
ดีเอสไอ ลุยแล้ว! รับเรื่องสแกนม่านตาแลกเงินดิจิทัล สอบสวนพบพฤติการณ์อาจเข้าข่ายกระทำความผิดตามกม. หลังกระทรวงดีอีส่งเรื่องให้ตรวจสอบ เผยหากกรณี MOU บ.สิงคโปร์ หากเกี่ยวข้องเชื่อมโยงโดนด้วย
แหล่งข่าวจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ว่า ขณะนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ มีมติรับกรณีการสแกนม่านตาแลกเหรียญสกุลคริปโต ในประเทศไทย เป็นคดีพิเศษ ตามมาตรา 21 (1) แห่ง พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2567 และที่แก้ไขเพิ่มเติมหลังจากการสอบสวนพบว่า มีพฤติการณ์อาจเข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดตามมาตรา 14 (1) แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และมีลักษณะของการกระทำผิดตามประกาศ กคพ. (ฉบับที่ 8) พ.ศ2565 ข้อ 15
แหล่งข่าวระดับสูงกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กระทรวงดีอี) กล่าวว่า กรณีการสแกนม่านตาแลกเหรียญสกุลคริปโตในประเทศไทย กระทรวงดีอีได้ส่งเรื่องให้ดีเอสไอรับไปตรวจสอบตามขั้นตอนกฎหมาย ซึ่งการตรวจสอบกรณีนี้จะร่วมกับเรื่องอื่นที่มีความเกี่ยวข้องทั้งหมด
เมื่อถามว่า เรื่องบันทึกความเข้าใจหรือ MOU ระหว่างกระทรวงดีอีกับบริษัทไพรม์ ออพ พอร์ทูนิตี้ ฟันด์ วิซีซี (Prime Opportunity Fund VCC) จากสิงคโปร์ เกี่ยวข้องด้วย หรือไม่ แหล่งข่าวระบุว่า "รวมหมด อะไรที่เกี่ยวข้องรวมกันทั้งหมด"
สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า กรณีการสแกนม่านตาแลกเหรียญสกุลคริปโต ในประเทศไทย เคยปรากฏเป็นข่าวในช่วงเดือนตุลาคม 2568 มีบริษัทเอกชน ได้จัดโครงการสแกนม่านตาแลกเงินดิจิทัล (World ID) ในประเทศไทย มูลค่า 500–1,000 บาท ซึ่งในคนไทยเข้าร่วมโครงการไปแล้ว จำนวนนับล้านราย
ขณะที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางออนไลน์ (บช.สอท.) เข้าทำการจับกุมผู้ต้องหา มีพฤติกรรมเป็นนายหน้ารับซื้อเหรียญWorld Coin จากประชาชนที่แห่ไปลงทะเบียนสแกนม่านตา ผ่านเครื่อง Orb เพื่อรับเหรียญ World Coin นายหน้าคนดังกล่าวให้การว่ารับซื้อเหรียญดังกล่าวในราคา 28 บาทต่อ 1 เหรียญ ซึ่งคนที่ไปลงทะเบียนสแกนม่านตาจะได้รับเหรียญดิจิตอลจำนวน 30 เหรียญ หรือคิดเป็นเงิน 840 บาท เป็นค่าสแกนม่านตา โดยไม่มีใบอนุญาต
ต่อมา นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กระทรวงดีอี) ได้สั่งให้ผู้ให้บริการและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการเก็บข้อมูลม่านตา ระงับหรืองดการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบการสแกนม่านตาเพื่อรับเหรียญคริปโตเคอเรนซีเพิ่มเติมโดยทันที และรายงานผลการดำเนินการดังกล่าวต่อ สคส. ภายใน 7 วัน รวมถึงให้ลบทำลายข้อมูลม่านตาและข้อมูลส่วนบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องของประชาชนจำนวน 1.2 ล้านคนทั้งหมด เพื่อป้องกันการโอนย้ายถ่ายเทข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวไปยังต่างประเทศ โดยไม่ถูกกฎหมาย
สำหรับ พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2567 ตามมาตรา 21 (1) ระบุ คดีความผิดทางอาญาตามกฎหมายที่กําหนดไว้ในบัญชีท้ายพระราชบัญญัตินี้ และที่กําหนดในกฎกระทรวงโดยการเสนอแนะของ กคพ. โดยคดีความผิดทางอาญาตามกฎหมายดังกล่าว จะต้องมีลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้
(ก) คดีความผิดทางอาญาที่มีความซับซ้อน จําเป็นต้องใช้วิธีการสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานเป็นพิเศษ
(ข) คดีความผิดทางอาญาที่มีหรืออาจมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ความมั่นคงของประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือระบบเศรษฐกิจหรือการคลังของประเทศ
(ค) คดีความผิดทางอาญาที่มีลักษณะเป็นการกระทําความผิดข้ามชาติที่สําคัญหรือเป็นการกระทําขององค์กรอาชญากรรม
(ง) คดีความผิดทางอาญาที่มีผู้ทรงอิทธิพลที่สําคัญเป็นตัวการ ผู้ใช้หรือผู้สนับสนุน
(จ) คดีความผิดทางอาญาที่มีพนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจชั้นผู้ใหญ่ซึ่งมิใช่พนักงานสอบสวนคดีพิเศษหรือเจ้าหน้าที่คดีพิเศษเป็นผู้ต้องสงสัยเมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่าน่าจะได้กระทําความผิดอาญาหรือเป็นผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้ต้องหา
ส่วนกรณีการลงนามบันทึกความเข้าใจหรือ MOU ระหว่างกระทรวงดีอีกับบริษัทไพรม์ ออพ พอร์ทูนิตี้ ฟันด์ วิซีซี (Prime Opportunity Fund VCC) จากสิงคโปร์ นั้น นายไชยชนก ชิดชอบ ได้สั่งการให้มีการยกเลิกเช่นกัน เนื่องจากพบข้อพิรุธและปัญหาหลายประการ รวมถึงความไม่โปร่งใสในกระบวนการจัดทำและการนำไปใช้ประโยชน์ที่อาจนำไปสู่ความเสียหายเมื่อเดือน พ.ย. 2568 ที่ผ่านมา และเพิ่งสั่งการให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมหลังเห็นภาพถ่ายพิธีการลงนามบันทึกความเข้าใจหรือ MOU เพิ่มเติมว่า ภาพถ่ายดังกล่าว มีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รมว.ดีอี ในขณะนั้น และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ช่วงรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ผู้แทนการค้าไทย และนายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ หรือ เบน สมิธ ร่วมถ่ายภาพเป็นสักขีพยานด้วย ซึ่งเป็นหลักฐานที่สนับสนุนสมมุติฐานที่ตั้งไว้ว่าบริษัทที่มาลงนามกับกระทรวงดีเอสเกี่ยวพันกับกลุ่มดังกล่าว หลังที่ก่อนหน้านี้ได้ให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลแต่ไม่มีใครทราบ
ขณะที่ การลงนาม MOU ระหว่างกระทรวงดีอีกับบริษัทไพรม์ ออพ พอร์ทูนิตี้ ฟันด์ วิซีซี (Prime Opportunity Fund VCC) จากสิงคโปร์ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2567 ตัวแทนกระทรวงดีอีที่ลงนามใน MOU ฉบับนี้ คือ ศาสตรจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงฯ ในขณะนั้น ปัจจุบันมีตำแหน่งเป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
อย่างไรก็ดี ทั้งสองกรณี อยู่ในกระบวนการตรวจสอบเท่านั้น ยังไม่ได้ถูกชี้มูลว่ามีการกระทำความผิดทางกฎหมาย ผู้เกี่ยวข้องยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่
@ อ่านข่าวประกอบ
สแกนม่านตาแลกเหรียญสกุลคริปโต
- ‘ก.ล.ต.-บช.สอท.’จับกุม‘ผู้ต้องสงสัย’ให้บริการรับแลกเหรียญ Worldcoin โดยไม่มีใบอนุญาตฯ
- ‘ภัณฑิล’ เผย มีขบวนการพาคนสแกนม่านตา หักหัวคิว-นายหน้ารับแลกเหรียญคริปโต
- ผู้เข้าร่วมเสวนาเผย Orb สแกนม่านตา เก็บข้อมูลส่วนบุคคลจริง แต่ต้องถูกคุ้มครองด้วยกฎหมาย
- ไทยเข้าร่วมเป็นล้านคน! บ.ทูลลส์ฯ นัดเปิดหลักฐานเคลียร์ปมสแกนม่านตาแลกเงินดิจิทัล
- ขีดเส้น7วัน! สคส.สั่งระงับ-ลบข้อมูล 1.2 ล้านราย สแกนม่านตาแลกคริปโต-DSI ขยายผล
MOU กระทรวงดีอี-บ.สิงคโปร์
- ‘ไชยชนก’ สั่งยกเลิก MOU บ.สิงคโปร์ หลังพบพิรุธเพียบ รับอาจเอี่ยวบุคคลโดนสหรัฐฯคว่ำบาตร
- เปิดเอกสารเต็ม MOU กระทรวง DE-บ.สิงคโปร์ หาผู้เชี่ยวชาญ IT 500 คน ทำศูนย์การเงินดิจิทัล
- เปิดภาพพิธีลงนามMOUกระทรวง DE-บ.สิงคโปร์ 'ธรรมนัส-เบน-นฤมล' ให้เกียรติร่วมเป็นสักขีพยาน
- ‘ธรรมนัส’ยังไม่ตอบภาพร่วม ‘เบน สมิธ’ โผล่ MOU งาน ‘ดีอี’ ขอเอาเรื่องบ้านเมืองก่อน

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา