
ที่ประชุมสมช.เห็นชอบในหลักการ ‘สร้างรั้วชายแดนไทย-กัมพูา’ ส่วนรายละเอียดรอเลขาฯสมช.ชี้แจง ส่วนท่าทีของไทยต่อจากนี้ ‘อนุทิน’ ระบุต้องเจรจาไปพร้อมๆกับการสู้รบ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 2 ต.ค. 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ผลประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)ที่ประชุมพิจารณา 2-3 เรื่อง ส่วนรายละเอียดประเด็นต่างๆ ทางเลขาฯสมช. จะเป็นผู้ให้รายละเอียด เรื่องแรก ที่ประชุมอนุมัติหลักการการสร้างรั้วตามแนวเขตชายแดนไทย-กัมพูชา ส่วนกำหนดพิกัด กองบัญชาการกองทัพไทย (ทสส.) จะไปดำเนินการตัดสินใจว่าจะสร้างตรงช่วงใด ขณะที่งบประมาณที่จะดำเนินการทางเลขาฯสมช.จะเป็นผู้แถลง โดยรั้วที่จะสร้างจะเป็นแบบอิเล็กทรอนิกส์หรือแบบใดนั้น ต้องบอกว่ามีหลายรูปแบบ บางส่วนเป็นรูปแบบนี้ หรือจะเป็นรูปแบบอื่น ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศ รวมถึงความสะดวกของประชาชนในแถบนั้น
ผู้สื่อข่าวถามถึงการผลักดันชาวกัมพูชาออกจากบ้านหนองจาน จ.สระแก้ว นายอนุทินกล่าวว่า ในส่วนนโยบายต้องใช้กฎหมายที่ถูกต้องและคำนึงถึงหลักมนุษยธรรม และผลกระทบต่างๆที่จะตามมา ส่วนการบังคับใช้กฎหมาย ทางกองบัญชาการกองทัพไทย จะหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่าจะใช้กฎหมายตามกฎอัยการศึก,กฎหมายป่าไม้ หรือกฎหมายตรวจคนเข้าเมือง ในการดำเนินการ
เมื่อถามว่า จะถึงขั้นใช้กำลังผลักดันหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า ชาวกัมพูชาที่เข้ามาคือชาวบ้านทั่วไป ไม่ใช่กองทัพ เราต้องคำนึงถึงวิถีชีวิตของคนที่ลำบาก ซึ่งมีทั้งเด็ก สตรี และคนชรา ด้วย
เมื่อถามย้ำว่าถึงอย่างไรจะต้องผลักดันออกใช่หรือไม่ นายอนุทินตอบว่าจะพยายามทำอยู่แล้ว ส่วนไทม์ไลน์ที่จะให้กองทัพไปดำเนินการจะมีกรอบอย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า จะเป็นวัน เวลา ตามที่เห็นเหมาะสม ซึ่งยังไม่น่าจะใช่วันที่ 10 ต.ค.นี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า เสียงของชาวบ้านในพื้นที่ จะเป็นแรงกดดันในการดำเนินงานหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เราต้องรับฟังเสียงจากทุกฝ่าย ส่วนที่ประชุมสมช.ได้พูดถึงเรื่องเอ็มโอยู 43 และ 44 หรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า ไม่มี ตรงนั้นเป็นเรื่องของสภาฯ
เมื่อถามถึงเรื่องของการถอนกำลังของกัมพูชา นายอนุทิน กล่าวว่า อยู่ในกรอบของจีบีซีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ไปประชุมมาแล้ว โดยระหว่างการประชุมเรายืนยันว่า ก่อนที่จะดำเนินการใดๆในเรื่องของการเจรจาเรามีเงื่อนไขที่ต้องการให้กัมพูชาปฏิบัติตามแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่าในการประชุมระดับอาร์บีซี และจีบีซี เหมือนยังวนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน นายอนุทิน กล่าวว่า ตอนนี้จะเริ่มไปไหนแล้ว ดูได้จากสิ่งที่จะเริ่มไปไหน คือมีความคืบหน้าของการเจรจา เช่นกรณีที่นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่เดินทางไปที่ยูเอ็น ได้พูดถึงจุดยืนของประเทศไทย ว่า สิ่งที่หลายคนเข้าใจ และสิ่งที่นานาชาติถูกทำให้เข้าใจที่จริง ไม่ได้เป็นเช่นนั้นและข้อเท็จจริงเป็นแบบนี้ เพื่อนำไปสู่การเจรจาที่เราจะต้องดำเนินต่อไป
@เจรจา-สู้รบไปพร้อมกัน
เมื่อถามว่า รัฐบาลหวังจะใช้ช่องทางของกระทรวงต่างประเทศ เป็นช่องทางในการเจรจามากกว่าใช้กำลัง นายอนุทิน กล่าวว่า ต้องไปคู่กัน กองทัพก็ต้องพร้อม เมื่อเราไปบอกที่อื่นว่าเราไม่ใช่ผู้รุกรานแต่เราเป็นผู้ถูกรุกราน จึงต้องรักษาสถานะตรงนี้เอาไว้ว่าเราไม่ได้เป็นผู้รุกราน แต่เป็นการป้องกันอธิปไตยและแผ่นดินของเรา ทั้งนี้กองทัพยืนยันว่า มีความพร้อม ขณะที่รัฐบาล จะให้การสนับสนุนกองทัพ เห็นด้วยจากการประชุมคณะรัฐมนตรี นัดแรก ที่มีการสนับสนุนให้เกิดความพร้อมในการรักษาแผ่นดินของประเทศไทย
กับคำถามว่า มีมาตรการอะไรที่จะกดดันกัมพูชาในกรณีที่ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงที่มีการพูดคุย นายอนุทิน กล่าวว่า ทุกวันนี้ถือว่าเป็นการกดดันอยู่แล้ว โดยท่าทีของกัมพูชาที่ตอบรับกลับมา จากการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเดินทางไปที่ยูเอ็น จะเห็นว่าผู้นำประเทศต่างๆที่พยายามติดต่อมา ขอให้ไทยทำอย่างโน้นอย่างนี้ นี่ถือว่าเป็นการตอบรับแม้จะไม่ได้พูดกันโดยตรง แต่เป็นการสื่อสารที่ทำให้เรารับรู้และทราบได้ว่าตรงนี้เป็นสิ่งที่จะทำให้เดินไปสู่ การตอบรับและดำเนินการเพื่อให้สถานการณ์ของสองประเทศดีขึ้น
เมื่อถามย้ำว่า แต่ทางกัมพูชายังไม่ได้ตอบรับเรื่องการจัดทำแผนอพยพคน รวมถึงความร่วมมือในการเก็บกู้ระเบิด ในพื้นที่กองทัพภาคที่2 นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ถ้าไม่ตอบ เราก็ไม่ตอบสนองอะไร และถ้าสิ่งที่กัมพูชาพยายามให้เราดำเนินการอย่างนั้นอย่างนี้ รวมถึงให้ช่วยเปิดด่านนั้น เราก็ไม่ทำ ไม่อยากใช้คำว่ากดดัน เพราะทุกวันนี้เรากดดันมากอยู่แล้ว โดยหาวิธีที่ทำให้เห็นว่าเราพร้อม ถ้าเขาอยากจะอยู่แบบนี้ เราก็พร้อม แต่ถ้าอยากให้ชีวิตของประชาชนของเขาดีขึ้นต้องตอบรับเงื่อนไขของเรา

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา