
โฆษกดีเอสไอแจง กรณีมูลนิธิกันจอมพลังระบุข้อความยกทรัพย์สินทั้งหมดตกเป็นของมูลนิธิธรรมนัสถ้ายุบเลิก ยังไม่เข้าข่ายฉ้อโกง แต่ถ้าผู้บริจาครู้สึกถูกหลอกลวงก็แจ้งความเข้ามาได้
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 25 ตุลาคม 2568 จากกรณีที่นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ กัน จอมพลัง ในฐานะที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ มูลนิธิกัน จอมพลังช่วยสู้ พร้อมด้วย นางสาวกาญจนา สถาวร ประธานมูลนิธิฯ และฝ่ายบัญชี แถลงข่าวชี้แจงความโปร่งใสเรื่องเงินบริจาคของมูลนิธิฯ รวมถึงประเด็นความสัมพันธ์กับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ผ่านข้อบังคับมูลนิธิ ข้อที่ 39
ซึ่งนายกัณฐัศว์ระบุว่า ไม่เคยถอนเงินสดจากบัญชีของมูลนิธิ ส่วนข้อบังคับมูลนิธิ ข้อที่ 39 ที่ระบุให้โอนทรัพย์สินให้มูลนิธิธรรมนัส พรหมเผ่า หากมีการยุบเลิกนั้น ก็เป็นเพราะตอนนั้นรีบดำเนินการจัดตั้ง ทำให้คิดน้อยไป ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลตรงนี้ภายหลังนั้น

ล่าสุดสำนักข่าวอิศราสอบถามร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษว่า กรณีนี้จะเข้าข่ายฉ้อโกงหรือไม่ หรือรอคนมาร้อง ร.ต.อ.สุรวุฒิตอบว่า กรณีของนายกัณฐัศว์ มี 2 กรณีที่ดีเอสไอสามารถเข้าไปสอบสวนได้ 1. ถ้านายกัณฐัศว์ไปเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จว่าไปช่วยชาวบ้าน แต่ไม่ได้ช่วยจริง กับ 2.กรณีที่มีผู้บริจาคเงินแต่เอาไปทำนอกวัตถุประสงค์ ทั้งสองกรณีนี้จะเข้าข่ายฉ้อโกงหรือยักยอกเป็นปกติธุระ ถ้ามีเงินเข้าหรือเงินทุจริตมากกว่า 300 ล้านบาทขึ้นไปจะเป็นคดีพิเศษทันที
ส่วนกรณีที่ระบุว่า ให้โอนทรัพย์สินให้มูลนิธิธรรมนัส พรหมเผ่า หากมีการยุบเลิกนั้น ร.ต.อ.สุวุฒิกล่าวว่า ยังไม่เข้าข่ายฉ้อโกง ต้องมีผู้เสียหายมาร้องเรียนก่อน และจะต้องเป็นคนที่บริจาคให้เท่านั้น แต่จะเป็นเรื่องที่มาว่าเจ้าของที่แท้จริงเป็นใคร จะเข้าข่ายฉ้อโกงได้จะต้องปกปิดให้คนเชื่อก่อนว่า ไม่ใช่เจ้าของที่แท้จริง เป็นนอมินี แต่ต้องผ่านการสอบสวนและดูข้อเท็จริงก่อน
เมื่อถามว่า หากว่าผู้ให้บริจาคให้มูลนิธิที่เข้าใจได้ว่าเป็นของนายกัณฐัศว์ แต่ภายหลังมีข้อมูลว่าถ้ามูลนิธิยุบเลิกจะกลายเป็นทรัพย์สินของมูลนิธิธรรมนัส พรหมเผ่านั้น จะถือเป็นการฉ้อโกงหรือไม่ โฆษกดีเอสไอกล่าวว่า ถ้าผู้บริจาครู้สึกว่าถูกหลอกลวงก็แจ้งความได้ ถือเป็นหลักทั่วไป และสามารถมาร้องเรียนดีเอสไอได้

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา