
‘ธปท.’ เปิดตัว‘คุณสู้ เราช่วย’ เฟสสอง ปรับเงื่อนไข'คุณสมบัติลูกหนี้'-เพิ่มมาตรการ ‘จ่าย ตัด ต้น’ ช่วยลูกหนี้ NPL ไม่เกิน 5 หมื่นบาท/บัญชี พร้อมขยายเวลาเข้าร่วมโครงการฯ ถึง 30 ก.ย.68
......................................
เมื่อวันที่ 1 ก.ค. น.ส.สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง ทำให้ยังมีลูกหนี้กลุ่มเปราะบางจำนวนมากที่มีปัญหาในการชำระหนี้ และพบว่าลูกหนี้ยังให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการ ‘คุณสู้ เราช่วย’ อย่างต่อเนื่อง แต่บางส่วนไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้เนื่องจากมีคุณสมบัติไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด
ดังนั้น กระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ธปท. ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ รวมถึงผู้ประกอบธุรกิจที่มิใช่สถาบันการเงิน (Non-Banks) บางแห่ง ที่เป็นบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ จึงเห็นควรขยายระยะเวลาลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ ‘คุณสู้ เราช่วย’ ระยะที่ 1 จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.2568 เป็นสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.2568 พร้อมทั้งมีการปรับปรุงเงื่อนไขของมาตรการเดิม
น.ส.สุวรรณี ยังระบุว่า โครงการ ‘คุณสู้ เราช่วย’ ระยะที่ 2 ยังคงหลักการสำคัญเช่นเดียวกับโครงการฯ ระยะที่ 1 ได้แก่ การช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบางที่มีโอกาสรอด ให้สามารถฟื้นตัวกลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติ เมื่อรายได้ฟื้นตัวในระยะข้างหน้า หรือให้สามารถปิดจบหนี้ได้เร็วขึ้น โดยออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เฉพาะกลุ่มเป็นการชั่วคราว และมีแนวทางป้องกันมิให้ลูกหนี้เสียวินัยในการชำระหนี้ (moral hazard) ควบคู่ไปด้วย
น.ส.สุวรรณี กล่าวว่า ธปท.ประเมินว่าโครงการ ‘คุณสู้ เราช่วย’ เฟส 2 จะมีลูกหนี้ที่มีคุณสมบัติเข้าข่ายเข้าร่วมโครงการฯ เพิ่มเติมอีก 1.8 ล้านราย จำนวนบัญชี 2 ล้านบัญชี และยอดหนี้คงค้าง 3.1 แสนล้านบาท และทำให้โครงการฯ ทั้ง 2 ระยะ มีจำนวนผู้ลูกหนี้ที่มีคุณสมบัติเข้าข่ายเข้าร่วมโครงการฯ รวม 3.7 ล้านราย จำนวนบัญชี 4.1 ล้านบัญชี และยอดหนี้คงค้าง 1.2 ล้านล้านบาท


ด้าน น.ส.พจมาน กังวาฬไกรไพศาล ผู้อำนวยการ ฝ่ายคุ้มครองและตรวจสอบบริการทางการเงิน ธปท. กล่าวว่า โครงการ ‘คุณสู้ เราช่วย’ ระยะที่ 2 ได้ปรับปรุงเงื่อนไขของมาตรการเดิม และมีมาตรการใหม่เพิ่มเติม เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบางได้ครอบคลุมมากขึ้น สำหรับลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank ที่เป็นบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ ดังนี้
มาตรการที่ 1 ‘จ่ายตรง คงทรัพย์’ ขยายคุณสมบัติลูกหนี้ที่เข้ามาตรการให้ครอบคลุมถึง 1) ลูกหนี้ที่มีวันค้างชำระเกิน 365 วัน และ 2) ลูกหนี้ที่เคยมีประวัติค้างชำระน้อยกว่าที่กำหนดในระยะที่ 1 คือ เคยค้างชำระ 1-30 วัน และเคยปรับโครงสร้างหนี้ ตั้งแต่ 1 ม.ค.2565 เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่วงเงินไม่สูงมาก ให้สามารถรักษาทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันทั้งบ้าน รถยนต์ รถจักรยานยนต์ และสถานประกอบการไว้ได้
ทั้งนี้ มาตรการที่ ‘จ่ายตรง คงทรัพย์’ จะมีลักษณะเป็นการปรับโครงสร้างหนี้แบบลดค่างวด ลดภาระดอกเบี้ย และเน้นการตัดต้นเงิน สำหรับลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ บริษัทในกลุ่มธุรกิจ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs)
สำหรับสินเชื่อที่เข้าร่วมโครงการฯได้ คือ สินเชื่อบ้าน/บ้านแลกเงิน ไม่เกิน 5 ล้านบาท ,สินเชื่อเช่าซื้อ/จำนำทะเบียนรถยนต์ไม่เกิน 8 แสนบาท ,สินเชื่อเช่าซื้อ/จำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์ ไม่เกิน 5 หมื่นบาท สินเชื่อ SMEs ทั้งบุคคลและนิติบุคคล ไม่เกิน 5 ล้านบาท และสินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิต ซึ่งหากมีหนี้บ้านหรือรถที่เข้าเงื่อนไขตามมาตราการ สามารถพิจารณาเข้ามาตรการรวมหนี้ได้ โดยต้องเป็นสัญญาสินเชื่อที่ทำก่อนวันที่ 1 ม.ค.2567


มาตรการที่ 2 ‘จ่าย ปิด จบ’ ขยายเพดานภาระหนี้ของลูกหนี้บุคคลธรรมดาที่เป็นหนี้เสีย (สถานะ NPL) เพื่อให้ความช่วยเหลือเพิ่มขึ้น โดย 1) สินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน (unsecured loan) เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล บัตรเครดิต ขยายเพดานภาระหนี้คงค้างเป็นไม่เกิน 10,000 บาทต่อบัญชี จากเดิมภาระหนี้คงค้างเป็นไม่เกิน 5,000 บาทต่อบัญชี และ
2) สินเชื่อที่มีหลักประกัน (secured loan) ซึ่งได้มีการบังคับหลักประกันแล้ว และมีวงเงินสินเชื่อไม่เกินกว่าที่กำหนด (วงเงินสินเชื่อบ้าน หรือ สินเชื่อ SMEs ไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อบัญชี สินเชื่อรถยนต์ไม่เกิน 800,000 บาทต่อบัญชี สินเชื่อรถจักรยานยนต์ไม่เกิน 50,000 บาทต่อบัญชี) ขยายเพดานภาระหนี้คงค้างเป็นไม่เกิน 30,000 บาทต่อบัญชี เพื่อให้ลูกหนี้เหล่านี้สามารถเปลี่ยนสถานะการเป็นหนี้ จาก ‘หนี้เสีย’ เป็น ‘ปิดจบหนี้’ และเริ่มต้นใหม่ได้เร็วขึ้น

มาตรการที่ 3 ‘จ่าย ตัด ต้น’ ซึ่งเป็นมาตรการใหม่ สำหรับหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน (unsecured loan) ที่มียอดหนี้คงค้างไม่เกิน 50,000 บาทต่อบัญชี และเป็นหนี้เสีย (สถานะ NPL) โดยการปรับโครงสร้างหนี้ให้มีเงื่อนไขการผ่อนชำระคืนเป็นงวด (term loan) และผ่อนชำระร้อยละ 2 ของเงินต้นคงค้าง เป็นระยะเวลา 3 ปี ซึ่งค่างวดที่ชำระจะนำไปตัดเงินต้นทั้งจำนวน สำหรับดอกเบี้ยจะพักแขวนไว้ และจะได้รับยกเว้นดอกเบี้ยในระหว่างมาตรการหากลูกหนี้สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดได้ ซึ่งจะช่วยบรรเทาภาระหนี้ให้กับลูกหนี้ทั้งในปัจจุบันและระยะต่อไปได้
สำหรับคุณสมบัติของลูกหนี้ ต้องเป็นสัญญาสินเชื่อที่ทำก่อนวันที่ 1 ม.ค.2567 และสถานะลูกหนี้ ณ วันที่ 31 ต.ค.2567 ต้องเป็นหนี้เสีย (NPL) คือ มีวันค้างชำระเกิน 90 วัน นับแต่วันที่ครบกำหนดชำระ อย่างไรก็ดี ลูกหนี้ที่เข้ามาตรการฯนี้ จะไม่สามารถขอสินเชื่ออุปโภคบริโภคใหม่ได้ในช่วง 12 เดือน ทั้งนี้ ไม่รวมถึงการขอสินเชื่อเพื่อประกอบธุรกิจ นอกจากนี้ จะต้องมีการรายงานข้อมูลการเข้าร่วมมาตรการในเครดิตบูโรด้วย


@ชี้‘คุณสู้ฯ’เฟส 1 ช่วยชะลอจำนวนบัญชี‘หนี้เสีย’
นอกจากนี้ น.ส.สุวรรณี กล่าวเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่เริ่มเปิดโครงการ ‘คุณสู้ เราช่วย’ เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.2567 จนถึงล่าสุด ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2568 มีลูกหนี้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ 1.4 ล้านราย ครอบคลุม 1.9 ล้านบัญชี และจากการสำรวจข้อมูลการคัดกรองคุณสมบัติลูกหนี้ของสถาบันการเงิน ณ วันที่ 15 มิ.ย.2568 พบว่า ลูกหนี้ที่ลงทะเบียนมีคุณสมบัติเข้าร่วมโครงการฯได้ 6.3 แสนราย หรือคิดเป็น 32% ของลูกหนี้ที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมโครงการฯ ทั้งหมด 1.9 ล้านราย โดยมียอดหนี้ 4.6 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 52% ของยอดหนี้ที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมโครงการฯ ทั้งหมด 8.9 แสนล้านบาท
“โครงการ ‘คุณสู้เราช่วย’ ระยะที่ 1 มีส่วนช่วยในการชะลอการเพิ่มขึ้นของจำนวนบัญชี NPL โดยเฉพาะในสินเชื่อบ้านของธนาคารพาณิชย์ สะท้อนได้จากสินเชื่อบ้านที่มีราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท ที่มีจำนวนบัญชี NPL ลดลงค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 1/2568 ขณะที่ NPL ของสินเชื่อ SMEs และสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ทรงตัว คือ ไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่ได้ลดลงอย่างชัดเจน
อีกทั้งโครงการฯนี้ ยังมีส่วนช่วยชะลอการขยับเคลื่อนตัวของลูกหนี้จากชั้น S2 เป็นชั้น S3 หรือกลายไปเป็น NPL โดยเฉพาะสินเชื่อบ้าน นอกจากนี้ โครงการ‘คุณสู้เราช่วย’ มีส่วนช่วยชะลอการยึดรถ โดยปริมาณยึดรถที่เคยสูงที่สุด 4.68 หมื่นคัน ในช่วงไตรมาส 3/2566 ค่อยๆทยอยลดลง และลดลงเหลือ 2.64 หมื่นคันในช่วงไตรมาส 1/2568 ซึ่งยอดยึดรถที่ลดลง ทำให้ตัว loss on sale ของเจ้าหนี้ลดลง และช่วยพยุงราคารถยนต์มือสองให้มีเสถียรภาพมากขึ้น”น.ส.สุวรรณี ระบุ



@ครม.ไฟเขียว‘แบงก์เฉพาะกิจ’ร่วม‘คุณสู้เราช่วย’เฟส 2
ขณะที่ น.ส.ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบแนวทางการดำเนินโครงการ ‘คุณสู้ เราช่วย’ ระยะที่ 2 ของธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.)
โดยใช้กรอบวงเงินงบประมาณตามที่ได้รับการจัดสรรเพื่อดำเนินโครงการ ‘คุณสู้ เราช่วย’ ตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 11 ธ.ค.2567 และได้มีการปรับปรุงกรอบวงเงินงบประมาณของแต่ละสถาบันการเงินเฉพาะกิจให้สอดคล้องกับจำนวนผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการและภาระที่คาดว่าจะเกิดขึ้นแล้ว โดยมอบหมายให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) ทั้ง 6 แห่ง ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณเป็นรายปีต่อไป
นอกจากนี้ ครม.ยังเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ตามมาตรการสินเชื่อสู้ภัย COVID-19 และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งได้รับทราบมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้โครงการสินเชื่อตามนโยบายรัฐบาลและมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งรับทราบเป้าหมายลูกหนี้ที่จะได้รับการช่วยเหลือลดภาระหนี้ผ่านมาตรการของกระทรวงการคลัง
อ่านประกอบ :
ธปท.ขยายเวลาลงทะเบียน‘คุณสู้ เราช่วย’ถึง 30 มิ.ย. ยอดล่าสุด 1.3 ล้านราย-เข้าข่าย 5.3 แสน
ครม.ไฟเขียว‘ลูกหนี้’Non-Banks ร่วม‘คุณสู้ เราช่วย’ ลดค่างวดเหลือ 70%-หั่นดอกเบี้ยลง 10%
‘ธปท.’ออกหนังสือแจงแนวทางแก้หนี้ฯ‘คุณสู้ เราช่วย’-กำชับ‘แบงก์’ร่วมมือช่วยเหลือลูกหนี้
'คลัง-ธปท.-แบงก์'เปิดตัว'คุณสู้ เราช่วย' ลงขัน 2 แสนล.จ่าย'ดบ.'แทนลูกหนี้ 3 ปี-ปิดจบ NPL

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา