
‘เศรษฐพุฒิ’ ห่วง ‘เสถียรภาพการคลัง’ ไม่แข็งแรงเหมือนก่อน แนะ ‘รัฐบาลใหม่’ กระตุ้นเศรษฐกิจ ต้องไม่กระทบเสถียรภาพฯ เผยถกมาตรการเก็บภาษี ‘ค้าทอง’ ยังต้องใช้เวลา
........................................
เมื่อวันที่ 16 ก.ย. นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยในงาน ‘ผู้ว่าการพบสื่อมวลชน (Meet the Press)’ ก่อนครบวาระการดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ ธปท. ในวันที่ 30 ก.ย.นี้ โดยนายเศรษฐพุฒิ กล่าวตอนหนึ่งว่า สิ่งที่เป็นความเสี่ยงในระยะข้างหน้า คือ เรื่องเสถียรภาพการคลัง เพราะถ้ามองไปข้างหน้า จะเห็นว่าในฝั่งการคลังมีประเด็นที่ต้องจับตามองหรือใส่ใจ เนื่องจากฝั่งการคลังของเราไม่ได้แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน
“ฝั่งการคลังของเรา ไม่ได้แข็งแรงเหมือนก่อน อย่างที่ทราบกันดีว่า ในช่วงโควิด เราต้องใช้ทรัพยากรไปเยอะในการพยุงเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนทำกัน แต่สิ่งที่เราอยากเห็น คือ หลังจากที่ใช้ลูกกระสุนทางการคลังไปเยอะ มันควรมีการเริ่มรัดเข็มขัดหน่อย ให้ฐานะการคลังกลับมาในรูปแบบที่สร้างเสถียรภาพในระยะปานกลางสูงขึ้น ซึ่งถ้าเราดูใน ตอนนี้ มันยังไม่ค่อยเห็น” นายเศรษฐพุฒิ กล่าว
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวต่อว่า เมื่อพิจารณาด้านรายจ่ายและรายได้ของรัฐบาล จะพบว่าในช่วงเกิดวิกฤติโควิด รายจ่ายของรัฐบาลเร่งตัวขึ้น ในขณะที่รายได้ลดลง ซึ่งเป็นเรื่องปกติ ทำให้การขาดดุลการคลังเพิ่มขึ้น และหนี้ต่างๆก็เพิ่มขึ้น แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ แนวโน้มในด้านรายจ่ายและรายได้ของรัฐบาล เพราะในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2562-2567) พบว่าค่าเฉลี่ยรายจ่ายของรัฐบาลเติบโต 4% ต่อปี แต่ในฝั่งรายได้กลับเติบโตไม่ถึงครึ่ง คือ เติบโตเพียง 1.7% เท่านั้น
“ถ้าปล่อยไปตามเทรนด์ ของแน่ๆ คือ การขาดดุลจะสูงขึ้น และหนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งการขาดดุลฯเป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือต่างๆ เขาอยากเห็น คือ แม้ว่าหนี้จะเพิ่มขึ้นได้ แต่มันต้องเห็นว่า เริ่มลง แต่ตอนนี้ตัวเลขตรงนั้น เรายังไม่เห็น ส่วนสมมติฐานภายใต้กรอบความยั่งยืนทางการคลังที่มองว่า สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีที่เพิ่ม และจะชะลอตัวนั้น แต่สมมติฐานที่ใส่ไว้ในนั้น มันปฏิบัติได้ไม่ง่าย
เพราะสมมติฐานที่มองว่า รายจ่ายชะลอตัวลง รายได้จะเพิ่มขึ้น แต่เมื่อมองดูแล้ว มันไม่สอดคล้องกับเทรนด์ที่เราเห็น สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือต่างๆ จึงเตือนว่า ของเราเป็น Negative outlook และถ้ายังเป็นอย่างนี้ โอกาสที่จะเกิดการลดอันดับความน่าเชื่อถือก็มีอยู่แล้ว ดังนั้น เราต้องแสดงให้เห็นภาพที่ชัดเจน และมั่นใจมันว่าเส้นทางจะปรับตัว ต้องมีแผนว่าจะเพิ่มรายได้อย่างไร แผนจะเริ่มควบคุมการเติบโตของรายจ่ายได้อย่างไร” นายเศรษฐพุฒิ กล่าว
อย่างไรก็ดี นายเศรษฐพุฒิ ย้ำว่า “ตอนนี้เราไม่ได้เกิดวิกฤติทางการคลัง เพราะถ้าเราดูดอกเบี้ย 10 ปีที่เรากู้ยืม ตอนนี้อยู่ที่ 1.4-1.5% ซึ่งถือว่าไม่ใช่อัตราที่สูงจนน่ากลัว แต่ผมคิดว่า ของพวกนี้อย่าชะล่าใจ ต้องมีแผนรองรับในระยะยาว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในฝั่งการคลัง เพราะเราทราบกันดีว่า นอกจากตัวเลขที่เราเห็นพวกนี้แล้ว มันยังมีภาระผูกพันต่างๆอยู่ด้วย และจะโผล่ขึ้นมา แล้วกระทบตัวเลขพวกนี้ จึงเป็นอะไรที่ต้องใส่ใจ ในแง่ความเปราะบางทางเศรษฐกิจ”
นายเศรษฐพุฒิ ระบุว่า การใช้งบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น ยอมรับว่ายังมีความจำเป็น แต่ต้องใช้จ่ายงบประมาณอย่างระมัดระวัง เพราะลูกกระสุนในฝั่งการคลังมีอยู่จำกัด หากใช้มากจนเกินไป แล้วไม่มีแผนระยะยาวมารองรับ ก็เสี่ยงที่ประเทศจะถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือได้
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวถึงแนวนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ที่จะมีการออกมาตรการหรือนโยบายในลักษณะกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วง 4 เดือน ก่อนยุบสภาฯ ว่า ตนเป็นห่วงเรื่องเสถียรภาพการคลัง เพราะหากประเทศไทยถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ ก็คงไม่ดี ดังนั้น การจะทำอะไร ก็ต้องอยู่ในกรอบเสถียรภาพการคลังในระยะยาว จะทำอะไรต้องมีแผน และถ้าหนี้จะเพิ่ม ก็ต้องทำให้เห็นว่าหนี้มีแนวโน้มจะลดลง รวมทั้งต้องออกมาตรการหรือนโยบายที่เป็นเรื่องระยะยาวด้วย
“นโยบายจะทำอะไรไม่ว่ากัน จะระยะสั้นหรือระยะปานกลาง ยาว ขอให้สอดคล้องและไม่เพี้ยนไปจากการกรอบในเรื่องเสถียรภาพการคลัง แต่ถ้าถามผม ถ้าอยู่ 4 เดือนแล้วจะทำสั้นอย่างเดียว ก็เข้าใจได้ แต่ถ้าผมเป็นรัฐบาลจะคิดอีกแบบหนึ่งว่า ถ้าอยากให้คนเลือกเรากลับมาอีก เราก็ทำเรื่องยาวไปด้วย และเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ดี จำเป็น เพราะไม่อย่างนั้น เราจะเจอภาพอย่างนี้ แล้วเราก็เห็นแล้วว่า ที่ผ่านมาทำสั้น แล้วมันก็ได้แค่นี้” นายเศรษฐพุฒิ กล่าว
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวด้วยว่า นอกจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆของโลกแล้ว เศรษฐกิจไทยในปี 2569 มีความเสี่ยงด้านต่ำ (downside risk) ที่ต้องติดตาม คือ เรื่องงบประมาณ เพราะหากรัฐบาลชุดใหม่บริหารประเทศ 4 เดือน และยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ จะพบว่าช่วงเวลาดังกล่าวอยู่ในช่วงการจัดทำงบประมาณปี 2570 ซึ่งหากมีการสะดุดและทำให้งบประมาณล่าช้า จะทำให้ในช่วงไตรมาส 4/2569 จะแย่ลง
“ตัวเลขจีดีพีปี 2569 ที่เรามองว่าอยู่ที่ 1.7% มันมี downside risk ส่วนปีนี้จะอยู่ที่ 2.3% แต่ถ้ามี downside risk เราก็พร้อมจะปรับประมาณการ และปรับเรื่องตัวดอกเบี้ยนโยบาย แต่ก็ต้องยอมรับว่า policy space ที่มีเหลือ มันไม่เยอะ ลูกกระสุนเราต้องเก็บไว้ เพราะผมเชื่อว่ายังมีช็อคอื่นๆที่เราต้องเจออีกจากโลก” นายเศรษฐพุฒิ กล่าว
เมื่อถามว่า ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาก ธปท. มีมาตรการดูแลค่าเงินบาทอย่างไร นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าประมาณ 7% และแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นสิ่งที่ ธปท.ไม่อยากเห็น และไม่ได้สอดคล้องกับการทิศทางของปรับตัวในเชิงพื้นฐานที่ควรจะเป็นด้วย อีกทั้งประเทศไทยยังเจอปัญหาในเรื่องทองคำที่มาซ้ำเติม และทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นไปอีก
“บาทที่แข็ง ส่วนหนึ่งที่สำคัญมาจากดอลลาร์อ่อน บวกกับปัจจัยอื่นๆ ซึ่งในช่วงหลังดอลลาร์มันอ่อน สวนทางกับพื้นฐาน เพราะตามหลักการแล้ว การที่สหรัฐออกมาตรการ tariff ปกติแล้วค่าเงินควรจะแข็ง แต่คราวนี้ มันกลับทางกัน ซึ่งทุกประเทศในภูมิภาค ก็เจอปัญหาที่ดอลลาร์อ่อนค่า แต่สิ่งที่เราเจอซ้ำเติมไปอีก คือ เรื่องทองคำ ที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างทองคำกับค่าเงินบาทอยู่ในระดับค่อนข้างสูง” นายเศรษฐพุฒิ ระบุ
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า “คนไทยชอบซื้อขายทอง ตอนที่ราคาทองขึ้น คนไทยจะขายทอง ซึ่งเหมือนเอาเงินเข้าประเทศ ทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นมาใหญ่ ตอนนี้เราจึงเจอหลายเด้ง อย่างวันนี้ดอลลาร์ฯอ่อน เพราะคนคาดการณ์ว่าเฟดจะลดดอกเบี้ย ทองก็ขึ้นไปด้วย เราก็เลยโดนสองเด้ง โดยทั้งค่าเงินดอลลาร์และทองคำ แล้วถามว่าเราทำอะไร เราเองไม่ได้นิ่งนอนใจ เรากำลังดูนโยบายในเรื่องพวกนี้อยู่
อย่างในฝั่งนโยบายการเงิน ดอกเบี้ยก็ลงมาจาก 2.5% เหลือ 1.5% ถามว่าการลดดอกเบี้ยตรงนี้ เราเห็นผลต่อค่าเงินอย่างชัดเจนไหม คำตอบ คือ ไม่ชัดเจนขนาดนั้น ดอกเบี้ยของเราอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำกว่าเพื่อน แต่ค่าเงินเราก็ยังมีเทรนด์ที่จะแข็งเมื่อกับเพื่อนบ้าน นอกจากนั้น ก็มีการเข้าไปดูแลค่าเงิน เพื่อลดความผันผวน เราไม่อยากให้ค่าเงินเคลื่อนไหวเร็วเกินไป แรงเกินไป ก็เลยมีการดูแล เพื่อลดความผันผวนของค่าเงิน เพราะประเทศเราพึ่งส่งออกเยอะ”
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวถึงกรณีที่ ธปท. หารือกับผู้เกี่ยวข้องในแวดวงค้าทองคำเมื่อวานนี้ (15 ก.ย.) ว่า ที่ประชุมหารือกันว่ามีมาตรการอะไรบ้างที่จะลดผลกระทบของการค้าทองคำต่อค่าเงิน ซึ่ง 1 ในมาตรการที่พิจารณา คือ การเก็บภาษีค้าทอง และยังมีช่องทางอื่นๆที่หารือกัน ซึ่ง ธปท.เองก็ได้ทำมาตลอด เช่น การสนับสนุนให้การค้าทองคำ ซื้อขายกันในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะลดผลกระทบต่อค่าเงินได้ แต่คนก็ยังคุ้นเคยที่จะค้าทองเป็นเงินบาท
“การจะทำอะไรต่างๆคงต้องหารือกับหลายๆภาคส่วน เพราะการค้าทอง กระทบหลายคนในแวดวงนี้เยอะอยู่ และต้องหารือกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมที่สุด” นายเศรษฐพุฒิ กล่าว พร้อมย้ำว่า มาตรการเก็บภาษีค้าทองคำนั้น ยังอยู่ระหว่างการหารือ ส่วนท้ายที่สุดจะออกมาอย่างไร ก็ต้องมีการหารือกันระหว่างภาครัฐและผู้ที่อยู่ในแวดวงค้าทองคำว่า มาตรการที่เหมาะสมคืออะไร แต่คงต้องใช้เวลา เพราะเป็นปัญหาที่อยู่กับเรามานาน

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา