
เห็นพ้อง! EEC-UTA จับมือสละเงื่อนไข ‘ไฮสปีด 3 สนามบิน’ รับเงื่อนไขลดขนาดเทอร์มินัลเฟสแรกเหลือ 3 ล้านคน/ปี พร้อมถกสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม แต่ยังจบไม่ลงหลังเอกชนผุดผลศึกษาตลอดอายุสัมปทาน 50 ปีควรลดไซส์สนามบินจาก 60 เหลือ 20 ล้านคน/ปี
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 29 พฤศจิกายน 2568 นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรืออีอีซี เปิดเผยว่า ความคืบหน้าโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกมูลค่า 290,000 ล้านบาท พื้นที่ 6,500 ไร่ ซึ่งเซ็นสัญญาโครงการไปเมื่อวันที่ 19 มิ.ย.2563 มี บมจ. อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น (UTA) รับสัมปทาน ที่มีเงื่อนไขการออกหนังสือให้เริ่มงาน (NTP) ว่าโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ต้องเริ่มต้นด้วย ประกอบกับผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้ประมาณการณ์ผู้โดยสารลดลง
ล่าสุด UTA และ EEC ได้หารือและสรุปว่า ไม่รอเงื่อนไขการออก NTP ที่ให้โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน รวมถึงหารือ เรื่องการลดขนาดการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา ในระยะแรกรองรับผู้โดยสารเริ่มต้นที่ 3 ล้านคน/ปี จากเดิมที่ 12 ล้านคน/ปี โดย EEC จะเร่งดำเนินการเรื่องสิทธิประโยชน์ต่างๆ และนำไปสู่การเสนอขออนุมัติตามขั้นตอน คาดว่าเมื่อมีความชัดเจน เรื่องสิทธิประโยชน์ เรื่องอัตราภาษี และฟรีโซนต่างๆ แล้ว จึงจะออกไปโรดโชว์นักลงทุนได้ และเป็นการเริ่มต้นเดินหน้าโครงการ
@เห็นต่าง UTA ลดไซส์ ”อู่ตะเภา 50 ปี”เหลือ 20 ล้านคน
นายจุฬากล่าวว่า ปัจจัยที่เปลี่ยนไป ส่งผลให้ UTA ขอลดขนาดการพัฒนาโครงการในระยะแรก โดย EEC ให้ศึกษาวิเคราะห์คาดการณ์อัตราการเติบโตของผู้โดยสารตลอดอายุสัมปทาน 50 ปีใหม่ ด้วย ว่าจะสามารถคงระดับไว้ที่ 60 ล้านคน/ปี ตามเงื่อนไขหรือไม่ ซึ่งล่าสุด UTA ได้ส่งรายงานการศึกษา ที่ประเมินผู้โดยสารเหลือ 20 ล้านคน โดยระบุสมมุติฐาน ว่า สนามบินสุวรรณภูมิ จะพัฒนาศักยภาพรองรับ 120 ล้านคน/ปี และสนามบินดอนเมืองขยายไปที่ 50 ล้านคน/ปี ทำให้ผู้โดยสารไม่มาที่อู่ตะเภา ซึ่ง EEC ไม่รับข้อสมมุติฐานนี้ เพราะถือเป็นเรื่องใหญ่ และกระทบต่อเงื่อนไขสัญญา จึงให้ UTA ไปทำการศึกษา ประมาณการณ์ใหม่
ล่าสุด ตกลงกันว่า จะปรับการพัฒนาเฟสแรก เป็น 3 ล้านคน /ปี จากเดิม 12 ล้านคน/ปี ซึ่งขนาด 12 ล้านคน เทียบกับสนามบินภูเก็ต สนามบินเชียงใหม่ ขณะที่ปัจจุบันสนามบินอู่ตะเภามีผู้โดยสารประมาณ 3 แสนคน/ปี ดังนั้น การไปถึง 3 ล้านคน /ปี ก็ดูพอเป็นไปได้กว่า 12 ล้านคน/ปี อย่างไรก็ตาม ยังคงหลักการว่าหากผู้โดยสารถึงระดับ 80% ของขีดความสามารถ ต้องขยายในเฟสต่อไป ส่วนสุดท้ายปลายทางยังคงเป็ฯที่ 60 ล้านคน/ปี หรือไม่ ต้องพิจารณาร่วมกันหลังจากนี้
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ EEC จะเร่งรัดในเรื่องสิทธิประโยชน์ และจะผลักดันให้ UTA ไปดำเนินการในส่วนของเมืองการบินหรือ Airport City ก่อน เพราะตรงนี้จะมีกิจกรรมหลากหลาย ที่จะทำให้เกิดความต้องการเดินทางตามไป นำไปสู่การพัฒนาอาคารผู้โดยสาร และไฮสปีด ที่จะเป็นประตูสู่เมืองการบิน
@อยากทำเมืองการบินก่อน ต้องเช่าที่ / ปิดดีล MRO บินไทย ม.ค. 69
นายจุฬากล่าวว่า กรณีเริ่มในส่วนของเมืองการบินก่อนฝั่งสนามบินอู่ตะเภา จะมีประเด็นว่าจะมีการออก NTP อย่างไร เพราะในสัญญากำหนดว่า ออก NTP คือต้องเริ่มงานทั้งหมด ดังนั้นหากส่วนของอาคารผู้โดยสารสนามบินอู่ตะเภายังไม่สรุป UTA ขอเริ่มเมืองการบินก่อน EEC จะใช้วิธีให้เช่าพื้นที่ส่วนเมืองการบิน ดำเนินการไปก่อน ไม่สามารถแยก NTP ออกเป็น 2 ส่วนได้
ความคืบหน้าโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา(MRO - Maintenance, Repair, and Overhaul) ขณะนี้ ได้เจรจากับบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ในการเช่าพื้นที่ 210 ไร่ ลงทุนพัฒนาเรียบร้อยแล้วโดยมีขั้นตอนที่ การบินไทย จะนำเสนอขออนุมัติจากคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯก่อน คาดว่า น่าจะมีการลงนามในสัญญาเช่ากับ EEC ได้ในเดือน ม.ค. 2569
เบื้องต้น การบินไทยแจ้งว่า จะเป็นผู้ยื่นการลงทุนโครงการ MRO โดยตั้งบริษัทลูก ขึ้นมาดำเนินโครงการ ส่วนจะมีการร่วมทุนกับใครเพิ่มเติมอย่างไร เป็นรายละเอียดของการบินไทย โดยประเมินมูลค่าโครงการไว้ประมาณ 10,000 ล้านบาท ระยะเวลาสัญญาเช่า 50 ปี
สำหรับโครงการ MRO นี้ จะมีผลตอบแทน2 ส่วนคือ ค่าเช่าพื้นที่ และการแบ่งปันผลประโยชน์ จากส่วนแบ่งรายได้แบบขั้นบันได โดยช่วงปีที่ 1-4 เป็นการเริ่มต้นโครงการ จะเก็บค่าเช่าพื้นที่อย่างเดียว และเริ่มคิดส่วนแบ่งรายได้ในปีที่ 5 โดยกำหนดอัตราดังนี้ ปีที่ 5-10 คิดส่วนแบ่งรายได้ 3% ,ปีที่ 11-15 คิดส่วนแบ่งรายได้ 5% และปีที่ 15 เป็นต้นไป คิดส่วนแบ่งรายได้ 7%

จุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.)

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา