
ตร.เผยสถิติ 3 ปีในไทย สแกมเมอร์สร้างความเสียหายแสนล้านบาท-ยึดทรัพย์คืนแล้วกว่า 312 ล. พบเคสใหม่วันละพัน เผยเพื่อนบ้านไม่ร่วมมือเป็นอุปสรรคสำคัญในการปราบปราม
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2568 พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร. แถลงผลการระดมปราบปรามการกระทำผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี United Thailand Against Scammer 'รวมพลังคนไทย ต้านภัยสแกมเมอร์' ว่า สำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน ในรอบปีที่ผ่านมา ความเสียหายที่เกิดจากสแกมเมอร์รอบโลก ปัจจุบันอยู่ที่ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภูมิภาคเอเชียโดนหนักสุด แม้จะมีการปราบปรามอย่างจริงจัง แต่ปัญหายังคงมีอยู่ อย่างไรก็ตามเกี่ยวกับความร่วมมือในการแก้ปัญหาร่วมกันของนานาชาติ ยืนยันว่า อเมริกา ไว้ใจเรามากที่สุด ที่จะเป็นพันธมิตรปราบปรามสแกมเมอร์
พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวว่า สำหรับประเทศไทย เราเก็บสถิติมา 3 ปี มีล้านกว่ากรณี ความเสียหายกว่าแสนล้านบาท แต่ละวันจะมีกรณีใหม่เกิดขึ้นวันละพันกว่ากรณี ถือว่ารุนแรง ในส่วนของวิวัฒนาการของสแกมเมอร์ในไทย แรกๆจะใช้วิธีซ่อนตัวตามอาคารต่างๆ อยู่ในพื้นที่ แต่พอเริ่มถูกเจ้าหน้าที่กวาดล้างจับกุมก็เริ่มอยู่นอกประเทศที่จีน ก่อนจะมาอยู่ 3 ประเทศเพื่อนบ้านของไทย สแกมเมอร์ยุคแรกส่วนใหญ่จะเป็นชาวไต้หวัน ตอนหลังเปลี่ยนมาเป็นคนจีน แต่ไม่อยากให้มองแบบเหมารวมคนจีนทั้งหมด เพราะเป็นการทำผิดเฉพาะบุคคลที่เป็นคนไม่ดี
พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวถึงสถานการณ์ช่วงหลังรุนแรงขึ้นเพราะเพื่อนบ้านไม่ให้ร่วมมือ ส่วนการที่ปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์เหล่านี้ยากขึ้น หลักๆ มี 3 ประเด็น คือ
1) ปัจจุบันเป็นองค์กรอาขญากรรมขนาดใหญ่ มีโครงข่ายใหญ่ มีเงินและสมาชิกจำนวนมาก เหมือนบริษัทระดับโลกมีหลายสาขา และนี่ก็คือความท้าทายที่เราจะต้องสู้ปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์เหล่านี้
2) ความร่วมมือของประเทศเพื่อนบ้าน และ 3) เทคโนโลยีที่แก๊งสแกมเมอร์นำมาใช้มีวิวัฒนาการมากขึ้น รวมไปถึงกลวิธีที่นำมาใช้หลอกลวงเหยื่อมีมากมายหลายร้อยวิธี
พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวย้ำว่า การแก้ปัญหาต้องแก้ที่ต้นเหตุ สถานที่เขาอยู่ ถ้าเพื่อนบ้านร่วมมือกับเรา เชื่อว่าปัญหาจะจบสิ้นได้โดยเร็ว การที่จะให้เขาร่วมมือกับเราได้ คือเจรจา หรือ กดดัน อยากชวนนานาประเทศ ไปลงพื้นที่ที่มีสแกมเมอร์อยู่ ถ้าเขาไม่ยอมให้ความร่วมมือเราก็ต้องยกระดับการกดดัน อาทิ ตัดอินเตอร์เน็ต ไฟฟ้า น้ำมัน หรือ ทุกๆทางที่คิดว่าจะกดดันให้เขารับผิดชอบสิ่งเหล่านี้ได้ อย่างไรก็ตามกรณีที่ประเทศพวกนี้ยังไม่ให้ร่วมมือ เราก็ไม่อยู่เฉย จะทำทุกอย่างที่ทำได้ เช่น ทำวอรูมร่วมกับทุกภาคส่วนขึ้นมาแบบเรียลไทม์ ประชุมและนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ เราจะเข้าใจแผนประทุษกรรม และนำไปสู่การจับกุม
“ส่วนกลางจะคอยวิเคราะห์ข้อมูลให้ และประสานท้องที่ไปจับกุม เราจะกวาดล้างทุกมิติ อีกส่วนเรื่องการตัดวงจร พอเราเข้าใจว่าคนร้ายใข้อะไรเข้าถึงเหยื่อบ้าง ถ้าเราตัดพวกนี้ได้ก็สามารถลดปัญหาได้พอสมควร ที่ผ่านมาเรามีพูดคุยเรื่องระบบเครือข่ายโทรศัพท์ กับ ทาง สำสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) และ ผู้ประกอบการซึ่งจะสามารถช่วยเรื่องตรงนี้ได้ เช่นเดียวกับธนาคาร ที่ตอบรับให้ความร่วมมือ รวมไปถึงพูดคุยกับกรมประชาสัมพันธ์ให้ช่วยสื่อสารเผยแพร่ความรู้ให้กับประชาชนให้รู้เท่าทัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยยกระดับการปราบปรามได้ ย้ำว่า ถ้าเราร่วมมือกันทั้งในและนอกประเทศ เชื่อว่าจะสามารถแก้ปัญหาได้สำเร็จ อาจจะใช้เวลา แต่เชื่อว่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ " พล.ต.ท.จิรภพ กล่าว
ด้าน นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้เป็นการแสดงจุดยืนว่าทุกภาคส่วนได้ร่วมมือกันปราบปรามสแกมเมอร์ และ พร้อมที่จะเป็นศัตรูกับสแกมเมอร์เหล่านี้ที่เป็นภัยสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน ยืนยันเราจะเร่งปราบปรามให้หมดไป เพราะความเสียหายที่เกิดจากสแกมเมอร์ ไม่ใช่แค่เงิน แต่ยังส่งผลกระทบหลายๆเรื่อง ทั้งความเชื่อมั่น ทั้งเรื่องเศรษฐกิจต่างๆของประเทศ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดของรัฐบาล ดังนั้นจึงต้องจำเป็นที่จะประกาศสงครามกับแก๊งสแกมเมอร์เหล่านี้
“ที่ผ่านมาเราได้จัดตั้งคณะอำนวยการปราบปรามอาขญากรรมเทคโลยีขึ้นมา มีการลงนามบันทึกความเข้าใจกับ 15 หน่วยงานหลัก ทั้งภาครัฐและเอกชน ปัจจุบันเราเปลี่ยนจากตั้งรับมาเป็นเชิงรุก สะท้อนให้เห็นความก้าวหน้าในการแก้ปัญหาอย่างชัดเจน ที่ผ่านมาเรายึดทรัพย์ได้หลายหมื่นล้านบาท กำจัดบัญชีมัา ปราบปรามจับกุมจำนวนมากทั้งหมดนี้คือผลลัพธ์ในทิศทางที่ดี ส่วนที่มีคนตั้งข้อสงสัยว่ามีคนของรัฐเกี่ยวหรือไม่ ยืนยันว่าไม่เคยนิ่งนอนใจ กำชับทุกหน่วยงานทำงานอย่างเต็มที่ หากใครมีข้อมูลว่ามีนักการเมือง เจ้าหน้าที่รัฐไปพัวพัน ส่งข้อมูลมาได้ตลอด จะเร่งดำเนินการอย่างจริงจัง ย้ำว่าเรื่องนี้ไม่มีใครเคลียร์ได้ เพราะเรายึดความเดือดร้อนประชาขนเป็นสำคัญ ใครมีชื่อโผล่มาต้องถูกดำเนินคดี และ ผู้ที่แจ้งเบาะแสก็จะต้องได้รับความคุ้มครองอย่างเต็มที่” นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวอีกว่า สิ่งสำคัญในการแก้ปัญหา คือ เราต้องร่วมมือกัน ให้ความรู้ความเข้าใจสังคม เพราะอาชญากรเหล่านี้จะใช้ช่องโหว่ตรงนี้เป็นอาวุธ อยากให้ยึดหลัก 3 ข้อ “ไม่เชื่อ ไม่รีบ ไม่โอน” จะช่วยป้องกันการถูกหลอกได้ อย่างไรก็ตามตนขอยืนยันว่า รัฐบาลจะเดินหน้า และทำทุกวิถีทาง เพื่อให้คนไทยทุกคนรู้เท่าทันและป้องกันตัวเองได้
“ท้ายนี้ผมภูมิใจการทำหน้าที่ของตำรวจไทยเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขาได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ จะเป็นกำลังใจ และ พร้อมให้การสนับสนุนทุกรูปแบบ รวมถึงอยากขอบคุณทุกภาคส่วนทั้งนานาชาติ รวมไปถึงภาคเอกชนต่างๆ ที่คอยให้ความร่วมมือกับเรา” นายอนุทิน กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงวันที่ 27 ต.ค. - วันที่ 8 พ.ย. ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้มีการระดมกำลังกวาดล้างจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด 7,174 คน แบ่งเป็นคดีสำคัญที่เป็นองค์กรเครือข่าย 90 คดี ผู้ต้องหา 315 คน คดีบัญชีม้า และ ซิมผี 795 คดี คดีอุปกรณ์การสื่อสารผิดกฎหมาย จำพวก SIMBOX, False base station รวม 11 คดี จับกุมเว็บพนันรายใหญ่ได้ 26 ราย สกัดกั้นคนไทยที่จะเดินทางออกนอกประเทศเพื่อไปร่วมขบวนการ Scammer ได้ 123 ครั้ง จับอินฟลูเอนเซอร์ ที่ชักชวนเล่นพนันออนไลน์ 22 ราย ตรวจยึดทรัพย์สินเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ได้รวมกว่า 41,720,000 บาท และ สามารถติดตามทวงเงินคืนให้กับผู้เสียหาย ได้กว่า 31 ล้านบาท
ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาตั้งแต่เดือน ก.พ. จนถึงปัจจุบัน เจ้าหน้าที่สามารถติดตามทวงเงินกลับคืนให้กับผู้เสียหายได้รวมเป็นจำนวนเงินกว่า 312 ล้านบาท

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา