"...ผู้เข้าร่วมโครงการจะร่วมมือกันและทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การจัดสรรบุคลากรด้านไอที จำนวนเริ่มต้น 500 คน (เรียกว่า "ผู้เชี่ยวชาญไอที") สำหรับการดำเนินโครงการในช่วงระยะเวลาการดำเนินงานนั้นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย รวมทั้งร่วมมือกันในการจัดสรรทรัพยากรมนุษย์ โครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ และโครงสร้างพื้นฐานทางไอทีตามความจำเป็น เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการได้อย่างสมบูรณ์แบบ..."
หมายเหตุ สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org): สืบเนื่องจากที่นายทอม ไรต์ สื่อมวลชนอิสระ อดีตผู้สื่อข่าวสำนักข่าววอลสตรีทเจอร์นัล (WSJ) และหนึ่งในผู้สื่อข่าวที่เปิดโปงการทุจริต เงินกองทุนเพื่อการพัฒนาของรัฐ “1 มาเลเซีย ดีเวลอปเมนต์ เบอร์ฮัด" (1MDB) ได้เผยแพร่บทความลงบนเว็บไซต์ Whalehunting.projectbrazen.com ตอนหนึ่งเกี่ยวกับรายละเอียดการทำบันทึกความเข้าใจหรือ MOU ระหว่างกระทรวงพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมหรือดีอี กับบริษัทสิงคโปร์ชื่อว่า Prime Opportunity Fund VCC
โดยในบทความของนายทอม ไรต์ อ้างว่านายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ หรือเบน สมิธ บุคคลที่อยู่ในรายชื่อร่างกฎหมายของสหรัฐอเมริกา เพื่อคว่ำบาตรกลุ่มสแกมเมอร์ มีความเกี่ยวข้องกับบริษัทนี้ด้วย
จากรายงานดังกล่าวทำให้นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี ได้มอบหมายให้นายพชร อนันตศิลป์ ปลัดกระทรวงดีอี ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
เพื่อให้สาธารณชนรับทราบข้อมูลเรื่องนี้มากขึ้น สำนักข่าวอิศรา จึงได้นำรายละเอียดเกี่ยวกับ MOU ดังกล่าว ฉบับเต็ม มานำเสนอ มีรายละเอียดดังนี้
MOU ฉบับนี้จัดทำขึ้นระหว่างกระทรวงดีอีและบริษัทPrime Opportunity Fund VCC คือบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศสิงคโปร์ โดยเป็นบริษัทบริษัท variable capital company (VCC) *
มีหมายเลขทะเบียน T23VC0208B และมีที่อยู่จดทะเบียนที่ 160 Robinson Road, #24-08 SBF Center, Singapore 068914 ซึ่งใน MOU ฉบับนี้จะเรียกบริษัท Prime Opportunity ว่าผู้พัฒนา

อาคาร SBF Center ที่ตั้งของบริษัท Prime Opportunity Fund VCC
กระทรวงเศรษฐกิจดิจิทัลและสังคม (MDES) และผู้พัฒนา (Developer) จะถูกเรียกรวมกันในที่นี้ว่า 'ผู้เข้าร่วม' (Participants) และเรียกแยกกันว่า 'ผู้เข้าร่วม' (Participant)
"ข้อกำหนดในบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ (ซึ่งเรียกว่า 'ข้อตกลงหลัก') เป็นการกำหนดเงื่อนไขสำคัญเกี่ยวกับความร่วมมือที่วางแผนไว้ร่วมกัน (ซึ่งเรียกว่า 'โครงการ') และกำหนดดังต่อไปนี้
@การแนะนำโครงการ
ประโยชน์ของบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ (ซึ่งเรียกว่า "ข้อตกลงหลัก") คือการชี้แจงเป้าหมายหลัก ข้อตกลง และจิตวิญญาณของความร่วมมือร่วมกันระหว่างผู้เข้าร่วมโครงการ (ซึ่งเรียกว่า "ผู้เข้าร่วม") โดยหลัก โครงการมีลักษณะเป็นโครงการนำร่องเพื่อการพัฒนาและส่งเสริมศูนย์ธุรกิจดิจิทัลสำหรับประเทศไทย ซึ่งในบันทึกนี้จะเรียกชื่อว่า ศูนย์ธุรกิจและการเงินดิจิทัลนานาชาติประเทศไทย (TIDC)
การดำเนินการพัฒนานี้จะเกิดขึ้นภายใต้สภาพแวดล้อมการทดสอบภายใต้ระเบียบควบคุม ซึ่งในบันทึกนี้จะเรียกว่า "Digital Economy Regulatory Sandbox" (DERS) โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการศึกษา พัฒนา และจัดทำกรอบงานและเครื่องมือเพื่อส่งเสริมและพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย
@เป้าหมายของโครงการ
เป้าหมายหลักของโครงการ คือให้ผู้เข้าร่วมโครงการร่วมกันศึกษา พัฒนา และกำหนดศักยภาพและความเป็นไปได้ของศูนย์ธุรกิจดิจิทัลและการเงินระหว่างประเทศของไทย (TIDC) โดยดำเนินงานผ่านสภาพแวดล้อมการทดสอบแบบปิดซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อใช้เป็นพื้นที่ทดสอบและพัฒนาแนวคิดและระบบดิจิทัลต่าง ๆ ภายใต้การควบคุมของกระทรวง หรือที่เรียกว่า Digital Economy Regulatory Sandbox (DERS)
TIDC มีเป้าหมายที่จะสร้างศูนย์ธุรกิจดิจิทัลและออนไลน์ที่ไม่เหมือนใครในระดับโลก รุ่นถัดไป เพื่อสนับสนุนนวัตกรรมในสินทรัพย์ดิจิทัลและเสมือนจริง บริการออนไลน์ และอุตสาหกรรมดิจิทัล ภายใต้ระบบนิเวศที่มีการกำกับดูแลอย่างเหมาะสม มีประสิทธิภาพ และส่งเสริมธุรกิจ ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยและอยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงเศรษฐกิจดิจิทัลและสังคม (MDES)
DERS รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีและระบบ จะถูกทดสอบและตรวจสอบ เพื่อกำหนดความเป็นไปได้ที่ TIDC จะสามารถดำเนินงานเป็นศูนย์ธุรกิจและการเงินดิจิทัลได้และดึงดูดการลงทุนและกิจกรรมทางเศรษฐกิจมายังประเทศไทย
DERS ถูกออกแบบให้เป็นระบบนิเวศดิจิทัลที่บริการธุรกิจดิจิทัลและออนไลน์ สตาร์ทอัพ ฟินเทค และบริษัทเปลี่ยนเทคโนโลยีระดับชั้นนำในรูปแบบโซนเศรษฐกิจเสรีดิจิทัล ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการกำกับดูแลทั่วโลกในเรื่องต่าง ๆ เช่น การประมวลผลและจัดการข้อมูล ความเป็นส่วนตัว การจัดเก็บภาษี ทรัพย์สินทางปัญญา และคำจำกัดความของเขตอำนาจในพื้นที่ดิจิทัล
DERS จะมีความสามารถในการบังคับใช้กฎระเบียบที่เกี่ยวกับการไหลของเงิน ป้องกันการฟอกเงิน (AML), รู้จักลูกค้า (KYC), และรู้จักธุรกรรม (KYT) รวมทั้งส่งเสริมการกำหนดนโยบายที่เอื้อต่อธุรกิจและนวัตกรรม
ระบบและโครงสร้างพื้นฐาน IT จะผนวกเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเรียนรู้ของเครื่อง (ML) ซึ่ง DERS จะถูกทดสอบตามมาตรฐานเหล่านี้โดยผู้เข้าร่วมโครงการทั้งสองฝ่าย
จุดประสงค์เพื่อช่วยศึกษาและพัฒนาความสามารถของ TIDC ในการส่งเสริมกิจกรรมทางธุรกิจและประโยชน์อื่น ๆ ต่อประเทศไทย เช่น การสร้างงาน การเพิ่มทักษะ และการถ่ายทอดเทคโนโลยีในภาคอุตสาหกรรมดิจิทัลที่มีมูลค่าสูงและเทคโนโลยีขั้นสูง รวมถึงทำหน้าที่เป็นพื้นที่ทดสอบนโยบายเทคโนโลยีของภาครัฐ (TGT Policies) ที่จะนำไปใช้อย่างกว้างขวางในอนาคต
@เงื่อนไข
โครงการมีระยะเวลาดำเนินการเริ่มต้น 36 เดือน (สามปี) ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว ผู้เข้าร่วมโครงการจะทำการศึกษา พัฒนา และประเมินศักยภาพ ข้อจำกัด และการประยุกต์ใช้ทางกฎระเบียบของแนวคิด TIDC ผ่านสภาพแวดล้อมการทดสอบ DERS regulatory sandbox
ระยะเวลาโครงการสามารถขยายได้ตามความเห็นชอบร่วมกันของผู้เข้าร่วมโครงการระหว่างช่วง 36 เดือนนี้
ผู้เข้าร่วมโครงการทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงยุติ MOU ก่อนครบกำหนดเวลาที่กำหนดได้เช่นกัน
@กลุ่มเป้าหมายภาคเและหัวข้อสำคัญ
กลุ่มเป้าหมายภาคเศรษฐกิจและหัวข้อสำคัญที่รวมอยู่ใน MOU ได้แก่กลุ่มภาคเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ซึ่งถูกออกแบบให้รวมอยู่ในสภาพแวดล้อมของแซนด์บ็อกซ์ DERS เพื่อทดสอบความทนทาน ขีดจำกัด และความสามารถของระบบในสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกับสถานการณ์จริงมากที่สุด
โดยกลุ่มเป้าหมายมีดังต่อไปนี้
-ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลและเสมือนจริง
-บริษัทดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลและการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์
-การทำธุรกรรมสกุลเงินดิจิทัลและระบบการชำระเงิน
-ตลาดแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลและการซื้อขายหลักทรัพย์/ตราสารอนุพันธ์
- ฟินเทค, ธนาคารดิจิทัล, หลักทรัพย์, การบริหารจัดการสินทรัพย์, การลงทุน & การบริหารกองทุน และบริการประกันภัยออนไลน์
- พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่เน้นสินทรัพย์ดิจิทัลและเสมือนจริง
-การแปลงหลักทรัพย์ให้เป็นโทเคนดิจิทัล
-ผู้ให้บริการและประมวลผลการชำระเงินออนไลน์
-ผู้ให้บริการบัญชี, บริหารและการเงินออนไลน์, งานเลขานุการบริษัท และบริการทางกฎหมายออนไลน์
-บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกและสตาร์ทอัพรวมถึงการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ภูมิภาคดิจิทัลสำหรับบริษัทเหล่านี้
- บริษัทด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์, การเข้ารหัสข้อมูล และการจัดการข้อมูล
-ผู้เชี่ยวชาญด้านกราฟิกคอมพิวเตอร์ (CGI) สำหรับวิดีโอเกม, กีฬาอิเล็กทรอนิกส์, ภาพยนตร์, โทรทัศน์, สตรีมมิ่งและงานผลิตสื่อ
-บริการเกมออนไลน์และการพนันกีฬา
-ผู้พัฒนาเกมและแอปพลิเคชัน รวมถึงร้านค้าเกมออนไลน์
- ทรัพย์สินทางปัญญาดิจิทัล และกองทุนวิจัยและพัฒนา รวมถึงสิ่งที่ขับเคลื่อนการลงทุน
-ข้อมูล, วิทยาศาสตร์ชีวิตและสุขภาพ
@บันทึกที่สำคัญ
"ผู้เข้าร่วมโครงการเห็นชอบและพิจารณาว่าสำคัญที่จะต้องทราบว่า ในระหว่างระยะเวลาของโครงการ และภายใต้ขอบเขตอำนาจของ DERS regulatory sandbox สถานการณ์ การดำเนินกิจกรรม ธุรกรรม หรือการจำลองทั้งหมด (ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกรวมว่า "ธุรกรรม") ที่ดำเนินการเพื่อวัตถุประสงค์ในการทดสอบระบบและเป็นการทดลองนำร่องโครงการเพื่อการศึกษาและพัฒนาต่อไปนั้น จะกระทำขึ้นเพื่อการทดสอบเท่านั้น และดำเนินการภายในสภาพแวดล้อมการทดสอบปิด ดังนั้น ธุรกรรมที่กล่าวมานี้จะเป็นเพียงเพื่อวัตถุประสงค์ในการทดสอบ ทดลอง และจำลองเท่านั้น และจะไม่ถือเป็นธุรกรรมจริงในโลกแห่งความเป็นจริงแต่อย่างใด"
@การจัดสรรทรัพยากร
"ผู้เข้าร่วมโครงการจะร่วมมือกันและทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การจัดสรรบุคลากรด้านไอที จำนวนเริ่มต้น 500 คน (เรียกว่า "ผู้เชี่ยวชาญไอที") สำหรับการดำเนินโครงการในช่วงระยะเวลาการดำเนินงานนั้นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย รวมทั้งร่วมมือกันในการจัดสรรทรัพยากรมนุษย์ โครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ และโครงสร้างพื้นฐานทางไอทีตามความจำเป็น เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการได้อย่างสมบูรณ์แบบ
กระทรวงเศรษฐกิจดิจิทัลและสังคม (MDES) จะจัดหา หรืออนุญาตให้มีสภาพแวดล้อม regulatory sandbox (สภาพแวดล้อมการทดสอบที่จัดตั้งขึ้นโดยหน่วยงานกำกับดูแล) ซึ่งจำเป็นต่อการทดสอบ โดยจะจัดตั้งขึ้นร่วมกับผู้พัฒนา
ผู้เข้าร่วมโครงการจะร่วมมือและจัดเตรียมทรัพยากรบุคคลที่จำเป็น บุคคลติดต่อหลัก และช่องทางการสื่อสารในช่วงระยะเวลาของโครงการ เพื่อสร้างวงจรป้อนกลับข้อมูลที่มีความหมายและมีคุณค่า เช่น ข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ การสนทนาเชิงสร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมการศึกษาและพัฒนาของ DERS sandbox และแนวคิด TIDC ซึ่งอาจจะมีการสื่อสารในรูปแบบทั้งปากเปล่าและลายลักษณ์อักษร รายงานอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ เป็นต้น"
@การทดสอบโครงการและเกณฑ์วัดผล
การทดสอบและประเมินผลระบบภายในโครงการผ่านสภาพแวดล้อมการทดสอบที่เรียกว่า DERS sandbox ซึ่งถูกออกแบบมาให้เป็นศูนย์กลางการควบคุมและสั่งการ (monitoring capability and command hub) โดยสามารถทดสอบระบบภายใต้สถานการณ์และรูปแบบต่าง ๆ อย่างหลากหลาย เช่น การทดสอบในสถานการณ์จำลอง (scenarios) เพื่อวัดความสามารถและความเสถียรของระบบ
หลักการออกแบบหลักอีกข้อหนึ่งคือ การสร้างระบบที่มีความน่าเชื่อถือ , ความยืดหยุ่น (resilience), ความปลอดภัย และความสามารถปรับตัวได้ ภายในระบบนิเวศดิจิทัล รวมทั้งความสามารถของ MDES ในการตรวจสอบและบังคับใช้กฏเกณฑ์ใน DERS sandbox และมีขีดความสามารถในการวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลจำนวนมากจากธุรกรรมและกิจกรรมที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้เกณฑ์วัดผลที่จะใช้ในการประเมินโครงการ อาจรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง
-การทดสอบระบบในยุคถัดไป
-การเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต
-การสร้างความน่าเชื่อถือ ความมั่นคง และความยืดหยุ่นของระบบ
-การประเมินสโคปสำหรับการศึกษาและพัฒนาต่อไป
-การประเมินเชิงกลยุทธ์และความเหมาะสมในมุมมองของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทั้งทางเศรษฐกิจ กฎระเบียบ สังคม และการกำกับดูแล
@ทรัพย์สินทางปัญญา
ผู้เข้าร่วมโครงการตกลงว่าระบบทั้งหมด โครงสร้างพื้นฐานด้านไอที สถาปัตยกรรม และแอปพลิเคชัน ไม่ว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของระบบ/โครงสร้าง/สถาปัตยกรรมเดียว หรือชุดของระบบ/โครงสร้าง/สถาปัตยกรรม ไม่ว่าจะโดยบางส่วนหรือทั้งหมด เว้นแต่จะถูกจัดหาโดยกระทรวงเศรษฐกิจดิจิทัลและสังคม (MDES) ถือว่าไม่ใช่ทรัพย์สินทางปัญญาของผู้อื่น ทั้งหมดจะยังคงเป็นทรัพย์สินทางปัญญาเฉพาะของฝ่ายผู้พัฒนา และข้อมูลหรือความรู้ที่เกี่ยวข้องจะอยู่ภายใต้ข้อกำหนดเรื่องความลับตามเงื่อนไขของบันทึกความเข้าใจฉบับนี้
@ภาระผูกพันธ์เพิ่มเติม
ในระหว่างโครงการ ผู้ร่วมโครงการจะต้องทำงานร่วมกันอย่างมีความร่วมมือเพื่อให้แน่ใจว่าในกรณีที่มีความจำเป็น บทบาท หน้าที่ ความรับผิดชอบ ทรัพยากรที่ต้องใช้ ข้อผูกพัน และขั้นตอนสำคัญต่าง ๆ ของผู้ร่วมโครงการหรือผู้ร่วมโครงการแต่ละราย ยังคงถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจนและระบุได้ การประเมินผลเต็มรูปแบบและขั้นสุดท้ายของโครงการจะดำเนินการโดยมีข้อมูลจากผู้ร่วมโครงการทั้งสองฝ่าย และอาจดำเนินการเป็นช่วง ๆ ตลอดระยะเวลาของโครงการ หรือก่อนที่จะสิ้นสุดระยะเวลา การประเมินจะใช้เกณฑ์ที่กำหนดร่วมกันโดยผู้ร่วมโครงการ ซึ่งอาจรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง:
- ขอบเขตสำหรับการศึกษาเพิ่มเติมและการพัฒนา
- การดำเนินการเชิงกลยุทธ์และปฏิบัติ
- ความเป็นไปได้จากมุมมองของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียด้านต่าง ๆ ทั้งทางเศรษฐกิจ กฎระเบียบ สังคม การบริหารจัดการ และประเด็นอื่น ๆ
ผู้ร่วมโครงการตกลงที่จะให้ความร่วมมืออย่างยืดหยุ่นและมีจิตวิญญาณแห่งความร่วมมือ
@ค่าใช้จ่าย
ผู้พัฒนาจะเป็นฝ่ายรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวสำหรับค่าใช้จ่ายและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในโครงการนี้
@กรณีเกี่ยวข้องกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ (MOU) จะอยู่ภายใต้การบังคับใช้ของกฎหมายที่ใช้บังคับในราชอาณาจักรไทย และในกรณีที่มีข้อบังคับใดที่ไม่ได้กล่าวถึงไว้ ก็จะมีข้อกำหนดซึ่งเป็นไปตามธรรมเนียม หรือข้อกำหนดทางกฎหมายที่กำหนดไว้สำหรับสัญญาประเภทนี้ รวมถึง แต่ไม่จำกัดเพียง เรื่องการบริหารงาน ตัวแทนและการรับประกันที่เหมาะสม สิทธิและหน้าที่ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และข้อกำหนดและเงื่อนไขอื่น ๆ ที่สอดคล้องกับแนวปฏิบัติทั่วไปของตลาด หรือระเบียบปฏิบัติ
@ความลับ
ผู้เข้าร่วมแต่ละฝ่ายต้องเก็บรักษาความลับอย่างเคร่งครัดเกี่ยวกับการเจรจาทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการทำ MOU ฉบับนี้ รวมถึงการมีอยู่และเนื้อหาของ MOU นี้ รวมทั้งการสื่อสารอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับข้อตกลงนี้ เหล่านี้ ห้ามเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้โดยมิได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้าจากผู้เข้าร่วมฝ่ายอื่น ยกเว้นจะเปิดเผยให้กับบริษัทในเครือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกรรมการ พนักงาน และที่ปรึกษาของแต่ละฝ่ายบนพื้นฐานที่จำเป็นต้องทราบเท่านั้น
ทั้งนี้ รวมถึงข้อห้ามอย่างเคร่งครัดในการพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ดังกล่าวในที่สาธารณะ ในสื่อมวลชน หรือในสื่อหรือช่องทางใดๆ โดยไม่คำนึงถึงความคืบหน้าของโครงการ
อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดนี้จะไม่บังคับใช้ในกรณีที่มีการประกาศหรือเปิดเผยข้อมูลตามที่กฎหมายบังคับใช้ กิจการของหน่วยงานรัฐบาลหรือหน่วยงานกำกับดูแลที่มีอำนาจตามกฎหมาย หรือ ตามกฎระเบียบขององค์กรกำกับดูแลตลาดหลักทรัพย์หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือในกรณีที่มีคำสั่งทางกฎหมายจากศาลหรืออนุญาโตตุลาการ
@การไม่มีภาระผูกพัน
MOU ฉบับนี้และข้อกำหนดหลักเหล่านี้ไม่ตั้งใจให้มีผลผูกพันทางกฎหมายต่อผู้เข้าร่วม
@กฎหมายที่ใช้บังคับและการระงับข้อพิพาท
MOU และข้อตกลงหลักเหล่านี้จะถูกตีความและดำเนินการภายใต้กฎหมายของราชอาณาจักรไทย
บันทึกความเข้าใจ (MOU) ฉบับนี้สามารถลงนามแยกกันเป็นหลายชุดสำเนา (counterparts) ซึ่งแต่ละชุดสำเนาจะถือว่าเป็นต้นฉบับจริงและทั้งหมดของชุดสำเนานั้นเมื่อนำมารวมกันจะถูกพิจารณาว่าเป็นเอกสารฉบับเดียวกันและมีผลเท่ากัน





ทั้งหมดนี้ เป็นรายละเอียดฉบับเต็ม ในบันทึกความเข้าใจ หรือ MOU ระหว่าง กระทรวงพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมหรือดีอี กับบริษัทสิงคโปร์ชื่อว่า Prime Opportunity Fund VCC ที่นายทอม ไรต์ อ้างว่านายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ หรือเบน สมิธ บุคคลที่อยู่ในรายชื่อร่างกฎหมายของสหรัฐอเมริกา เพื่อคว่ำบาตรกลุ่มสแกมเมอร์ มีความเกี่ยวข้องกับบริษัทนี้ ที่สำนักข่าวอิศรา ตรวจสอบพบล่าสุด
ขณะที่ก่อนหน้านี้ นางสาวสุชาดา ซาง แทนทรัพย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และโฆษกกระทรวงดีอี เปิดเผยว่า นายไชยชนก ได้มีการมอบหมายให้ นายพชร อนันตศิลป์ ปลัดกระทรวงดีอี ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีนี้ เพื่อพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายต่อไป
“นายไชยชนก ได้เร่งรัดให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงในกรณีที่มีการเผยแพร่เอกสารข้อตกลงระหว่างกระทรวงดีอี และ Prime Opportunity Fund VCC โดยด่วนที่สุด ซึ่งขณะนี้ ปลัดกระทรวงดีอี กำลังเร่งดำเนินการตรวจสอบความเชื่อมโยงของเอกสารดังกล่าวกับขบวนการฟอกเงินระดับโลก และหากพบว่าบุคคลใด มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการดังกล่าวจะมีการดำเนินการตามกฎหมายอย่างถึงที่สุด” นางสาวสุชาดา กล่าว
เบื้องต้น มีรายงานข่าวว่า ผู้บริหารกระทรวงดีอี จะมีการเปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนถึงกรณีเป็นทางการ ในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 นี้
รายละเอียดเป็นอย่างไร ติดตามดูกันต่อไป

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา