยหดตัว 7.6% ในปี 1997 และเมื่อเศรษฐกิจหดตัว 6.1% ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2020 การคาดการณ์การเติบโตที่ 1.3% ถึง 2.0% ในปีนี้ ดีกว่ามากเมื่อเทียบกับช่วงเวลาที่มืดมนเหล่านั้น เราจะผ่านพ้นพายุลูกนี้ไปได้ เพราะเราเคยผ่านสิ่งที่เลวร้ายกว่ามาแล้ว และเราก็ผ่านมันมาได้”
นายเศรษฐพุฒิ เผยว่า คาดว่าต้องใช้เวลาสักระยะในการแก้ไขปัญหาภาษีของนายทรัมป์ โดยจะขึ้นอยู่กับว่าประเทศไทยจะจัดการกับการเจรจากับสหรัฐฯ อย่างไร
เมื่อถามว่าปัญหาการค้าจะยืดเยื้อนานเท่าไร นายเศรษฐพุฒิตอบว่าไม่คิดว่ามีใครรู้จริงๆ ตราบใดที่แรงกดดันจากภาษียังคงอยู่
นายเศรษฐพุฒิยังแนะนำให้ประเทศยืนหยัดในการปรับโครงสร้าง โดยเฉพาะปัญหาหนี้สิน เพื่อให้ประเทศมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในยามวิกฤต แทนที่จะหันไปใช้วิธีการลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นธุรกิจอยู่เสมอ
“อัตราดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือที่ไม่ตรงจุด และส่งผลกระทบต่อหลายสิ่งหลายอย่าง และประสิทธิผลจากการลดอัตราดอกเบี้ยจะค่อยๆ ลดทอนลง โดยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงจะกระตุ้นให้ผู้คนกู้ยืมมากขึ้น และนั่นอาจทำให้หนี้เพิ่มขึ้นจนเป็นภาระต่อเศรษฐกิจ” ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวและกล่าวอีกว่าประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูง ซึ่งทำให้ธนาคารต้องใช้มาตรการที่เข้มงวดในการให้สินเชื่อ ซึ่งนำไปสู่การลดลงของอำนาจซื้อสินค้าคงทน โดยเฉพาะรถยนต์ โดยยอดขายรถยนต์ปี 2024 ลดลง 26%
โดยหนี้ครัวเรือนของไทยพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 95.5% ในปี 2021 เมื่อประเทศไทยยังคงต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างไรก็ตาม ธปท. ได้ดำเนินมาตรการลดหนี้ครัวเรือนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และส่งผลให้สามารถลดหนี้ลงเหลือ 88.4% ของ GDP ณ สิ้นปี 2024
“อย่างน้อยที่สุด ทิศทางก็กำลังไปในทางที่ถูกต้อง แต่ 88% ก็ยังถือว่าสูงเกินไป” นายเศรษฐพุฒิกล่าวถึงหนี้ครัวเรือนไทยต่อจีดีพี
ผู้ว่าการธปท.กล่าวด้วยว่า การหยุดชะงักทางการค้าที่เกิดจากภาษีของทรัมป์อาจเป็นโอกาสที่ดีสำหรับอาเซียนในการสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกันมากขึ้นในภูมิภาค ท่ามกลางช่วงเวลาที่โลกกำลังมองหาสมดุลทางการค้าใหม่ สิ่งหนึ่งที่ผมหวังว่าจะเกิดขึ้น คือ การรวมกลุ่มในภูมิภาคมากขึ้น โดยเฉพาะภายในอาเซียน รวมทั้งประเทศพันธมิตร
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวถึงญี่ปุ่นที่ถือว่าเป็นหุ้นส่วนทางการค้าที่พิเศษสำหรับประเทศไทยด้วยว่า “เศรษฐกิจไทยที่ค่อนข้างประสบความสำเร็จในอดีต ส่วนหนึ่งมาจากการลงทุนจากญี่ปุ่น เราซาบซึ้งใจมาก”

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา