
"...นายนพดล หรืออัครพัชร์ ถูกสอบสวนกรณีเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอัยการจังหวัดประจำกรม สำนักงานอัยการจังหวัดนครปฐม เป็นพนักงานอัยการเจ้าของสำนวนคดีอาญา ส.1 เลขรับที่ 2600/2551 ของสำนักงานอัยการจังหวัด นครปฐม คดีนายภวัต วิลัยนุช กับพวกรวม 3 คน ผู้ต้องหา ข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา มีอาวุธปืนและ เครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองและพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต ได้เรียกและรับเงินจำนวน 1,600,000 บาท จากนายแดง คชศิลา เพื่อช่วยเหลือนายณัฐพงษ์ คชศิลา บุตรของนายแดง คชศิลา ซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาดังกล่าว ให้พ้นจากความผิด..."
ละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อในคราวเดียวกันเป็นเวลาเกินสิบห้าวัน โดยไม่มีเหตุอันสมควร ถูกลงโทษ "ให้ออก -ไล่ออก "
คือ ข้อกล่าวหาและบทลงโทษ ของ นายไพศาล เดี่ยวพันธุ์ อัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลแขวง 5 สำนักงานคดีศาลแขวง และ นายธีรพงษ์ น้อยชิน อัยการจังหวัดประจำสานักงานอัยการสูงสุด สำนักงานการบังคับคดี อดีตข้าราชการอัยการ 2 ใน 3 ราย ที่ต้องพ้นจากตำแหน่งและถูกเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ข้าราชการอัยการพ้นจากตำแหน่งและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ จำนวน 3 ราย ใน ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา
ที่สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำมาเสนอให้สาธารณชนได้รับทราบไปแล้ว

แต่ข้อมูลส่วนนี้ ยังไม่จบ!
ยังมีข้อกล่าวหาและบทลงโทษ ในส่วนของนายนพดล หรืออัครพัชร์ เพียรพิทักษ์ พ้นจากตำแหน่ง อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายสารสนเทศ สำนักงานวิชาการ อดีตข้าราชการอัยการอีก 1 ราย ที่ถูกให้พ้นจากตำแหน่งและถูกเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ครั้งนี้ด้วย
จากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น สำนักข่าวอิศรา พบว่า ก่อนหน้าที่ นายนพดล หรืออัครพัชร์ เพียรพิทักษ์ พ้นจากตำแหน่ง อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายสารสนเทศ สำนักงานวิชาการ จะถูกให้พ้นจากตำแหน่งและถูกเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ดังกล่าว คือ ถูกสอบสวนการกระทำความผิดถึง 4 ครั้ง มีทั้งกรณีการไม่ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาสำนวนคดีจำนวนมาก การลงลายมือชื่อรับสำนวนคดี แต่ไม่ปรากฏในสารบบคดีของสำนักงานอัยการจังหวัด และที่สำคัญมีกรณีเรียกรับเงินเพื่อช่วยเหลือจำเลยให้พ้นผิดในคดีอาญาด้วย
ปรากฏรายละเอียดสำคัญดังต่อไปนี้
@ ถูกสอบสวนการกระทำความผิดครั้งที่หนึ่ง (ตามคำสั่งคณะกรรมการอัยการที่ 8/2558)
นายนพดล หรืออัครพัชร์ เพียรพิทักษ์ ถูกสอบสวนเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานอัยการจังหวัดนครปฐม กรณีถูกกล่าวหาว่า ได้รับสำนวนสอบสวน รวม 19 สำนวน แล้วไม่ได้พิจารณาดำเนินการด้วยความรอบคอบและรวดเร็ว และจากการตรวจสอบเอกสารการรายงานสำนวนค้างเพียงบางส่วน โดยยังไม่ได้นำหนังสือเสนอบัญชีสำนวนค้างในเดือนถัดไปของเดือนที่ได้รับสำนวนแต่ละสำนวนมายืนยันเท่าที่ปรากฎได้มีการรายงานสำนวนค้างไม่ตรงต่อความจริง ไม่ได้เสนอความเห็นในสำนวนแก้ต่างคดีอาญา ไม่แจ้งผลคดี
ขณะที่ สำนักงานอัยการสูงสุดได้มีคำสั่งที่ 188/2555 ให้นายนพดล หรืออัครพัชร์ ไปช่วยราชการสำนักงานอัยการจังหวัดลำปาง รับผิดชอบงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน ตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2555
แต่นายนพดล เพียรพิทักษ์ไม่ได้ระบุสำนวนดังกล่าวเป็นสำนวนค้างและไม่ส่งมอบสำนวนรวม 19 สำนวนดังกล่าวเมื่อย้าย โดยได้นำสำนวนติดตัวไปด้วยจนเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2555 จึงมีหนังสือส่งมอบสำนวนคืนอัยการจังหวัดนครปฐมในวันที่ 3 ธันวาคม 2555
@ ถูกสอบสวนการกระทำความผิดครั้งที่สอง (ตามคำสั่งคณะกรรมการอัยการที่ 20/2562)
ต่อมา นายนพดล หรืออัครพัชร์ เพียรพิทักษ์ ถูกสอบสวนการกระทำความผิดครั้งที่สอง กรณีสำนักงานอัยการสูงสุดได้รับรายงานจากสำนักงานอัยการภาค 7 ว่า กรมวิชาการเกษตร ขอทราบสรุปพยานหลักฐานพร้อมความเห็นของพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการเกี่ยวกับคดีที่ กรมวิชาการเกษตรได้ร้องทุกข์กล่าวโทษตามสำนวนการสอบสวนคดีอาญาที่ 13 (ส) /2551 ของสถานีตำรวจภูธรดอนตูม คดี บริษัท สยามอุตสาหกรรมปุ๋ยเคมี จำกัด กับพวกรวม 2 คน ผู้ต้องหา ข้อหาผลิตปุ๋ยเคมีปลอม ซึ่งพนักงานสอบสวนเห็นควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหา และกรณีสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครปฐมขอทราบผลคดีของสำนวนการสอบสวนคดีอาญาที่ 2182(ส) /2551 ของสถานีตำรวจภูธรเมืองนครปฐม คดี นายณรงค์ ดีพุ่ม ผู้ต้องหา ข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่น มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปีนไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต พาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่มีเหตุสมควร และยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้าน หรือที่ชุมชน ซึ่งพนักงานสอบสวนเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง
แต่สำนักงานอัยการจังหวัดนครปฐมไม่สามารถแจ้งผลคดีให้หน่วยงานทั้งสองทราบได้ โดยตรวจสอบแล้วพบว่า นายนพดล หรือ อัครพัชร์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอัยการจังหวัดประจำกรม สำนักงานอัยการจังหวัดนครปฐม ได้ลงลายมือชื่อรับสำนวนทั้งสองดังกล่าว
แต่ไม่ปรากฎในสารบบคดี ของสำนักงานอัยการจังหวัดนครปฐม
อัยการสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำของนายนพดล (อัครพัชร์) เพียรพิทักษ์ เป็นการทุจริตเอาไปเสียซึ่งเอกสารสำนวนการสอบสวนของทางราชการสถานีตำรวจภูธรดอนตูม ตำรวจภูธรเมืองนครปฐม อันเป็นพยานหลักฐานในการกระทำความผิดเพื่อจะช่วยผู้กระทำความผิดในคดีดังกล่าว ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ทางราชการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นที่สงสัยว่ากระทำผิดวินัย กรณีกระทำการข้ามผู้บังคับบัญขาเหนือตน กระทำความผิดอาญา กระทำการ อันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว กระทำการอันอาจทำให้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งตำแหน่งหน้าที่ราชการ ไม่ถือ และปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของทางราชการ ทุจริตต่อหน้าที่ราชการ ปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจไม่ ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบของทางราซการ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง และประพฤติชั่ว อย่างร้ายแรง ตามมาตรา 63, 68, 71, 85 (1) (7) (8) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. 2553 อัยการสูงสุดจึงได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน
@ ถูกสอบสวนการกระทำความผิดครั้งที่สาม (ตามคำสั่งคณะกรรมการอัยการที่ 11/2563)
หลังจากนั้น นายนพดล หรืออัครพัชร์ ถูกสอบสวนอีกเป็นครั้งที่สาม กรณีสำนักงานอัยการสูงสุดได้รับเรื่องร้องเรียนขอความเป็นธรรมกล่าวหา นายนพดล หรืออัครพัชร์ ที่ถูกคำสั่งคณะกรรมการอัยการ ที่ 20/2562 ลงวันที่ 27 กันยายน 2562 ลงโทษสถานไล่ออก ไปแล้วว่า เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอัยการจังหวัดประจำกรม สำนักงานอัยการจังหวัดนครปฐม เป็นพนักงานอัยการเจ้าของสำนวนคดีอาญา ส.1 เลขรับที่ 2600/2551 ของสำนักงานอัยการจังหวัด นครปฐม คดีนายภวัต วิลัยนุช กับพวกรวม 3 คน ผู้ต้องหา ข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา มีอาวุธปืนและ เครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองและพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต ได้เรียกและรับเงินจำนวน 1,600,000 บาท จากนายแดง คชศิลา เพื่อช่วยเหลือนายณัฐพงษ์ คชศิลา บุตรของนายแดง คชศิลา ซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาดังกล่าว ให้พ้นจากความผิด
@ ถูกสอบสวนการกระทำความผิดครั้งที่สี่ (ตามคำสั่งคณะกรรมการอัยการที่ 25/2563)
ต่อมา นายนพดลหรืออัครพัชร์ จะถูกสอบสวนเป็นครั้งที่ 4 ตามข้อกล่าวหาว่า เมื่อครั้งปฏิบัติราชการที่สำนักงานอัยการจังหวัดนครปฐม ระหว่างเดือนพฤษภาคม 2545 ถึงเดือนเมษายน 2555 ได้รับมอบหมายให้พิจารณาสำนวนคดีอาญาหลายสำนวนแล้วไม่ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของพนักงานอัยการเจ้าของสำนวนตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องประกอบด้วยสำนวน ส.1 จำนวน 26 สำนวน สำนวน ส.2 จำนวน 9 สำนวน รวมทั้งสิ้นจำนวน 35 สำนวน
ข้อเท็จจริงสรุปได้ความว่า นายนพดลหรืออัครพัชร์ เมื่อครั้งปฏิบัติราชการที่สำนักงานอัยการจังหวัดนครปฐม ระหว่างเดือนพฤษภาคม 2545 ถึงเดือนเมษายน 2555 ได้รับมอบหมายให้พิจารณาสำนวน ส.1 และ ส.2 จำนวนหลายสำนวน แต่มีสำนวน ส.1 จำนวน 26 สำนวน และสำนวน ส.2 จำนวน 9 สำนวน รวม 35 สำนวน ซึ่งเมื่อนายนพดลหรืออัครพัชร์ เพียรพิทักษ์ ย้ายไปปฏิบัติราชการที่สำนักงานอื่นไม่มีการส่งมอบสำนวนดังกล่าว
โดยตรวจสอบแล้วพบว่า สำนวน ส.1 จำนวน 11 สำนวน และสำนวน ส.2 จำนวน 4 สำนวน สูญหายไป โดยยังไม่มีการสั่งคดีหรือดำเนินการใด ๆ กับผู้ต้องหา ส่วนสำนวน ส.1 ที่เหลือจำนวน 15 สำนวน และสำนวน ส.2 จำนวน 5 สำนวน ต่อมาพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการจังหวัดนครปฐมได้ดำเนินการจนเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งสำนวนทั้ง 35 สำนวนนั้น บางสำนวนมีการรายงานสำนวนค้างแต่ไม่ครบถ้วนบางสำนวนไม่มีการรายงานสำนวนค้าง บางสำนวนคดีขาดอายุความแล้ว
ในกระบวนการสอบสวนพบว่า การกระทำของนายนพดลหรืออัครพัชร์ เป็นการกระทำการข้ามผู้บังคับบัญชาเหนือตนไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความระมัดระวัง มิให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ และด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและเที่ยงธรรม รายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา กระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว กระทำการอันอาจทำให้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งตำแหน่งหน้าที่ราชการ ไม่ถือและปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของทางราชการ ปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมวยและระเบียบแบบแผนของทางราชการ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการ อย่างร้ายแรง และประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 63, 64, 65, 68, 71, 85 (7) (8) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. 2553 เป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง
มติที่ประชุม ก.อ. ครั้งที่ 9/2563 วันที่ 9 กันยายน 2563 มีคำสั่งลงโทษนายนพดลหรืออัครพัชร์ สถานไล่ออก ตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน 2563 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ ยังไม่มีข้อมูลปรากฏว่า นอกจากการถูกสอบสวนลงโทษทางวินัยแล้ว นายนพดลหรืออัครพัชร์ เพียรพิทักษ์ ถูกสั่งฟ้องดำเนินคดีอาญาด้วยหรือไม่ ผลการตัดสินคดีเป็นอย่างไร
แต่ไม่ว่าผลคดีของศาลจะออกมาเป็นอย่างไร กรณี นายนพดลหรืออัครพัชร์ รวมไปถึง นายไพศาล เดี่ยวพันธุ์ และ นายธีรพงษ์ น้อยชิน ที่ถูกสอบสวนลงโทษให้ออก -ไล่ออกราชการ และถูกเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์
นับเป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาและบทเรียนสำคัญของข้าราชการอัยการ ไม่ให้ใครเดินซ้ำรอยเอาเป็นเยี่ยงอย่างชัดเจน

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา