
เครือข่ายเขียนอนาคตกัญชารวมตัวชุมนุมคัดค้านการนำกัญชากลับเป็นยาเสพติด ยันปักหลักค้างคืนที่ สธ. ด้าน 'สมศักดิ์'เป็นห่วงสุขภาพกลุ่มชุมนุม พร้อมส่ง'ธนกฤต'รับหนังสือแทน
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 เครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย เดินทางมายังสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เพื่อแสดงจุดยืนต่อการควบคุมกัญชาในประเทศไทยและคัดค้านการนำกัญชากลับสู่บัญชีรายชื่อยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 โดยมีประชาชนที่ร่วมสนับสนุนทยอยเดินทางมาเข้าร่วมการชุมนุม และจะมีการยื่นหนังสือถึง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
นายธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการชุมนุมในครั้งนี้ว่า วันนี้ได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนนทบุรี จำนวนหนึ่งกองร้อยมาช่วยดูแลความเรียบร้อยของการชุมนุม ซึ่งขอความร่วมมือให้ทำกิจกรรมได้ถึงเวลา 16.00 น. ตามเวลาราชการ ตนไม่ยอมให้มีการชุมนุมนอกเวลาที่กำหนด และไม่ให้มีการค้างแรม เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุขเป็นสถานที่ราชการและเป็นเขตพระราชฐาน ตนไม่สามารถรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ จึงขอให้เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมสถานการณ์ตามระเบียบ
นายธนกฤต กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม วันนี้ที่จะมีการยื่นหนังสือ ตนจะเป็นผู้แทนนายสมศักดิ์ รับเรื่องแทน ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้คุยกับผู้ชุมนุมที่มาในวันนี้แล้ว เรียบร้อยดี ไม่มีได้มีปัญหาอะไร
นายธนกฤต กล่าวยืนยันว่า ตอนนี้ยังไม่มีการเตรียมเรื่องเสนอเอากัญชากลับเป็นยาเสพติดแต่อย่างใด ซึ่งจะต้องดูเสียงความต้องการของประชาชนและดูสถานการณ์หลังจากที่มีการออกประกาศสมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ.2568 ว่าเป็นอย่างไร
ในส่วนที่มีคนมองว่ากัญชาเป็นการเมืองนั้น นายธนกฤต กล่าวว่า อย่าตีความเรื่องนี้เป็นการเมือง เพราะว่าตนก็ได้คุยกับผู้ใหญ่ในพรรคภูมิใจไทยเองก็มองว่าควรจะต้องให้กัญชาอยู่ในการควบคุม การกวาดล้างกัญชาผิดกฎหมายทั้งประเทศนั้น ก็เพราะว่าที่ผ่านมาตนก็ได้รับมอบหมายให้ดูแลเรื่องยาเสพติด ซึ่งตอนนี้ก็ถึงเวลาที่จะมาควบคุมกัญชาแล้ว

ขณะที่ นายประสิทธิ์ชัย หนูนวล เลขาธิการเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย กล่าวว่า การมารวมตัวกันวันนี้คาดว่าอาจจะถึง 300 – 500 คน ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการที่เปิดร้านจำหน่ายกัญชาตามที่มีการปลดล็อกกฎหมายมาเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา โดยวันนี้ตั้งใจจะมายื่นหนังสือถึง รมว.สาธารณสุข ซึ่งจากการสัมภาษณ์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ดูเหมือนว่าท่านมีท่าทีจะถอยกลับในเรื่องการเอากัญชาเป็นยาเสพติด เพราะกลัวว่าจะกระทบต่อผู้ประกอบการ
นายประสิทธิ์ชัย กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ในครั้งนี้ ตนมองว่ายอมไม่ได้ เพราะที่ผ่านมากฎหมายกัญชาเปลี่ยนไปมาตามนโยบายของ รมว.สาธารณสุขแต่ละคน เหตุผลก็เพราะว่าไม่มีพระราชบัญญัติออกมาควบคุม ทำให้อำนาจการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับคนเดียว คือ รมว.สาธารณสุข ว่าจะออกประกาศกระทรวงมาอย่างไร
ดังนั้น ตนมองว่าทางออกของเรื่องนี้คือการให้กัญชาขึ้นมาอยู่บนดิน อยู่ในกฎหมายที่ควบคุมได้ เพราะถ้าเอากลับเป็นยาเสพติด ก็เชื่อว่ากัญชาใต้ดินจะกลับมาอีกแน่นอน แล้วแบบนั้นก็จะคุมไม่ได้
ส่วนเรื่องการออกประกาศสมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ.2568 ที่ลงนามโดย นายสมศักดิ์ นั้น นายประสิทธิ์ชัย กล่าวว่า ปัญหาหลักคือ การระบุให้กัญชาต้องผ่านมาตรฐาน GACP เพราะที่ผ่านมามีการซื้อขายใบอนุญาต ใช้เงิน 5 แสนบาทก็ได้ใบอนุญาตแล้ว แต่ไม่มีการควบคุมการผลิต ซึ่งต่างจากการปลูกในปัจจุบันที่ชาวบ้านคิดค้นวิธีการปลูกแบบออร์แกนิกได้
ฉะนั้นการจะควบคุมกัญชาให้ได้มาตรฐานและปลอดภัย ควรจะมาตรการตรวจคุณภาพ ไม่ใช่การเอามาตรฐาน GACP มาคุมแค่โรงเรือนปลูกที่ต้องอยู่ในที่ปิดและมีกล้องวงจร แบบนั้นไม่ได้ช่วยให้กัญชามีคุณภาพขึ้น
นายประสิทธิ์ชัย กล่าวด้วยว่า การมาวันนี้ เราได้ขออนุญาตทุกอย่างแล้วตามกฎหมายการชุมนุม ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีอำนาจห้ามไม่ให้ชุมนุม เพราะเป็นสิทธิตามกฎหมาย ทั้งนี้ ยืนยันว่าจะมีการปักหลักค้างคืนเพื่อแสดงจุดยืนเรื่องนี้

@'สมศักดิ์' ห่วงม็อบ-มอบหมาย อย.ดูแลผลิตภัณฑ์ผสมกัญชา สั่งห้ามขาย
ทางด้าน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ตนห่วงใยเครือข่ายกัญชาที่จะมาชุมนุม เพราะทั้งต้องตากแดด ตากลม อยู่หน้ากระทรวงฯ
นายสมศักดิ์ กล่าวถึงประเด็นเครือข่ายกัญชา เชื่อว่า การนำกัญชากลับไปเป็นสมุนไพรควบคุม เป็นการเอื้อต่อนายทุนให้มีข้อผูกมัดหรือไม่นั้นว่า ไม่ได้เอื้อต่อใครทั้งสิ้น เพราะหากควบคุมไม่ได้ ทุนใหญ่ก็จะจบด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง จึงมีความจำเป็นที่จะต้องจัดระเบียบ เพราะหากควบคุมไม่ได้ ก็ต้องพัฒนากลายเป็นยาเสพติด
แต่หากจะให้ทันในสภาฯ สมัยนี้อาจจะยาก เพราะความเห็นที่ไม่ตรงกัน หากมีความเห็นตรงกัน ยังต้องใช้เวลาเกือบปี จึงอยากให้ทุกฝ่ายเริ่มกันใหม่ด้วยทางสายกลาง ค่อยเป็นค่อยไป เริ่มที่การให้กัญชาเป็นสมุนไพรควบคุม หากขัดขืน ก็จะยิ่งยุ่งยากไปมากกว่านี้
สุดท้าย กัญชาก็ถูกผลักดันให้กลับไปเป็นยาเสพติด เพราะเป็นปัญหาสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน ซึ่งแนวทางการกลับไปเป็นกฎหมายก็ต้องใช้เวลา ไม่ได้ผิดที่ใครหรือจะโทษใครได้
นายสมศักดิ์ กล่าวยืนยันว่า ผลิตภัณฑ์ผสมกัญชา เช่น เจลลี ห้ามขายโดยเด็ดขาดแล้วในตอนนี้ เพราะสร้างปัญหาเป็นอย่างมาก เรียกง่าย ๆ ว่าเป็นของที่มีพิษสำหรับคนที่แพ้ ตอนนี้ให้สำนักงานอาหารและยาคอยดูแลกำกับควบคุมอย่างเต็มที่
นายสมศักดิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ในช่วงบ่าย ตนลาไปพบแพทย์ จึงไม่ได้เข้ากระทรวงฯ แต่ก็ได้มอบหมายให้ดูแลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นอกจากนี้ นายสมศักดิ์ ได้กล่าวถึงกรณีเด็กหญิง 2 ขวบ 6 เดือน กินเยลลีหมีผสมกัญชาจนต้องนำส่งโรงพยาบาล ว่า ประเด็นที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องที่ห่วงใยมาโดยตลอด เพราะมีข่าวเกิดขึ้นมากมายในการเข้าถึงกัญชาของเยาวชน และส่งผลต่อสุขภาพร่างกาย
หลังทราบข่าวนี้ ตนได้กำชับ สั่งการ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ทั่วประเทศ ให้ดำเนินการกวาดล้างอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะหมดไป ซึ่งเจ้าหน้าที่ของ สธ.มีอำนาจเต็มที่ในการดำเนินการเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์กัญชาที่นำมาทำเป็นอาหาร ขนม เครื่องดื่มหรืออื่นๆ ที่มีส่วนผสมของสารสกัดกัญชาเกินกว่ากฎหมายกำหนดสามารถจับ – ปรับ และนำส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการต่อไปได้ทันที
สำหรับโทษของอาหารที่ใส่กัญชา ถ้าไม่ขออนุญาต ไม่แสดงฉลาก มีโทษตั้งแต่ปรับไม่เกิน3หมื่นบาท ไปจนถึงจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือ ทั้งจำทั้งปรับ ถ้าสืบต่อไปว่าผลิต หรือนำเข้า ไม่ขออนุญาต หรือ พบว่ามีสารทีเอชซี (THC) เกินไปจนเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เข้าข่ายเป็นอาหารไม่บริสุทธิ์ มีโทษ จำคุกไม่เกิน 2ปีหรือปรับไม่เกิน2หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า นอกจากผลิตภัณฑ์กัญชา อาหาร ขนมต่างๆ แล้ว เรื่องการตรวจสอบร้านค้าที่ขายกัญชา กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ยังได้บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจสอบร้านค้าทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคในทุกสัปดาห์ โดยร้านค้าที่ไม่ได้รับอนุญาต จะถูกดำเนินคดีร่วมกับพนักงานตำรวจ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ส่วนร้านค้าที่แม้ได้รับอนุญาต แต่ไม่ดำเนินการตามเงื่อนไข จะถูกพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตได้ ถ้าหากใครมีข้อสงสัย หรือพบเห็นผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือได้รับอันตรายจากการบริโภคผลิตภัณฑ์ สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วน อย.1556 สสจ.ทั่วประเทศ หรือกรมการแพทย์แผนไทยฯ
“วันนี้ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน ช่วยกันในการแจ้งเบาะแส เพื่อขจัดสิ่งเหล่านี้ให้หมดไป สิ่งที่ผมห่วงใยมาโดยตลอดคือ การที่เด็ก เยาวชน เข้าถึงกัญชาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ขอยกข้อมูลจากภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้สำรวจผลกระทบแนวทางการแก้ไขปัญหาสารเสพติดจากผู้เชี่ยวชาญ จากการเก็บข้อมูลสำรวจ เฉพาะในปี 2565 การใช้กัญชาแบบสูบในเด็กและเยาวชนไทยอายุ 18-19 ปี สูงขึ้น 10 เท่า จากร้อยละ 1-2 ในปี 2563 เป็น ร้อยละ 9.7 ดังนั้น เราต้องเดินหน้าทำกัญชาให้ใช้เฉพะทางการแพทย์อย่างแท้จริง เพื่อลดผลกระทบต่อเด็ก เยาวชนและสังคม” นายสมศักดิ์ กล่าว

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา