ศาลอาญาธนบุรี พิพากษาจำคุกหนัก กลุ่มวัยรุ่น 22 คน บุก ร.ร.มัธยมวัดสิงห์ฯ โทษสูง 13-19 ปี แต่รอการลงโทษ 2 ปี สั่งชดใช้เงินแก่โรงเรียนและผู้เสียหายรวม 1.47 แสนบาท ชี้การร่วมกันบุกรุก-ใช้กำลังประทุษร้าย เข้าไปมั่วสุมก่อความวุ่นวายในโรงเรียนถือเป็นการข่มขืนใจผู้อื่น

ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2562 ศาลอาญา ธนบุรี อ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง กลุ่มวัยรุ่นรวม 22 รายเป็นจำเลย กรณีเมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2562 กลุ่มวัยรุ่นบุกโรงเรียนมัธยมวัดสิงห์ขณะที่มีการสอบ GAT/PAT โดยร่วมกันกระทำความผิดฐานมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป เพื่อก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ร่วมกันบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้าย ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหายรวม 15 คน ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ของผู้เสียหาย 2 ราย ร่วมกับข่มขืนใจผู้อื่น ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวัด และจำเลยที่ 2 มีการกระทำความผิดฐานอนาจาร
โดยศาลพิพากษาจำคุก จำเลยที่ 1 และที่ 18 จำคุกคนละ 15 ปี 11 เดือน จำเลยที่ 2 จำคุก 17 ปี 5 เดือน จำเลยที่ 3 จำคุก 13 ปี 2 เดือน 15 วัน จำเลยที่ 4 ที่ 10 ที่ 12 และที่ 15 จำคุกคนละ 18 ปี 11 เดือน จำเลยที่ 7 และที่ 9 จำคุกคนละ 13 ปี 7 เดือน 10 วัน จำเลยที่ 11 จำคุก 13 ปี 10 เดือน 15 วัน จำเลยที่ 13 จำคุก 11 ปี 10 เดือน 15 วัน จำเลยที่ 14 จำคุก 13 ปี 6 เดือน 20 วัน จำเลยที่ 17 จำคุก 19 ปี 3 เดือน จำเลยที่ 19 จำคุก 14 ปี 10 เดือน 22 วัน จำเลยที่ 20 จำคุก 16 ปี 4 เดือน 22 วัน จำเลยที่ 5 ที่ 6 ที่ 8 ที่ 21 และที่ 22 จำคุกคนละ 2 เดือน และปรับคนละ 2,500 บาท โทษจำคุกรอการลงโทษไว้ 2 ปี
ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ที่ 7 ที่ 9 ถึงที่ 15 และที่ 17 ถึงที่ 20 ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายที่ 1 (โรงเรียน) จำนวน 35,400 บาท และแก่ผู้เสียหายที่ 16 จำนวน 56,142.50 บาท ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ที่ 7 ที่ 10 และที่ 12 ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายที่ 10 จำนวน 35,737 บาท และให้จำเลยที่ 15 และที่ 17 ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายที่ 12 จำนวน 55,352.50 บาท (รวมเป็นเงิน 147,231 บาท) ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 16 ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
โดยกรณีนี้ จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง 2 คน ที่เหลือให้การรับว่าเข้าไปในโรงเรียนมัธยมวัดสิงห์ บางคนปฏิเสธว่ามิได้ร่วมกับจำเลยคนอื่น บางคนปฏิเสธว่ามิได้ใช้กำลังประทุษร้าย ทั้งหมดปฏิเสธข้อหามั่วสุมเพื่อก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง แต่ละคนรับสารภาพบางข้อหาแตกต่างกัน จำเลยทุกคนยกเว้นจำเลยที่ 16 รับว่าดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวัด แต่ระหว่างสืบพยาน จำเลยรับสารภาพตามฟ้องเพิ่มอีก 4 คน รวมรับสารภาพตามฟ้อง 6 คน และผู้เสียหายรวม 4 ราย ยื่นคำร้องขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
ข้อเท็จจริงสรุปได้ว่า จำเลย 6 คนที่ให้การรับสารภาพ มีความผิดตามฟ้อง จำเลยที่ไม่มีพยานโจทก์เบิกความถึง 6 คน ทั้งไม่ได้ข้อเท็จจริงว่าร่วมกับจำเลยคนอื่นในลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใด ไม่ปรากฏว่าถูกชี้ตัวจากผู้เสียหายคนใด คงมีเพียงภาพจากกล้องวีดิโอวงจรปิดว่าเข้าไปภายในโรงเรียน จึงฟังไม่ได้ว่ากระทำความผิดในข้อหาอื่นยกเว้นข้อหาบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวัดที่ให้การรับสารภาพเท่านั้น คงเหลือจำเลยอีก 10 คน ซึ่งมีพยานโจทก์เบิกความยืนยันในชั้นศาล สอดคล้องกับคำให้การชั้นสอบสวน บันทึกการชี้ตัวผู้ต้องหา และบันทึกการชี้ตัวของพยานซึ่งได้กระทำในทันทีทันใดหลังเกิดเหตุจึงน่าเชื่อถือ รับฟังได้ว่าจำเลยบางคนทำร้ายร่างกาย บางคนทำลายทรัพย์สินของโรงเรียน บางคนไล่ครูคุมสอบและนักเรียนออกจากห้องสอบ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่รับสารภาพ 6 คน และที่ฟังได้ความดังกล่าวอีก 10 คน รวม 16 คน ได้กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด ตั้งแต่ทำร้ายพนักงานรักษาความปลอดภัย ทำร้ายผู้อำนวยการโรงเรียน ขึ้นไปบนอาคาร 3 ขับไล่ครูคุมสอบและนักเรียนให้ออกจากห้องสอบ ทำร้ายครูคุมสอบและนักเรียน รวมถึงทำลายทรัพย์สินของโรงเรียนและผู้เสียหาย อันเป็นการกระทำเพื่อไปสู่เจตนาร่วมกันของจำเลยทั้งหมดคือการก่อความวุ่นวายขึ้นภายในโรงเรียนเพื่อขัดขวางการสอบ เพื่อตอบโต้ที่จำเลยทั้ง 16 คนไม่สามารถใช้เครื่องเสียงในงานบวชได้
เมื่อพิจารณาพฤติการณ์แวดล้อมประกอบแล้ว จำเลยทั้ง 16 คน อยู่ภายในงานบวชด้วยกัน แต่งกายลักษณะเดียวกัน เดินไปที่เกิดเหตุพร้อมกันและในเวลาใกล้ชิดกัน ต่างกระทำความผิดในลักษณะเดียวกัน และกลับออกจากที่เกิดเหตุในเวลาใกล้ชิดกัน จึงฟังได้ว่าจำเลยทั้ง 16 คน เป็นตัวการร่วมกัน ดังนี้ เมื่อตัวการคนใดคนหนึ่งไปกระทำความผิด ตัวการอื่นแม้ไม่ได้ลงมือกระทำด้วยก็จำต้องรับผลของการกระทำนั้นด้วย โดยถือเอาการกระทำและเจตนาของตัวการผู้กระทำความผิดนั้นเป็นของตน
ในส่วนฐานความผิดนั้น เห็นว่า การร่วมกันบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้าย ก็เพื่อเข้าไปมั่วสุมกันก่อความวุ่นวายขึ้นในโรงเรียนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบ้านเมือง โดยใช้วิธีขับไล่ครูคุมสอบและนักเรียนให้ออกจากห้องสอบอันเป็นการข่มขืนใจผู้อื่นฯ ถือเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท จึงให้ลงโทษฐานร่วมกันบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้าย ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด แต่เมื่อครูคุมสอบหรือนักเรียนขัดขืน จำเลยบางคนจึงทำร้ายครูผู้คุมสอบหรือนักเรียนนั้น ๆ หรือทำลายทรัพย์สินให้ได้รับความเสียหาย นับว่าเป็นเจตนาที่เกิดขึ้นใหม่ในขณะนั้นหาใช่เจตนาแต่เดิมตั้งแต่ต้น จึงเป็นการกระทำความผิดต่างกรรมกัน
เมื่อจำเลยแต่ละคนลงมือกระทำความผิดภายในเจตนาร่วมกันนี้ ตัวการผู้ร่วมกระทำความผิดคนอื่นจึงต้องรับผลของการกระทำความผิดเสมือนเป็นเจตนาและการกระทำของตนด้วย สรุปรวมผู้เสียหาย 17 ราย คือโรงเรียน 1 ราย และผู้เสียหายอื่น 16 ราย ในส่วนผู้เสียหายที่ถูกทำร้ายขณะบุกรุกซึ่งเป็นกรรมเดียวกับข้อหาร่วมกันบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้าย 2 ราย ถูกทำร้ายภายในโรงเรียน 13 ราย แต่มีผู้เสียหาย 2 ราย ขณะถูกทำร้ายทรัพย์สินได้รับความเสียหาย เป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์อีกกระทงหนึ่ง ซึ่งมีโทษหนักกว่า จึงให้ลงโทษฐานทำให้เสียทรัพย์ และมีผู้เสียหาย 1 ราย ถูกผลักหน้าอก ไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย และถูกกระทำอนาจารต่อหน้าธารกำนัล 1 ราย ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยทั้ง 16 คน ฐานร่วมกันบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้าย 1 กรรม ร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย 10 กรรม ร่วมกันใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย 1 กรรม ฐานร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ 4 กรรม และบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวัด 1 กรรม เมื่อเพิ่มโทษจำเลยที่มีประวัติการกระทำความผิด และลดโทษที่ให้การรับสารภาพในแต่ละข้อหาแยกกันไปแล้ว
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา