
‘คกก.พัฒนากฎหมาย’ เปิดรับฟัง ‘ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมธุรกิจสตาร์ตอัป’ หนุนพัฒนาธุรกิจ ‘สตาร์ตอัป’-ให้สิทธิประโยชน์ 5 ปี ดันตั้ง ‘NIA’ เป็นเจ้าภาพ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 8 ต.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการพัฒนากฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นต่อร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมธุรกิจสตาร์ตอัป พ.ศ. ... เพื่อส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจสตาร์ตอัปให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความสมดุลระหว่างการส่งเสริมธุรกิจสตาร์ตอัปและการคุ้มครองสาธารณประโยชน์ โดยจะเปิดรับฟังความคิดเห็นฯไปจนถึงวันที่ 27 ต.ค.2568
สำหรับร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมธุรกิจสตาร์ตอัป พ.ศ. ... ประกอบด้วย 55 มาตรา มีสาระสำคัญ ดังนี้
1.บทบัญญัติทั่วไป (วันใช้บังคับ, บทนิยาม, ผู้รักษาการ) (ร่างมาตรา 1 ถึงร่างมาตรา 4)
1.1 กำหนดให้ร่างพระราชบัญญัติฯ มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เนื่องจากการเตรียมการเพื่อปฏิบัติตามพระราชบัญญัติฯ สามารถดำเนินการไปพร้อมกระบวนการพิจารณาร่างกฎหมายได้ และกำหนดความหมายของบทนิยามที่สำคัญ เช่น คำว่า “ส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจสตาร์ตอัป” “ธุรกิจสตาร์ตอัป” “บริษัทสตาร์ตอัป” “หน่วยบ่มเพาะและเร่งการเติบโต”
1.2 กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นผู้รักษาการ เนื่องจากเป็นกระทรวงที่กำกับดูแลของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA และสถาบันอุดมศึกษา รวมถึงหน่วยงานด้านวิจัยและนวัตกรรม
2.หมวด 1 การส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจสตาร์ตอัป (ร่างมาตรา 5 ถึงร่างมาตรา 18)
2.1 กำหนดให้มีคณะกรรมการส่งเสริมธุรกิจสตาร์ตอัป ซึ่งสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สภานโยบาย) แต่งตั้ง ประกอบด้วยผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ผู้แทนหน่วยงานภาคเอกชน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ โดยมีหน้าที่และอำนาจในการกำกับดูแลและพิจารณากำหนดนโยบายและมาตรการส่งเสริมธุรกิจสตาร์ตอัป
2.2 กำหนดให้สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA เป็นหน่วยงานหลักในการส่งเสริมธุรกิจสตาร์ตอัป และมีหน้าที่ประสานกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อส่งเสริมธุรกิจสตาร์ตอัป รวมถึงมีหน้าที่ประสานกับหน่วยงานอื่นเพื่อการให้สิทธิประโยชน์แก่ธุรกิจสตาร์ตอัปที่มีลักษณะตามที่กำหนดในร่างพระราชบัญญัตินี้ รวมทั้งการให้การบริการ ช่วยเหลือหรือสนับสนุนแก่ธุรกิจสตาร์ตอัปในด้านต่างๆ ในลักษณะเป็นหน่วยงานศูนย์กลางในการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจสตาร์ตอัป (one-stop service) เช่น การรวบรวม จัดทำ และเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิและประโยชน์ของธุรกิจสตาร์ตอัป รวมถึงแหล่งเงินทุนที่เกี่ยวข้อง
3.หมวด 2 ธุรกิจสตาร์ตอัปที่ได้รับสิทธิและประโยชน์ (ร่างมาตรา 19 ถึงร่างมาตรา 28)
กำหนดให้ธุรกิจสตาร์ตอัปที่มีลักษณะตามที่กฎหมายกำหนดเป็น “บริษัทสตาร์ตอัป” เพื่อได้รับสิทธิและประโยชน์ตามที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้ โดยต้องยื่นแบบขอรับรองตนเอง (self-declaration) ว่าเป็นมีลักษณะตามที่กฎหมายกำหนดต่อ NIA ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ และ NIA ประกาศรายชื่อ นอกจากนี้ ธุรกิจสตาร์ตอัปมีหน้าที่แจ้งข้อมูลเพื่อรับรองตนเองว่ายังมีลักษณะครบถ้วนต่อ NIA ทุกปี ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ และในกรณีที่ปรากฏว่าไม่มีลักษณะตามที่กฎหมายกำหนดหรือมีเหตุที่ไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ธุรกิจสตาร์ตอัปดังกล่าวอาจถูกลบชื่อได้
4.หมวด 1 สิทธิและประโยชน์ของบริษัทสตาร์ตอัป (ร่างมาตรา 29 ถึงร่างมาตรา 44)
กำหนดให้ธุรกิจสตาร์ตอัปที่ได้รับการรับรองเป็นบริษัทสตาร์ตอัปตามหมวด 2 ได้รับสิทธิและประโยชน์ตามหมวด 3 นี้ เป็นเวลา 5 ปีนับแต่วันที่ได้รับการประกาศรายชื่อ แต่คณะกรรมการฯ อาจประกาศกำหนดให้บริษัทสตาร์ตอัปที่ประกอบธุรกิจในประเภทที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึกเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาด้านการเกษตรหรือด้านอื่นได้รับสิทธิและประโยชน์ตามพระราชบัญญัตินี้ให้มากกว่า 5 ปี แต่ไม่เกิน 10 ปี ก็ได้ ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงระดับของเทคโนโลยีหรือนวัตกรรม ข้อจำกัดหรืออุปสรรคทางกฎหมายในการประกอบธุรกิจและสภาวะเศรษฐกิจ ประกอบด้วย
(1) การยกเว้นไม่ใช้บังคับบทบัญญัติ ป.พ.พ. มาตรา 1102 มาตรา 1119 วรรคสอง มาตรา 1142 มาตรา 1143 เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการที่บริษัทเป็นเจ้าของถือหุ้นของตนเอง มาตรา 1222 และมาตรา 1229 ที่เป็นอุปสรรคต่อการจัดตั้ง การระดมทุน การประกอบธุรกิจ และการขยายกิจการของบริษัทสตาร์ตอัป โดยบริษัทสตาร์ตอัปดังกล่าวจะได้รับสิทธิและประโยชน์ตามร่างพระราชบัญญัตินี้เมื่อได้รับการประกาศรายชื่อ
(2) กำหนดสิทธิและประโยชน์ในเรื่องที่มีกฎหมายกำหนดไว้แล้ว เช่น การเข้าเมืองและการทำงานของคนต่างด้าว ทรัพย์สินทางปัญญา ภาษี การจัดซื้อจัดจ้าง เงินทุน หรือสิทธิและประโยชน์ตามกฎหมายอื่น โดยการได้รับสิทธิและประโยชน์ดังกล่าว ยังคงให้เป็นอำนาจของหน่วยงานที่รับผิดชอบกฎหมายนั้น ๆ ในการพิจารณาให้สิทธิและประโยชน์
5.หมวด 4 มาตรการปรับเป็นพินัย (ร่างมาตรา 45 ถึงร่างมาตรา 52)
กำหนดความผิดและมาตรการปรับเป็นพินัยสำหรับบริษัทสตาร์ตอัป และกรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของบริษัทสตาร์ตอัป ในกรณีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติตามร่างพระราชบัญญัติฯ
6.บทเฉพาะกาล (ร่างมาตรา 53 ถึงร่างมาตรา 55)
6.1 กำหนดบทเฉพาะกาลรองรับให้ธุรกิจสตาร์ตอัปที่จัดตั้งเป็นบริษัทจำกัดก่อนวันที่ร่างพระราชบัญญัติฯ ใช้บังคับ และยังคงดำเนินกิจการอยู่ แม้จดทะเบียนจัดตั้งมาเกิน 10 ปี อาจยื่นคำรับรองเป็นบริษัทสตาร์ตอัปเพื่อขอรับสิทธิและประโยชน์ตามร่างพระราชบัญญัติฯ ได้
6.2 กำหนดเฉพาะกาลเร่งรัดให้ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมธุรกิจสตาร์ตอัป ภายใน 60 วันนับแต่วันที่ร่างพระราชบัญญัติฯ ใช้บังคับ
6.3 กำหนดบทเฉพาะกาลเร่งรัดให้คณะกรรมการส่งเสริมธุรกิจสตาร์ตอัป และคณะกรรมการกำกับตลาดทุนต้องออกประกาศเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามร่างพระราชบัญญัติฯ
“ธุรกิจสตาร์ตอัปเป็นธุรกิจที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และมีบทบาทสำคัญต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศในโลกยุคใหม่ ที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอน เนื่องจากสามารถสร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เป็นเครื่องมือในการช่วยแก้ปัญหาและอำนวยความสะดวกให้แก่คนจำนวนมาก พร้อมทั้งสร้างมูลค่าให้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดแก่ผู้ก่อตั้งธุรกิจและนักลงทุน รวมทั้งยังมีส่วนช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยรวม
อย่างไรก็ดี โดยที่ปัจจุบันประเทศไทยยังมีระบบนิเวศที่ไม่เหมาะสมแก่การประกอบธุรกิจสตาร์ตอัป การประกอบธุรกิจสตาร์ตอัปในไทยยังประสบปัญหาและอุปสรรคหลายประการ โดยเฉพาะข้อจำกัดทางกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) ว่าด้วยบริษัทจำกัด ที่ยังไม่รองรับให้บริษัทจำกัดสามารถออกหุ้นกู้ เสนอขายหุ้นแก่ประชาชน เสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ให้แก่บุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้ถือหุ้น หรือเป็นเจ้าของถือหุ้นของตนเองเพื่อการจัดสรรหุ้นให้แก่กรรมการหรือพนักงานของบริษัทหรือนักลงทุน รวมถึงการแปลงหุ้นบุริมสิทธิให้เป็นหุ้นสามัญ ตลอดจนหักหนี้แทนการชำระค่าหุ้นได้ อันไม่สอดคล้องกับแนวทางการประกอบธุรกิจและการระดมทุนสมัยใหม่
อีกทั้งธุรกิจสตาร์ตอัปจำนวนมากยังประสบปัญหาการเข้าถึงแหล่งทุน การมีแรงงานผู้มีความสามารถหรือทักษะสูง การได้รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน การสร้างทักษะการเป็นผู้ประกอบการ และการเข้าถึงเครือข่ายความร่วมมือ ตลอดจนการขาดหน่วยงานภาครัฐที่เป็นหน่วยงานหลักในการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจสตาร์ตอัป ส่งผลทำให้ธุรกิจสตาร์ตอัปของไทยไม่สามารถเติบโตและแข่งขันในระดับนานาชาติได้
คณะกรรมการพัฒนากฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา จึงแต่งตั้งคณะอนุกรรมการศึกษาแนวทางการปรับปรุงหลักการเกี่ยวกับการกำกับดูแลและส่งเสริมธุรกิจ Startup และคณะอนุกรรมการฯ ได้ดำเนินการศึกษาและเห็นควรมีร่างกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมธุรกิจสตาร์ตอัปเป็นการเฉพาะ เพื่อขจัดปัญหาและอุปสรรคดังกล่าวและสร้างระบบนิเวศที่เหมาะสมกับการประกอบธุรกิจสตาร์ตอัป
โดยกำหนดให้สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NIA) เป็นหน่วยงานหลักในการให้บริการ ช่วยเหลือ ส่งเสริม และพัฒนาธุรกิจสตาร์ตอัป ในลักษณะเป็นหน่วยงานศูนย์กลางในการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจสตาร์ตอัป (one-stop service) อันจะทำให้การส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจสตาร์ตอัปสอดคล้องเป็นระบบเดียวกัน และเพื่อให้ได้รับข้อมูล ความคิดเห็น ข้อเสนอแนะต่อการยกร่างกฎหมายดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพ คณะกรรมการพัฒนากฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา จึงได้จัดรับฟังความคิดเห็นร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมธุรกิจสตาร์ตอัป พ.ศ…” คณะกรรมการพัฒนากฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ระบุถึงเหตุผลการเปิดรับฟังร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมธุรกิจสตาร์ตอัป พ.ศ…
อ่านเพิ่มเติม : การรับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมธุรกิจสตาร์ตอัป พ.ศ. ....

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา