
‘ศาลอุทธรณ์ฯ’ พิพากษากลับ ‘ยกฟ้อง’ อดีตซีเอฟโอ ‘เอสเอ็มอีแบงก์’-พวก คดีปรับเงื่อนไข 'ดอกเบี้ย' โครงการออกบัตรเงินฝาก FRCD-เปลี่ยนการนับจำนวนวันจ่าย ‘อัตราดอกเบี้ย’ โดยไม่เสนอ 'บอร์ด ธพว.' อนุมัติ เป็นเหตุให้ธนาคารฯถูก ‘SCBT’ ฟ้อง ต้องจ่ายค่าเสียหาย 5.4 พันล้าน
.............................................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า ในช่วงเดือน ก.พ.2568 ที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ได้มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อท 644/2566 คดีหมายเลขแดงที่ 2229/2568 โดยศาลอุทธรณ์ฯ พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง (ศาลชั้นต้น) เป็นยกฟ้อง นายจงเจตน์ บุญเกิด อดีตประธานเจ้าหน้าที่การเงิน (CFO) กับพวกรวม 4 ราย (จำเลยทั้ง 4)
ในคดีที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายจงเจตน์กับพวก ว่า กระทำความผิดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 กรณีร่วมกันกระทำความผิดต่อธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) เป็นเหตุให้ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) (SCBT) ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก ธพว. และต่อมาศาลฎีกามีคำพิพากษาให้ ธพว.ชำระเงินให้ SCBT เป็นเงิน 5,470.05 ล้านบาท
“…ส่วนการตกลงเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขอัตราดอกเบี้ย จากเดิมเป็นแบบขั้นบันได และมีเบี้ยปรับในกรณีที่ 6 M Libor range ไม่อยู่ในกรอบตามสัญญา เชื่อว่า เกิดจากการเจรจาเพื่อทำสัญญาทางธุรกิจ ที่จำเลยทั้งสี่ ประสงค์ต้องการให้อัตราดอกเบี้ยที่จ่ายแก่ธนาคาร SCBT ลดลง อันเป็นประโยชน์ต่อผู้เสียหาย (ธพว.) แต่ต้องมีเงื่อนไขเพิ่มเบี้ยปรับ ซึ่งต่างได้รับผลประโยชน์ด้วยกัน
เพียงแต่ฝ่ายใดจะได้รับผลประโยชน์มากกว่ากันนั้น ขึ้นอยู่กับภาวะอัตราดอกเบี้ย 6 M Libor range ในแต่ละช่วงเวลา อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในการทำแผนป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย แต่ไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสี่ มีเจตนาทำให้ผู้เสียหาย (ธพว.) ได้รับความเสียหาย เพราะผู้เสียหายจะได้รับความเสียหาย ต่อเมื่ออัตราดอกเบี้ย 6 M Libor range หลุดนอกกรอบที่ตกลง
เมื่อพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบไม่ปรากฏชัดว่า จำเลยทั้งสี่ รับรู้ข้อมูลว่าอัตราดอกเบี้ย 6 M Libor range ภายใน 5 ปี จะต้องหลุดกรอบข้อตกลงอย่างแน่นอน หรือเป็นการพิจารณาความเสี่ยงที่ไม่เป็นตามหลักวิชาการ ตั้งใจวิเคราะห์ความเสี่ยงเพื่อให้ผู้เสียหายได้รับความเสียหาย แม้จำเลยทั้งสี่ ไม่ได้ขอมติจากที่ประชุมคณะกรรมการของผู้เสียหาย ปกปิดข้อเท็จจริง เป็นการเก็งกำไร อันมิใช่วัตถุประสงค์ของผู้เสียหายตามที่โจทก์กล่าวอ้าง
ก็เป็นเพียงการที่จำเลยทั้งสี่ ไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตน ตามอำนาจหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย ยังไม่มีน้ำหนักพอให้รับฟังได้ว่า มีเจตนาที่จะทำให้ผู้เสียหายได้รับความเสียหาย ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสี่ในส่วนนี้ ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทจริตและประพฤติมิชอบไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่ฟังขึ้น” คำพิพากษาศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ คดีหมายเลขดำที่ อท 644/2566 คดีหมายเลขแดงที่ 2229/2568 ลงวันที่ 6 ก.พ.2568 ระบุ
สำหรับคดีนี้ เดิมอัยการสูงสุด (โจทก์) ยื่นฟ้องจำเลยทั้ง 4 ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ว่า เมื่อวันที่ 10 มี.ค.2549 จำเลยทั้ง 4 ได้รับแต่งตั้งเป็น คณะกรรมการการเงิน ของ ธพว. ตามคำสั่ง ธพว.ที่ 50/2549 ทำหน้าที่พิจารณาคัดเลือกสถาบันการเงิน ที่เสนอเงื่อนไขการออกบัตรเงินฝากอัตราดอกเบี้ยลอยตัว (FRCD) ด้วยต้นทุนต่ำที่สุดและมีความเหมาะสมในด้านกลุ่มนักลงทุนสถาบัน
ก่อนเกิดเหตุ ธพว. ได้ทำสัญญาแต่งตั้งธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) (SCBT) เป็นผู้ดำเนินโครงการระดมเงินด้วยการออกบัตรเงินฝาก FRCD ประจำปี 2559 ภายในวงเงิน 300,000,000 เหรียญสหรัฐ เงินไทย 11,535 ล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยน 38.45 บาท/เหรียญสหรัฐ) โดย SCBT จะจ่ายดอกเบี้ยเป็นเงินเหรียญสหรัฐให้กับผู้ถือบัตรเงินฝากทุกวันที่ 7 ของเดือน ก.พ. และ ส.ค.ของแต่ละปี ในอัตรา 6 M Libor+0.15% แทน ธพว. ส่วน ธพว.จะชำระดอกเบี้ยเป็นเงินบาทคงที่ในอัตรา 6.4% ต่อปี ของเงินต้น 11,353 ล้านบาท ตลอดสัญญา 5 ปี
อย่างไรก็ดี ต่อมาจำเลยทั้ง 4 ได้ร่วมกับใช้อำนาจโดยทุจริตและปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และโดยทุจริตอันทำให้เกิดความเสียหายแก่ ธพว. หลายกรรมต่างกัน ได้แก่
จำเลยทั้ง 4 ร่วมกันทำธุรกรรมอนุพันธ์ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย (IRS) ซึ่งเป็นธุรกรรมอนุพันธ์แบบซับซ้อน (Exotic) จำนวน 2 ครั้ง โดยปรับเปลี่ยนเงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยที่ ธพว.ต้องจ่ายในโครงการออกบัตรเงินฝาก FRCD จากเดิมที่กำหนดอัตราดอกเบี้ยคงที่ 6.4% ต่อปี เป็นอัตราดอกเบี้ยในลักษณะขั้นบันไดเป็นช่วงๆ และมีเงื่อนไขพิเศษ คือ มีเบี้ยปรับ หากดอกเบี้ยหลุดออกนอกช่วง (Range) ที่กำหนด โดยไม่ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการ ธพว. อันเป็นการกระทำที่เอื้อประโยชน์ให้แก่ SCBT
และจำเลยทั้ง 4 ได้ร่วมกันอนุมัติให้ดำเนินการซื้อคืนตราสารบัตรเงินฝาก FRCDs (บัตรเงินฝากอัตราดอกเบี้ยลอยตัว) วงเงิน 300 ล้านเหรียญสหรัฐ และปรับโครงสร้างของภาระผูกพันคงเหลือภายหลังการชำระหนี้คืนต่างประเทศ 270 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเปลี่ยนแปลงการนับจำนวนวันของอัตราดอกเบี้ยจากเดิม 365 วัน/ปี เป็น 360 วัน/ปี ซึ่งไม่ใช่ประเพณีปฏิบัติ โดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้รายงานเพื่อขออนุมัติจากคณะกรรมการ ธพว. ทำให้ ธพว. ต้องเสียดอกเบี้ยมากขึ้น
การที่จำเลยทั้ง 4 กระทำความผิดต่อ ธพว. ทั้ง 3 คราวดังกล่าว เป็นเหตุให้ SCBT ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก ธพว. ให้ต้องรับผิดตามสัญญาต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ 4797/2551 ที่ 945/2552 และที่ 5776/2552 จนกระทั่งศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาเป็นคดีหมายเลขแดงที่ 4669-4671/2562 เมื่อวันที่ 26 ก.ค.2562 ให้ ธพว. ชำระเงินให้ SCBT เป็นต้นเงิน 5,470.05 ล้านบาท (ไม่รวมอัตราดอกเบี้นจนถึงวันชำระเสร็จ)
จึงถือได้ว่าจำเลยทั้ง 4 ร่วมกันกระทำการ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด แก่องค์กร บริษัทจำกัด ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นของ ธพว. โดยมิชอบและโดยทุจริต จึงขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 8 ,11 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ,91
ต่อมา ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง (ศาลชั้นต้น) พิพากษาว่า จำเลยทั้ง 4 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 11 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้ง 4 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
จำเลยที่ 1 (นายจงเจตน์ บุญเกิด-ประธานเจ้าหน้าที่การเงินขณะนั้น) จำคุกกระทงละ 6 ปี รวม 3 กระทง จำเลยที่ 2 (นางจิรพร สุเมธีประสิทธิ์-ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ รับผิดชอบสายงานบริหารเงินและความเสี่ยงขณะนั้น) และจำเลยที่ 3 (นายอวิลาส ชุณหกสิการ-ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารเงินขณะนั้น) จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 2 กระทง และจำเลยที่ 4 (นายอาทิตย์ ดั่นธนสาร-ผู้จัดการส่วนบริหารเงินและธุรกรรมต่างประเทศ ฝ่ายบริหารเงินขณะนั้น) จำคุก 5 ปี
ทางนำสืบของจำเลยทั้ง 4 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำเลยที่ 1 จำคุกกระทงละ 4 ปี รวม 3 กระทง รวม 12 ปี จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดอน รวม 2 กระทง จำคุกคนละ 6 ปี 8 เดือน และจำเลยที่ 4 จำคุก 3 ปี 4 เดือน ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
อย่างไรก็ดี จำเลยทั้ง 4 ยื่นอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ได้พิพากษายกฟ้องจำเลยทั้ง 4 ดังกล่าว

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา