
ตร.เร่งจับตัว 'ก๊ก อาน' ตัวการใหญ่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ยึดทรัพย์แล้วกว่า 1,100 ล้านบาท-ยังไม่พบเชื่อมโยงนักการเมืองไทย
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 10 ก.ค 2568 ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยความคืบหน้าการดำเนินคดีขบวนการคอลเซ็นเตอร์เครือข่าย “ก๊ก อาน” ว่า จากการเข้าตรวจค้น 20 จุด ในพื้นที่กรุงเทพฯ สมุทรปราการ และชลบุรี เจ้าหน้าที่สามารถยึดเงินสด 27 ล้านบาท รถยนต์หรู และเอกสารสำคัญ รวมมูลค่าทรัพย์สินกว่า 1,100 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องเพิ่มเติม และจะมีการยึดทรัพย์ต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ
พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวว่า ข้อมูลและหลักฐานที่ใช้ในการขอหมายศาลมีความชัดเจน ทั้งจากการสืบสวนของตำรวจไทย และจากหน่วยงานสืบสวนกลางสหรัฐ (FBI) ซึ่งยืนยันว่า ก๊ก อาน เป็นเจ้าของอาคารหลายแห่งที่ใช้เป็นฐานปฏิบัติการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชา แม้ยังไม่สามารถจับกุมตัว ก๊ก อาน ได้ในประเทศไทย แต่ได้มีการประสานไปยังองค์การตำรวจสากล (INTERPOL) เพื่อขอออกหมายแดงไล่ล่าตัวอย่างเป็นทางการ
"ปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่เป็นอุปสรรคต่อกระบวนการจับกุม เพราะต้องแยกเรื่องคดีอาญาออกจากเรื่องทางการเมืองระหว่างประเทศ ส่วนกระแสข่าวที่อ้างว่า ก๊ก อาน เป็นพลเมืองไทยและถือบัตรประชาชนไทยนั้น พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวต่อว่า เป็นข่าวปลอม (Fake News) โดยยืนยันว่า ก๊ก อาน ถือสัญชาติกัมพูชาเพียงชาติเดียว ไม่มีสัญชาติไทย และไม่ใช่บุคคลสองสัญชาติ" พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าว
พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวว่า สำหรับประเด็นความเชื่อมโยงกับผู้มีอำนาจในกัมพูชา พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวต่อว่า แม้จะไม่สามารถยืนยันความสัมพันธ์กับผู้นำระดับสูงของกัมพูชาได้ แต่ทราบแน่ชัดว่า ก๊ก อาน เป็นนักธุรกิจที่มีตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา (สว.)และเป็นเจ้าของอาคารที่ใช้เป็นฐานปฏิบัติการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลายแห่งในเมืองปอยเปต
ในส่วนของประเทศไทย ขณะนี้ยังไม่พบความเชื่อมโยงของ ก๊ก อาน กับนักการเมืองหรือข้าราชการไทย แต่ยังอยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผล โดยเฉพาะจากหลักฐานที่ยึดได้ ทั้งบัญชีธนาคาร โทรศัพท์มือถือ และเอกสารต่าง ๆ ซึ่งจะใช้ในการไล่เช็กเส้นทางการเงินและผู้เกี่ยวข้อง โดยได้สั่งการให้ตำรวจไซเบอร์เร่งดำเนินการให้เสร็จภายในสัปดาห์นี้ เพื่อป้องกันการหลบหนีและเคลื่อนย้ายทรัพย์สิน
นอกจากนี้ ยังพบข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับบริษัท “ฮุยวัน กรุ๊ป” ซึ่งเป็นบริษัทแลกเปลี่ยนเงินคริปโตในกัมพูชา ที่ถูกระบุว่าเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และถูกทางการสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำล่าสุด ได้มีการหารือร่วมกับ INTERPOL เพื่อวางแผนปราบปรามขบวนการฟอกเงินผ่านบริษัทลักษณะเดียวกันอีกหลายแห่งในกัมพูชา โดยมี 196 ประเทศร่วมมือกันอย่างจริงจัง ทั้งนี้ สำหรับกรณีที่ ส.ส.รังสิมันต์ โรม เปิดเผยว่า “เฮียตือ” อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับ ก๊ก อาน ขณะนี้ยังไม่พบหลักฐานยืนยันในทางคดี แต่ตำรวจจะสืบสวนตามพยานหลักฐานต่อไป
พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวต่อว่า ขบวนการคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา โดยเฉพาะในพื้นที่ปอยเปต มีความเชื่อมโยงชัดเจนกับเครือข่ายของ ก๊ก อาน ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ใหญ่ที่สุด พร้อมแสดงความเชื่อมั่นว่า ทางการกัมพูชาเองก็ต้องการกวาดล้างขบวนการเหล่านี้เช่นกัน และแรงกดดันจากสังคมจะผลักดันให้เกิดการปราบปรามอย่างจริงจัง พร้อมกันนี้ได้เรียกร้องให้ประชาชนไทยมีส่วนร่วมป้องกัน โดยการไม่ตกเป็นเหยื่อ และช่วยเป็นหูเป็นตา เพราะการหลอกลวงของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ยังคงดำเนินอยู่ ต้องแก้ปัญหาที่ต้นตอและสร้างภูมิคุ้มกันให้สังคม ส่วนสถานการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ยังคงปักหลักในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งกัมพูชา เมียนมา และลาว โดยใช้ประเทศไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการเดินทางผ่าน เพื่อลักลอบข้ามแดนไปทำงานหรือหลอกลวงทั้งคนไทยและชาวต่างชาติให้เข้าไปทำงานในแก๊งเหล่านี้
พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวว่า จากมาตรการตัดไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต และน้ำมันในเมียนมา ได้ส่งผลให้มีการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ครั้งใหญ่ในเขตเมืองชเวโก๊กโก๋และเคเคพาร์ค ซึ่งตรวจพบผู้เสียหายถึง 36 สัญชาติ รวม 8,893 ราย อย่างไรก็ตาม ยังคงมีกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลบซ่อนอยู่ทางตอนใต้ของเมืองเมียวดี สำหรับประเทศกัมพูชา พบการขยายตัวของแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างมากถึง 52 จุด ใน 10 จังหวัด โดยเฉพาะในพื้นที่ปอยเปตและแนวชายแดนติดเวียดนาม ซึ่งส่วนใหญ่บริหารโดยชาวจีนและได้รับการคุ้มครองจากผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ขณะเดียวกัน พบการเคลื่อนย้ายของแก๊งคอลเซ็นเตอร์บางส่วนจากกัมพูชาเข้ามาในประเทศไทย เพื่อหลอกลวงคนต่างชาติ อาทิ ชาวออสเตรเลีย เวียดนาม เกาหลี และจีน ซึ่งทางการไทยสามารถกวาดล้างจับกุมได้
ทั้งนี้ ศปอส.ตร. ได้ร่วมกับ ฉก.88 และ UNODC กำหนดยุทธศาสตร์ "ผนึกกำลังประชาคมโลก ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์" ภายใต้แนวคิด "I2L AI" ซึ่งประกอบด้วย 5 ด้านหลัก
1. ทำลายโครงสร้างพื้นฐาน ตัดไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตของอาคารที่เป็นฐานปฏิบัติการ
2. ตัดเครือข่ายนำพา ปิดกั้นเพจโฆษณาจัดหางาน, เพจหาบัญชีม้าและคริปโต รวมถึงกลุ่มนำพาข้ามแดน
3. บังคับใช้กฎหมายและยึดทรัพย์ มุ่งเป้าที่เจ้าของอาคาร ผู้บงการ ผู้บริหารจัดการ และผู้ให้ความคุ้มครอง
4. ใช้ AI ควบคุมป้องกัน นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาสกัดกั้นการใช้ไทยเป็นทางผ่านหรือหลอกลวงข้ามแดน
5. ผนึกกำลังประชาคมโลก จัดตั้งศูนย์บริหารฉับพลันเหตุการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์ (War Room) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติไทย โดยมีองค์กรระหว่างประเทศ เช่น UNODC, INTERPOL, และ FBI ร่วมเป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและปฏิบัติการร่วมกัน คาดว่ายุทธศาสตร์นี้จะเห็นผลความคืบหน้าภายใน 3 เดือน

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา