
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ โครงการคนละครึ่งพลัส 4.4 หมื่นล้าน 20 ล้านคน คาดเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจ 88,000 ล้านบาท ช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.22
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 7 ตุลาคม 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.มีมติเห็นชอบโครงการคนละครึ่งพลัส ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่ได้แถลงต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 ที่จะสร้างรายได้ ลดรายจ่ายให้กับประชาชนในการใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อให้มีกำลังในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น
นายเอกนิติกล่าวว่า โดยครม.ได้เห็นชอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินโครงการคนละครึ่งพลัส จำนวนไม่เกิน 44,000 ล้านบาท สำหรับกลุ่มเป้าหมายจำนวนไม่เกิน 20 ล้านคน โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1. ระยะเวลาโครงการคนละครึ่งพลัส ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 โดยมีรายละเอียด ดังนี้
-
เปิดรับลงทะเบียนร้านค้าตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม ถึงวันที่ 19 ธันวาคม 2568 หรือระยะเวลาตามที่กระทรวงการคลังโดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กำหนด
-
เปิดรับลงทะเบียนประชาชนตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม ถึงวันที่ 26 ตุลาคม 2568 (เวลา 06.00 - 22.00 น.)
-
ประชาชนผู้ได้รับสิทธิสามารถใช้สิทธิโครงการฯ ได้ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 (เวลา 06.00 - 23,00 น.) โดมารถชื่ออาหาร เครื่องดื่ม สินค้า และบริการที่กำหนดจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ
สำหรับการซื้ออาหารหรือเครื่องดื่มผ่านผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร (Food Delivery Platform) ที่ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการฯ ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง สามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 (เวลา 06.00 - 21.00 น.)
2. กลุ่มเป้าหมาย
-
ประชาชนผู้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้มีเงินได้กรณีทั่วไป (ภ.ง.ง.ด. 90) แบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธธรรมดาสำหรับผู้มีเงินได้จากการจ้างแรงงานตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากรประเภทเดียว (ภ.ง.ด. 91) หรือแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้ได้รับสิทสิทธิลดอัตราภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 95) ของปีภาษี 2567 ตามฐานข้อมูลของกรมสรรพากร ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568
-
ประชาชนทั่วไป
ทั้งนี้ กลุ่มเป้าหมายที่เป็นประชาชนผู้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีฯ และประชาชนทั่ว ต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้ 1.เป็นผู้มีสัญชาติไทย 2. มีอายุตั้งแต่ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ลงทะเบียน 3. มีบัตรประจำตัวประชาชน 4. ไม่เป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐตามฐานข้อมูลของกระทรวงการคลัง ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2568 และ 5. ไม่เป็นผู้ที่ถูก สศค. ระงับสิทธิหรือถูกเรียกเงินคืนคืนในโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 1 – 5
3. การใช้จ่าย
ภาครัฐสนับสนุนเงินร่วมจ่ายค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้า และบริการที่กำหนด ให้แก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมายจำนวนไม่เกิน 20 ล้านคน ในอัตราร้อยละ 50 ทั้งนี้ ไม่เกิน 200 บาทต่อคนต่อวัน แต่ไม่เกินจำนวนวงเงินสิทธิที่กำหนด
โดยประชาชนผู้ยื่นแบบ ภ.ง.ง.ด. 90 ภ.ภ.ด 91 หรือ ภ.งค. 95ในปีภาษี 2567 จะได้รับวงเงินสิทธิ ไม่เกิน 2,400 บาทต่อคน และประชาชนทั่วไปจะได้รับวงเงินสิทธิไม่เกิน 2,000 บาทต่อคน ตลอดระยะเวลาใช้จ่ายของโครงการคนละครึ่งพลัส
ประชาชนกลุ่มเป้าหมายสามารถใช้สิทธิในโครงการคนละครึ่งพลัสผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง เพื่อซื้ออาหารเครื่องดื่ม สินค้า และบริการที่กำหนดจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ หรือซื้ออาหารหรือเครื่องดื่มจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส ผ่านผู้ให้บริการระบบบขนส่งอาหาร (Food Delivery Platforn) ที่ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัสโดยรับชำระเงินผ่านแอปพลิเดชันถุงเงินซึ่งกระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลางจะดำเนินการโอนเงินในส่วนที่ภาครัฐร่วมจ่ายให้แก่ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส ภายในระยะเวลาที่กำหนดต่อไป

นายเอกนิติกล่าวว่า นอกจากนี้ จะเห็นได้ว่า โครงการคนละครึ่งพลัส ได้มีการกำหนดวงเงินสิทธิของผู้ที่ยื่นแบบภาษีมากกว่าประชาชนทั่วไปเพื่อเป็นการสนับสนุนและสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเข้าสู่ระบบภาษีมากขึ้น ประกอบกับการดำเนินโครงการคนละครึ่งพลัสในระยะต่อไปภาครัฐอาจมีการกำหนดเงื่อนไขให้ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ มีการพัฒนาความรู้ทักษะ (Upskill) หรือเรียนรู้ทักษะใหม่ (Reskill) ในด้านความรู้ทางด้านการเงิน (Finandal Literacy) หรือความรู้พางด้านดิจิทัล (Digital Literacy)ผ่านแพลตฟอร์มหรือช่องทางที่กำหนด เพื่อให้สร้างทักษะในด้านต่าง ๆ เช่น การประยกต์ใช้เครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intellice: A) ในการบริหารจัดการต้นทุนของร้านค้า ซึ่งร้านค้าที่พัฒนาสำเร็จอาจจะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมเพื่อเป็นแรงจูงใจสำหรับการเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัสในอนาคต
“โดยการดำเนินโครงการคนละครึ่งพลัสจะช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพในชีวิตประจำวันให้แก่ประชาชนเพื่อให้มีกำลังในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ตลอดจนเพิ่มการบริโภคที่จะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบและกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศในช่วงปลายปี 2568 ได้อย่างรวดเร็ว จึงการดำเนินโครงการฯ จะทำให้มีเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจ จำนวนประมาณ 88,000 ล้านบาท ช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 0.22 ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของ นายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ ลดค่าครองชีพให้พี่น้องประชาชมให้พี่น้องประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีและทั่วถึง และที่สำคัญคือ มุ่งหวังให้เศรษฐกิจไทยกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง”นายเอกนิติกล่าว
นายเอกนิติกล่าวว่า ครม.ยังได้มีมติเห็นชอบในหลักการการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับสิทธิตามโครงการคนละครึ่งพลัสที่ประชาชนได้รับ และสำหรับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส ขอเรียนยืนยันว่า ข้อมูลโครงการคนละครึ่งพลัสไม่ได้มีการเชื่อมต่อระบบกับกรมสรรพากรเพื่อตรวจสอบรายได้แต่อย่างใด โดยผู้ประกอบการไม่ว่าจะเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัสหรือไม่ก็ตาม เมื่อมีเงินได้พึงประเมินถึงเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดหรือมีรายได้ ย่อมต้องมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล แล้วแต่กรณี และหากคำนวณภาษีแล้วมีเงินได้สุทธิหรือกำไรสุทธิไม่ถึงเกณฑ์ที่จะต้องเสียภาษี ผู้ประกอบการก็จะไม่มีภาระภาษีที่จะต้องชำระแต่อย่างใด
นายเอกนิติกล่าวว่า ครม.เล็งเห็นว่า เนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ที่คาดว่าจะมีการขยายตัวระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ต่ำกว่าประเทศในภูมิภาค และต่ำกว่าศักยภาพ (Potental Growth) โดยมีมีปัจจัยสำคัญจากกำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ยังคงเปราะบาง ภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง การฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ไม่ทั่วถึง ท่ามกลางความเสี่ยงทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2568 ที่อาจจะชะอตัวอย่างรวดเร็ว
“ดังนั้น เพื่อเป็นหลักประกันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจึงมีความจำเป็นต้องดำเนินโครงการฯ เพื่อเพิ่มอุปสงค์การบริโภคภายในประเทศในช่วงเวลาดังกล่าว”นายเอกนิติกล่าว



Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา