
สปสช.เตรียมโอนงบเหมาจ่ายปี 2568 ล่วงหน้า 9,100 ล. ในส่วนผู้ป่วยนอก-สร้างเสริมสุขภาพ 50% เพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้โรงพยาบาล สังกัด สป.สธ.-รพ.สต. 31 ต.ค.นี้
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 30 ต.ค. 2568 ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ โฆษกสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ในที่ประชุมคณะกรรมการกำหนดแนวทางการใช้จ่ายเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติของหน่วยบริการสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สป.สธ.) ระดับประเทศ ซึ่งมี นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน
ที่ประชุมได้เห็นชอบให้มีการโอนงบค่าบริการผู้ป่วยนอก (OP) และค่าบริการสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรค (PP) แบบเหมาจ่าย ในปีงบประมาณ 2569 ให้กับหน่วยบริการสังกัด สป.สธ. จำนวน 912 แห่ง สถานีอนามัยและ รพ.สต. ถ่ายโอนฯ จำนวน 4,448 แห่ง โดยจะเป็นการโอน 50% หรือประมาณ 9,100 ล้านบาท ให้กับหน่วยบริการดังกล่าวเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้หน่วยบริการ
หลังจากมีมติแล้ว สปสช. จะโอนเงินให้กับหน่วยบริการดังกล่าว จำนวนทั้งหมด 5,360 แห่ง ในวันพรุ่งนี้ (31 ตุลาคม 2568) ต่อไป
ทพ.อรรถพร กล่าวต่อว่า สำหรับการโอนเงินจำนวน 4,928 ล้านบาท ให้กับหน่วยบริการ 1,119 แห่ง ที่ สปสช. โอนเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2568 นั้น เป็นการโอนเงินในส่วนของผู้ป่วยใน (IP) ตามมติที่หารือร่วมกับ สป.สธ. คือ ยกเลิกการรีรันในรอบบริการผู้ป่วยในระหว่างวันที่ 15 กันยายน 2567 – 31 กรกฎาคม 2568 โดยเติมเงินลงไปตามยอดที่ถูกหัก ดังนั้น สปสช. จะไม่มีการปรับปรุงทางบัญชีหรือดึงเงินกลับมาแต่อย่างใด
ทั้งนี้เงินที่โอนไปนั้นเป็นเงินจากกองทุนผู้ป่วยใน (IP) ของปี 2569 ดังนั้น เมื่อ สปสช. ได้รับงบกลางมาจะนำเงินจำนวน 4,928 ล้านบาทมาเติมในกองทุนผู้ป่วยใน (IP) ของปี 69 และงบกลางส่วนที่เหลือก็จะนำไปจัดสรรตามหลักเกณฑ์ต่อไป
@ โอนเงิน 4,928 ล. เติมให้กว่า 1 พัน รพ. ตามแนวทางยกเลิกรีรัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันเดียวกันนี้ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) รายงานการโอนเงินจำนวน 4,928,092,644.91 บาท ให้กับโรงพยาบาลคู่สัญญาจำนวน 1,119 แห่งทั่วประเทศ เมื่อคืนวันที่ 29 ต.ค. 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการโอนเงินในส่วนของผู้ป่วยใน (IP) ตามมติที่หารือร่วมกับสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สป.สธ.) คือยกเลิกการรีรันในรอบบริการผู้ป่วยในระหว่างวันที่ 15 ก.ย. 2567 – 31 ก.ค. 2568 โดยเติมเงินลงไปตามยอดที่ถูกหัก
ทั้งนี้จำนวนการโอนเงินค่าบริการผู้ป่วยใน (IP) ของโรงพยาบาลแต่ละสังกัดมีรายละเอียดดังนี้
- โรงพยาบาลรัฐในกระทรวงสาธารณสุข สังกัด สป.สธ. 891 แห่ง เป็นเงิน 4,299,215,259.06 บาท
- โรงพยาบาลรัฐในกระทรวงสาธารณสุข นอกสังกัด สป.สธ. 57 แห่ง เป็นเงิน 121,351,927.45 บาท
- โรงพยาบาลรัฐนอกกระทรวงสาธารณสุข 96 แห่ง เป็นเงิน 327,931,576.20 บาท
- โรงพยาบาลรัฐนอกกระทรวงสาธารณสุข (องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) 3 แห่ง เป็นเงิน 1,963,905.42 บาท
- โรงพยาบาลรัฐพิเศษ 4 แห่ง เป็นเงิน 49,176,019.52 บาท
- โรงพยาบาลเอกชน 68 แห่ง เป็นเงิน 128,453,957.26 บาท
โดยแต่ละโรงพยาบาลสามารถดูรายละเอียดการได้รับโอนงบประมาณได้ที่เว็บไซต์ สปสช.
@จ่ายเงินให้ รพ. 4 วิธี มีทั้งจ่ายล่วงหน้า จ่ายตามผลงานบริการ
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า จากที่เพจ หมอม็อด หมอเด็กขอเล่า ได้โพสต์เฟซบุ๊ก สรุปดราม่า "บัตรทอง/สปสช.” — เรื่องใหญ่ที่คนไทยยังไม่รู้ตัวนั้น สปสช. พบว่า มีหลายประเด็นที่ยังเข้าใจผิด
เมื่อวันที่ 29 ต.ค. 2568 สปสช. ได้ชี้แจงและอธิบายเพิ่มเติมทีละประเด็น ดังนี้
เริ่มจากประเด็นที่ 1 การจ่ายเงินให้ รพ. สปสช. จ่ายเงิน 4 รูปแบบให้กับ รพ. มีทั้ง 1.การจ่ายล่วงหน้าแบบเหมาจ่ายตามรายหัวประชากร คิดเป็น 29% ของงบประมาณทั้งหมด 2.จ่ายตาม DRG คิดเป็น 28% 3.จ่ายตามผลงานการให้บริการ คิดเป็น 35% และ 4. จ่ายแบบอื่นๆ คิดเป็น 8%
ทั้งนี้ สปสช. จึงไม่ได้จ่ายเงินให้ รพ. แบบ รพ. รักษาคนไข้ไปก่อน แล้วค่อยเบิกเงินคืนทีหลังจาก สปสช. อย่างเดียว
วิธีจ่ายแบบที่หมอม็อดเขียนมานั้น เป็น 1 ใน 4 รูปแบบที่ สปสช. จ่ายให้กับ รพ. นั่นคือ บริการผู้ป่วยในที่นอนรักษาตัวในโรงพยาบาล เป็นการรักษาก่อน จ่ายทีหลัง ซึ่ง สปสช. ใช้วิธีการจ่ายตาม DRG หรือการวินิจฉัยตามกลุ่มโรคร่วมและน้ำหนักของความรุนแรงของโรคหรือความยากง่ายของการรักษา ซึ่งการจ่ายวิธีนี้เป็นแนวทางมาตรฐานที่ใช้โดยทั่วไปทั้งในประเทศไทยและนานาชาติ
เหตุผลที่ต้องจ่ายแบบนี้ เนื่องจากต้องมีผลงานการให้รักษาจริง สปสช. จึงจะจ่าย และก่อนจ่ายต้องมีการตรวจสอบ เพื่อให้ทราบว่ามีการรับไว้เป็นผู้ป่วยในจริงหรือไม่ การรักษาเป็นไปตามมาตรฐานวิชาชีพหรือไม่ เบิกจ่ายถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดหรือไม่ แล้วจึงจะโอนเงินค่าใช้จ่ายสำหรับบริการนั้นๆ ให้โรงพยาบาลตามหลักการและมาตรฐานบัญชี
ส่วนอีก 3 วิธีนั้น เริ่มจากการจ่ายล่วงหน้าแบบเหมาจ่าย จะเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับบริการผู้ป่วยนอกทั่วไป และบริการสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรคพื้นฐาน เช่น การตรวจคัดกรองสุขภาพตามกลุ่มวัย การดูแลแม่และเด็ก การฉีดวัคซีน เป็นต้น ในกรณีนี้ สปสช. จะโอนเงินล่วงหน้าให้กับ รพ. โดยคำนวณจากประชากรที่ รพ. นั้น รับผิดชอบ ซึ่งเป็นการเหมาจ่ายเพื่อดูแลบริการสุขภาพพื้นฐานให้กับประชาชนในพื้นที่ ทั้งคนที่ป่วยและไม่ป่วย ภายใต้หลักการเฉลี่ยความเสี่ยง นั่นคือ ประชาชนบางคนไม่ป่วย ไม่ได้มารับบริการ ก็อยู่ในงบเหมาจ่ายรายหัวทั้งก้อนที่ รพ. ได้รับและเอาไปบริหารจัดการเฉลี่ยกับคนที่ป่วย โดยในเดือนตุลาคมซึ่งเป็นต้นปีงบประมาณ สปสช. จะโอนเงินเหมาจ่ายรายหัวผู้ป่วยนอกนี้ให้กับ รพ. 50% เพื่อช่วยสภาพคล่องของโรงพยาบาล และทยอยโอนในเดือนต่อๆ มา จนครบ 100% ซึ่งงบส่วนนี้ หากเป็นโรงพยาบาลรัฐ จะได้ครบ 100% ภายในไม่เกินไตรมาส 2 ของแต่ละปีงบประมาณ
ต่อมาเป็นการจ่ายตามผลงานการให้บริการในรูปแบบ Fee schedule หรือ จ่ายตามรายการบริการและราคาที่กำหนดไว้ ซึ่งการจ่ายแบบนี้มีวัตถุประสงค์เฉพาะ เช่น เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการของประชาชน เพื่อเพิ่มความมั่นใจเรื่องคุณภาพบริการ เพื่อลดความเสี่ยงหรือภาระของหน่วยบริการในกรณีบริการที่มีค่าใช้จ่ายสูง บริการที่จำเป็นต้องกำกับดูแลใกล้ชิด และโรคที่บริหารเป็นการเฉพาะ รายการบริการที่จ่ายด้วยวิธีนี้ เช่น การรับบริการผู้ป่วยนอกฉุกเฉินข้ามจังหวัด การส่งต่อข้ามจังหวัด ค่าพาหนะรับส่งต่อ บริการสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรคที่จ่ายตามรายการ ค่ายาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ราคาแพงและจ่ายเพิ่มเติมจากค่าบริการผู้ป่วยใน เช่น ยาละลายลิ่มเลือด ยาเคมีบำบัดและรังสีรักษาสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง บริการมะเร็งรักษาทุกที่ (CA Anywhere) รายการอุปกรณ์เวชภัณฑ์ทางการแพทย์ที่กำหนด การรักษาโรคไตวายเรื้อรัง โรคธาลัสซีเมีย วัณโรค โรคหายาก รวมทั้งบริการผู้ป่วยนอกในหน่วยบริการนวัตกรรมประเภทต่างๆ เป็นต้น
สุดท้ายเป็นการจ่ายแบบอื่นๆ ได้แก่ จ่ายตามโครงการฯ เช่น การสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรคในระดับประเทศ (NPP) ซึ่งเป็นการจัดการภาพรวมในระดับประเทศ หรือระดับพื้นที่ (PPA) เพื่อใช้แก้ปัญหาด้านสุขภาพในบริบทของแต่ละพื้นที่ เงินสมทบกองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่นร่วมกับ อปท. เป็นต้น รวมทั้ง การจ่ายตามเกณฑ์คุณภาพหรือจ่ายเพิ่มเติมจากเงินเหมาจ่ายรายหัวตามผลลัพธ์การให้บริการสาธารณสุขในกรณีบริการควบคุมความรุนแรงโรคหืดและโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) และบริการระดับปฐมภูมิที่มีแพทย์ประจำครอบครัว (PCC)ไปจนถึงค่าบริการสาธารณสุขเพิ่มเติมสำหรับหน่วยบริการที่จำเป็นต้องให้บริการในพื้นที่กันดาร พื้นที่เสี่ยงภัย และพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (Hardship)
สำหรับประเด็นอื่นๆ สปสช. ขอชี้แจงเป็นลำดับต่อไป

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา