
กสม. เผยผลตรวจสอบเหตุแรงงานไทยเก็บเบอร์รี่ในสวีเดน-ฟินแลนด์ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน บังคับใช้แรงงาน ให้ค่าจ้างไม่เป็นธรรม ยึดพาสปอร์ต และทำงานหนักเกินจริง ชี้กรมการจัดหางานและดีเอสไอมีความละเลย แนะเร่งสอบสวนคดีค้ามนุษย์ล่าช้า พร้อมเสนอภาครัฐจัดทำข้อตกลงจัดส่งแรงงานแบบรัฐต่อรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิแรงงานอย่างมีประสิทธิภาพ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานข่าวความคืบหน้าในการดำเนินงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ต่อเหตุที่แรงงานไทยที่ไปเก็บเบอร์รี่ในต่างประเทศถูกละเมิดสิทธิ
โดยนางสาวสุภัทรา นาคะผิว กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนผ่านสำนักงาน กสม. พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเมื่อเดือนกันยายน 2566 ระบุว่า กระทรวงแรงงานโดยกรมการจัดหางาน (ผู้ถูกร้องที่ 1) และกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (ผู้ถูกร้องที่ 2) รวมทั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ (ผู้ถูกร้องที่ 3) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากแรงงานไทยที่ไปเก็บเบอร์รี่ (ผลไม้ป่า) ในสวีเดนและฟินแลนด์ แต่แก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนล่าช้า
กรณีบริษัทผู้ประสานงานของไทยที่นำแรงงานไปทำงานไม่ปฏิบัติตามสัญญาจ้างแรงงานและกฎหมายแรงงานที่เกี่ยวข้อง ค่าจ้างและผลตอบแทนไม่เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ แรงงานต้องรับภาระหนี้สินและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ สูงเกินจริง หักเงินค่าจ้างใช้หนี้โดยไม่เป็นธรรม ยึดหนังสือเดินทาง ข่มขืนใจให้ทำงานไม่ต่ำกว่าวันละ 14 - 18 ชั่วโมง ทำให้ต้องอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ จำยอมต้องทำงาน เป็นการบังคับใช้แรงงาน อาจเข้าข่ายการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ จึงขอให้ตรวจสอบ
กสม. ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้วปรากฏว่า ตั้งแต่ปี 2540–2567 แรงงานไทยเดินทางไปเก็บผลไม้ป่าในสวีเดนและฟินแลนด์ทุกปีในระหว่างเดือนกรกฎาคม–ตุลาคม โดยกรณีของสวีเดน บริษัทผู้ประสานงานในไทยในฐานะนายจ้างจะขออนุญาตพาลูกจ้างไปทำงาน โดยทำสัญญาจ้างแรงงานและขออนุญาตจากกรมการจัดหางานตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
ส่วนกรณีของฟินแลนด์ แรงงานส่วนใหญ่แจ้งการเดินทางไปทำงานด้วยตนเอง หรือผ่านบริษัทผู้ประสานงาน โดยใช้วีซ่า Schengen และไปทำสัญญาจ้างแรงงานกับนายจ้างซึ่งจดทะเบียนมีสำนักงานใหญ่และสถานที่ทำการในฟินแลนด์ ถือเป็นการจ้างงานนอกราชอาณาจักร ไม่อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
ตั้งแต่ปี 2565 มีการร้องเรียนเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิแรงงานและการค้ามนุษย์ในฟินแลนด์ และเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 กฎหมายคุ้มครองแรงงานตามฤดูกาลของฟินแลนด์มีผลบังคับใช้ โดยกำหนดให้แรงงานที่ไปเก็บผลไม้ป่า รวมถึงแรงงานที่ทำกิจกรรมในพื้นที่ป่าเป็นแรงงานตามฤดูกาล ต้องมีใบอนุญาตทำงานตามฤดูกาล ทดแทนการใช้วีซ่า Schengen
ส่วนการเดินทางไปเก็บผลไม้ป่าที่สวีเดนเมื่อปี 2568 กรมการจัดหางานได้เปลี่ยนวิธีจากนายจ้างในไทยขออนุญาตพาลูกจ้างไปทำงานในต่างประเทศโดยทำสัญญาจ้างแรงงานในไทย เป็นการแจ้งการเดินทางไปทำงานด้วยตนเองและทำสัญญากับนายจ้างในสวีเดนโดยตรง และมีสถานะเป็นแรงงานตามฤดูกาลเช่นเดียวกับฟินแลนด์
เมื่อพิจารณาถึงปัญหาที่แรงงานร้องเรียน ส่วนใหญ่เกิดมาจากการกระทำของบริษัทผู้ประสานงานที่ดำเนินการในลักษณะเดียวกับบริษัทจัดหางานและยังเป็นตัวแทนของนายจ้างในสวีเดนและฟินแลนด์ เช่น การเรียกเก็บและการหักค่าใช้จ่ายที่ไม่เป็นธรรม สภาพที่พักอาศัยและอาหารที่ไม่เหมาะสม ถูกกดราคารับซื้อ และถูกบังคับใช้แรงงาน แม้สวีเดนและฟินแลนด์ได้ปรับเปลี่ยนสถานะของแรงงานเก็บผลไม้ป่าเป็นแรงงานตามฤดูกาลและมีใบอนุญาตทำงานตามฤดูกาล เพื่อคุ้มครองแรงงานตามกฎหมายของประเทศทั้งสองแล้ว
แต่ไม่ได้กำหนดรูปแบบการเดินทางไปทำงานในแต่ละประเทศไว้เป็นการเฉพาะ นอกจากนี้ ยังพบว่า การดำเนินการของบริษัทผู้ประสานงานมีลักษณะเช่นเดียวกับบริษัทจัดหางาน แต่สามารถตั้งขึ้นได้ง่ายโดยไม่ต้องขออนุญาตจากกรมการจัดหางาน ต่างจากการจัดตั้งบริษัทจัดหางานที่ต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528
กสม. เห็นว่าการที่กรมการจัดหางานทราบถึงปัญหาที่เกิดจากการกระทำของบริษัทผู้ประสานงาน และสามารถป้องกันปัญหาโดยใช้หน้าที่และอำนาจกำหนดวิธีการเดินทางไปทำงานในต่างประเทศและมาตรการที่เหมาะสมเพื่อคุ้มครองแรงงานได้
แต่กลับยังคงให้แรงงานแจ้งการเดินทางไปทำงานด้วยตนเองเช่นเดิม ส่งผลให้แรงงานที่มีข้อจำกัดด้านภาษาและกฎระเบียบต่าง ๆ ยังคงต้องพึ่งพาบริษัทผู้ประสานงาน จึงเสี่ยงที่จะถูกหลอกลวง ละเมิดสิทธิแรงงาน และถูกบังคับใช้แรงงานได้ต่อไป อันเป็นการกระทำที่ไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR) ที่ได้รับรองสิทธิแรงงานและกำหนดให้รัฐคุ้มครองแรงงานให้ได้รับความปลอดภัยและมีสุขอนามัยที่ดีในการทำงาน มีสภาพการทำงานที่ยุติธรรม และได้รับค่าจ้างที่เป็นธรรม
ในชั้นนี้ จึงรับฟังได้ว่า กรมการจัดหางาน (ผู้ถูกร้องที่ 1) มีการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อแรงงานผู้ร้อง
ในส่วนของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (ผู้ถูกร้องที่ 2) เห็นว่า ในช่วงเดือนตุลาคม 2562-มกราคม 2566 เมื่อแรงงานที่กลับมาจากสวีเดนได้ยื่นคำร้องรวม 12 คำร้อง ขอให้ตรวจสอบกรณีบริษัทค้างจ่ายค่าจ้าง และพนักงานตรวจแรงงานได้ออกคำสั่งให้บริษัททั้งสองจ่ายค่าจ้างให้แก่แรงงานให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน จึงเป็นกรณีที่ผู้ถูกร้องที่ 2 ได้ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจในเวลาอันควร จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่ามีการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
สำหรับการดำเนินงานของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ (ผู้ถูกร้องที่ 3) เห็นว่า ตั้งแต่ปี 2559 - 2566 ดีเอสไอได้รับเรื่องร้องเรียนกรณีแรงงานไทยเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ในฟินแลนด์เป็นคดีพิเศษ 2 คดี โดยคดีหนึ่งพบว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐระดับสูงเข้าไปเกี่ยวข้องในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ดีเอสไอจึงได้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เพื่อดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจ ขณะที่อีกคดีอยู่ระหว่างการสอบสวน โดยดีเอสไอแจ้งว่าจะดำเนินการภายในอายุความคดีอาญา อย่างไรก็ดี กสม. เห็นว่า เมื่อปี 2564 ศาลฎีกาของฟินแลนด์ได้มีคำพิพากษาให้กรรมการบริษัทในคดีดังกล่าวกระทำผิดฐานค้ามนุษย์
ดีเอสไอจึงย่อมสามารถใช้ประโยชน์จากคำพิพากษาดังกล่าวเพื่อประกอบการดำเนินการได้ แต่การดำเนินคดีที่ล่าช้าของดีเอสไอในขณะนี้อาจส่งผลให้บริษัทผู้ประสานงานใช้เป็นช่องว่างไปตั้งบริษัทใหม่ เพื่อหลอกลวงแรงงานไปทำงานในสวีเดนและฟินแลนด์และเกิดการค้ามนุษย์ขึ้นอีกดังเช่นที่เคยเกิดขึ้น
นอกจากนี้ การที่ดีเอสไอ ยังไม่ได้ยืนยันว่า นายจ้างและบริษัทผู้ประสานงานกระทำความผิดในข้อหาค้ามนุษย์ ส่งผลให้แรงงานที่ไปยื่นขอรับความช่วยเหลือและเยียวยาความเสียหายจากกองทุนเพื่อการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ยังคงต้องรอการเยียวยาต่อไป ในชั้นนี้ จึงรับฟังได้ว่า ดีเอสไอ (ผู้ถูกร้องที่ 3) มีการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2568 จึงมีมติให้มีข้อเสนอแนะในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชนไปยังกรมการจัดหางาน (ผู้ถูกร้องที่ 1) ให้รวบรวมปัญหาที่เกิดขึ้นกับแรงงานไทยที่ไปเก็บผลไม้ป่าในสวีเดนและฟินแลนด์และเสนอให้กระทรวงแรงงานร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศเจรจากับทั้งสองประเทศเพื่อจัดทำข้อตกลงจัดส่งแรงงานไปเก็บผลไม้ป่าในรูปแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) หรือรูปแบบอื่นใดที่สามารถคุ้มครองสิทธิแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันไม่ให้แรงงานถูกเอารัดเอาเปรียบและตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์
เช่น การกำหนดให้แรงงานต้องทำสัญญาจ้างแรงงานทั้งกับนายจ้างในไทยและนายจ้างในสวีเดนและฟินแลนด์เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายไทยและกฎหมายของทั้งสองประเทศ พร้อมทั้งให้จัดหาเจ้าหน้าที่เพื่อช่วยเหลือแรงงานที่จะเดินทางไปเก็บผลไม้ป่าในแต่ละฤดูกาลในการดำเนินการที่จำเป็น เช่น การขอใบอนุญาตทำงาน การช่วยประสานกับนายจ้างหรือตัวแทนของนายจ้างในสวีเดนและฟินแลนด์โดยตรง เพื่อลดการพึ่งพิงบริษัทผู้ประสานงาน
ทั้งนี้ หากแรงงานต้องทำสัญญาจ้างแรงงานในสวีเดนและฟินแลนด์ สัญญาจ้างแรงงานจะต้องมีเงื่อนไขตามมาตรฐานที่กรมการจัดหางานกำหนด และให้แก้ไขกฎหมายเพื่อกำกับดูแลบริษัทผู้ประสานงาน โดยกำหนดให้บริษัทผู้ประสานงานที่นำแรงงานไทยไปทำงานในต่างประเทศเป็นบริษัทจัดหางานที่ต้องขออนุญาตจัดหางานจากนายทะเบียนจัดหางานกลาง ตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
นอกจากนี้ ให้ ดีเอสไอ (ผู้ถูกร้องที่ 3) เร่งรัดสอบสวนคดีค้ามนุษย์ที่อยู่ในความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องกับแรงงานที่ไปเก็บผลไม้ป่าในสวีเดนและฟินแลนด์ให้แล้วเสร็จ เพื่อปราบปรามการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์และป้องปรามความผิดที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต
ส่วนข้อเสนอแนะในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ให้กรมการจัดหางานจัดตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้นกับแรงงานที่ไปเก็บผลไม้ป่าในสวีเดนและฟินแลนด์ โดยมีตัวแทนของแรงงานที่ได้รับความเสียหายร่วมเป็นคณะกรรมการ และประสานกระทรวงการต่างประเทศเพื่อให้ความช่วยเหลือแรงงานที่ฟ้องคดีค้ามนุษย์และคดีพิพาทแรงงานต่าง ๆ ต่อหน่วยงานของสวีเดนและฟินแลนด์จนกว่าคดีจะถึงที่สุด
พร้อมทั้งให้จัดเวทีสาธารณะในจังหวัดเป้าหมายที่จะมีแรงงานไทยไปเก็บผลไม้ป่า เพื่อชี้แจงและทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเดินทาง สัญญาจ้าง สิทธิของแรงงาน ข้อควรปฏิบัติในการทำงาน รวมถึงช่องทางขอความช่วยเหลือในกรณีที่เกิดปัญหาจากการจ้างงานด้วย

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา