กิจกรรมอาชญากรรมในท้องที่มีการพัฒนาแทคติคและเปลี่ยนเป้าหมายไปจากเดิม ซึ่งนี่เป็นผลมาจากแรงกดดันจากการบังคับใช้กฎหมายข้ามชาติ, สแกมเมอร์ในพื้นที่ตอนเหนือของเมียนมากำลังย้ายฐานปฏิบัติการมายังบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา มากขึ้น และบางทีก็อาจจะย้ายฐานไปไกลถึงในภูมิภาคตะวันออกกลาง
ปัญหาขบวนการหลอกลวงเหยื่อให้สมัครงานรายได้สูง แต่สุดท้ายกลับพาไปทำงานเป็นขบวนการคอลเซ็นเตอร์ ในพื้นที่ชายแดนประเทศไทยนั้นกลายเป็นปัญหาที่ดูจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับประเทศไทยมากขึ้น เมื่อมีเหตุว่านายหวัง ซิง หรือว่า ซิง ซิง ดาราจีน กลายเป็นเหยื่อของขบวนการนี้ นี่ส่งผลทำให้เกิดกระแสในโลกออนไลน์ของจีน นำไปสู่การที่ชาวจีนจำนวนมาก ยกเลิกทริปเดินทางมายังประเทศไทย โดยมองว่าประเทศไทยนั้นเป็นประเทศฉ้อโกง มีการลักพาตัวชาวจีน ขณะที่ทางการฮ่องกงเองก็ได้มีการส่งเจ้าหน้าที่ทำงานเฉพาะกิจมายังประเทศไทยเพื่อติดตามกรณีที่ชาวฮ่องกงถูกล่อลวงไปทำงานผิดกฎหมายเช่นกัน
จากกรณีดังกล่าวนั้นสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงนำเอาบทความจากสำนักข่าวโกลบอลไทม์สของจีนที่วิเคราะห์ถึงกลวิธีใหม่ๆของกลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้มานำเสนอมีรายละเอียดดังนี้
@การหายตัวไปที่ชายแดน
ไม่นานมานี้โซเชียลมีเดียของจีนชื่อว่าซิน่า เว่ยป๋อ ได้มีการโพสต์ถึงรายละเอียดจดหมายของครอบครัวของเหยื่อจำนวน 174 ชีวิต ที่ยังติดอยู่ที่ประเทศเมียนมา ทำให้กลายเป็นกระแสอย่างรวดเร็ว หลังจากที่มีข่าวการช่วยเหลือนายหวัง ซิง ออกมาได้ ครอบครัวของ 174 คนที่ยังคงติดอยู่ในทางตอนเหนือและทางตอนตะวันออกของเมียนมา ก็แสดงความกังวลว่าญาติของตัวเองที่หายไปอาจเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ที่ไม่ได้รับการเหลียวแล เนื่องจากพวกเขาหายตัวไปนาน 2-3 เดือน หรือบางรายก็หายตัวไปนานถึงสามปี
ครอบครัวเหล่านี้มีการตั้งกลุ่มวีแชตขึ้นมา โดยโกลบอลไทม์สพบข้อมูลเอกสารในกลุ่มนี้ที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับญาติที่หายตัวไปของพวกเขา
หลังจากวิเคราะห์ข้อความในเอกสารเหล่านี้ โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับเหยื่อที่หายตัวไป ก็พบข้อมูลสำคัญสองประการคือ หนึ่ง บางคนหายตัวไปเลยหลังจากเข้าเมียนมาผ่านทางช่องทางพรมแดนไทย-เมียนมา และสอง มีบางรายหายตัวไปหลังจากการเข้าเมียนมาผ่านทางช่องทางพรมแดนเมืองยูนนาน
ข่าวการช่วยเหลือนายหวัง ซิง (อ้างอิงวิดีโอจาก ShanghaiEye)
สมาชิกในครอบครัวคนหนึ่งที่มีนามสกุลว่าไป่ให้ข้อมูลกับโกลบอลไทม์สว่าลูกชายของเขาหายตัวไปเมื่อต้นเดือน ส.ค. 2567 หลังจากเข้าประเทศเมียนมาโดยอ้างว่าไป "พูดคุยเกี่ยวกับโอกาสในการลงทุนที่เพื่อนเสนอมา" ต่อมาลูกชายคนนี้ได้ส่งสัญญาณลับไปยังครอบครัวของเขาได้ในอีก 10 วันต่อมาหลังจากเข้าเมียนมา ซึ่งบ่งชี้ว่าเขาติดอยู่ในนิคมการฉ้อโกงโทรคมนาคมและถูกบังคับให้ทําธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย โดยทํางาน 17 ชั่วโมงต่อวัน มีเป้าหมายการปฏิบัติงานรายเดือน 100,000 หยวน (473,171 บาท) โดยผู้ที่ไม่สามารถทำตามเป้าได้จะถูกทุบตีอย่างรุนแรง หรือบางรายที่ถูกทรมานก็มีถึงขั้นเสียชีวิต
หากดูตามข้อมูลที่ลูกชายของนายไป่ได้ส่งมา จะพบว่าเขาถูกบังคับให้ใช้แอปโซเชียลมีเดียยอดนิยมของจีนเพื่อค้นหาเหยื่อ และมักถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจ โดยมีรอยฟกช้ำและมีการเผารองเท้าเพื่อไม่ให้หลบหนีไปได้
ในช่วงเดือน ต.ค. 2567 หลังจากที่มีข่าวว่าทางการจีนได้ดำเนินปฏิบัติการกวาดล้างข้ามพรมแดน กลุ่มมิจฉาชีพได้มีการปรับตัว ย้ายปฏิบัติการไปยังสถานที่อื่นๆหลายแห่งเพื่อหนีมาตรการบังคับใช้กฎหมาย
นายไป่รับทราบข้อมูลจากลูกชายเพิ่มเติมว่าผู้ที่ติดอยู่ที่นั่น บางคนได้รับการไถ่ตัวด้วยค่าไถ่ประมาณ 3 แสนหยวน (1,420,272 บาท) แต่ครอบครัวของเขายังขาดเงินจำนวนนี้อยู่
มีโฆษณาที่น่ากลัวถูกเผยแพร่ทางโลกออนไลน์ โดยกลุ่มฉ้อโกงที่ปฏิบัติงานในเมียวดีอ้างว่ากำลังหาพนักงานใหม่ โดยเสนอเงินเดือนสูงสำหรับผู้ที่มีความเต็มใจจะทำงานฉ้อโกง โดยมีการระบุว่าคนทั่วไปราคา 1 แสนหยวน นักพิมพ์เร็ว 1.2 แสนหยวน ต้องการอายุ 20-30 ปี
อีกครอบครัวหนึ่งคือนางไถ่ (Dai) ระบุว่าเมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2567 น้องชายของเธอได้เดินทางจากเมืองหางโจวไปยังเมืองสิบสองปันนา เมืองพรมแดนทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน แล้วก็หายตัวไป ซึ่งตำรวจท้องถิ่นได้ยืนยันกับนางไถ่ในภายหลังว่าสัญญาณโทรศัพท์ของน้องชายของเธอนั้นถูกตรวจพบครั้งสุดท้ายในรัฐว้า แล้วหลังจากนั้นก็ไม่มีร่องรอยอีกเลย
นางไถ่เล่าให้ฟังว่าน้องชายของเธอไฝ่ฝันอยากเป็น vlogger มาโดยตลอดและต้องการอยู่ในแวดวงธุรกิจไลฟ์สตรีมมิ่ง และยิ่งไปกว่านั้นน้องชายนางไถ่ยังได้ไปกู้เงินออนไลน์เพื่อสนับสนุนสตรีมเมอร์หญิงคนหนึ่งที่เขาชื่นชอบ ซึ่งนางไถ่สงสัยว่าการที่น้องชายของเธอหายตัวไปอาจเชื่อมโยงกับเงินกู้นี้
@แทคติคใหม่ ความท้าทายใหม่
สถาบันสังคมศาสตร์จีนได้มีการออกหนังสือหลักนิติธรรมปี 2566 เปิดเผยข้อมูลไว้ตอนหนึ่งว่าการฉ้อโกงทางโทรคมนาคม ได้กลายเป็นอาชญากรรมที่น่ากังวลที่สุดสําหรับประชาชนจีน โดยมีอย่างน้อย 80 เปอร์เซ็นต์ที่นิคมฉ้อโกงนั้นอยู่ในต่างแดน
สื่อ Red Star News ที่สังกัดสำนักข่าว Chengdu Commercial Daily ได้รายงานว่ากลุ่มฉ้อโกงนั้นแท้จริงแล้วปรากฏตัวในเมียนมาตั้งแต่ปี 2553 แล้ว และมีการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในปี 2558 และพุ่งถึงจุดสูงสุดในปี 2563 โดยข้อมูลวงในระบุว่าในช่วงเวลาที่นิคมฉ้อโกงมีการเติบโตขึ้นสูงสุด สามารถสร้างรายได้นับพันล้านต่อปี
นายเจียน คุนอี (Jian Kunyi) รองคณบดีคณะนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยการเงินและเศรษฐศาสตร์ยูนนาน กล่าวเตือนว่าให้ระวังการฟื้นคืนของการค้าทาสในสังคมสมัยใหม่ และตั้งข้อสังเกตว่าขอบเขตของการฉ้อโกงโทรคมนาคมในเมียวดีว่ากําลังขยายขอบเขตออกไปโดยกําหนดเป้าหมายว่าเป็นคนดังและปัญญาชนเพื่อผลกําไรที่มากขึ้น
ส่วนนายเปา จือเผิง (Bao Zhipeng) ผู้ช่วยนักวิจัยที่ภาควิชาเอเชียแปซิฟิกศึกษาของสถาบันการศึกษาระหว่างประเทศแห่งประเทศจีน กล่าวเตือนว่าอาชญากรรมโทรคมนาคมในบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังคงมีความน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง ด้วยว่ากิจกรรมอาชญากรรมในท้องที่มีการพัฒนาแทคติคและเปลี่ยนเป้าหมายไปจากเดิม ซึ่งนี่เป็นผลมาจากแรงกดดันจากการบังคับใช้กฎหมายข้ามชาติ, สแกมเมอร์ในพื้นที่ตอนเหนือของเมียนมากำลังย้ายฐานปฏิบัติการมายังบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา มากขึ้น และบางทีก็อาจจะย้ายฐานไปไกลถึงในภูมิภาคตะวันออกกลาง
เมียนมาส่งผู้ต้องหาคดีฉ้อโกง 357 รายให้กับทางประเทศจีน (อ้างอิงวิดีโอจาก The Star)
มีรายงานว่าฐานปฏิบัติกาฉ้อโกงในเมียวดี ยังได้มีการขยายโครงสร้างพื้นฐาน ขณะที่บางกลุ่มก็ได้กลับเข้าไปที่กัมพูชาและที่ไทย
ทั้งนายเจียนและนายเปาเชื่อว่าปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายข้ามพรมแดนร่วมกันของจีนกับประเทศอื่นๆ นั้นได้ทำให้เกิดความคืบหน้าอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยมีหลักฐานก็คือว่าการย้ายถิ่นฐานของกลุ่มอาชญากรบ่อยครั้ง การเปลี่ยนเป้าหมาย และต้องมีการเสียค่าใช้จ่ายและความยากลำบากมากขึ้นในการล่อเหยื่อ
อนึ่งแม้ว่าจะมีความคืบหน้าอย่างมากในการต่อสู้และแก้ไขปัญหา แต่สถานการณ์เกี่ยวกับอาชญากรรมในปัจจุบันยังคงรุนแรงและซับซ้อน ตามคำกล่าวอ้างของนายจางหมิง โฆษกกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน (MPS)
รายงานของ MPS ระบุว่าอาชญากรรมที่ว่านี้แสดงลักษณะการดำเนินการข้ามชาติในรูปแบบการทำงานเป็นองค์กรที่ชัดเจน โดยกลุ่มฉ้อโกงมีโครงสร้างองค์กรที่แน่นหนา ผู้นําการฉ้อโกงและสมาชิกคนสําคัญประสานงานกับบุคลากรภายในประเทศเพื่อมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ผิดกฎหมายต่างๆ
โฆษก MPS ระบุว่าวิธีการฉ้อโกงก็มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วเช่นกัน โดยมิจฉาชีพติดตามแนวโน้มทางสังคมอย่างใกล้ชิดและปรับแต่งการหลอกลวงให้เข้ากับความชอบของแต่ละบุคคล พวกเขาสร้างสคริปต์การฉ้อโกงที่กําหนดเองสําหรับผู้คนทุกกลุ่มอายุ อาชีพ และภูมิหลังทางการศึกษา ซึ่งนําไปสู่เหยื่อที่หลากหลาย
“กองกําลังติดอาวุธของเมียวดีมีอํานาจมากกว่า และศูนย์กลางการหลอกลวงมีขนาดใหญ่และเป็นระเบียบมากกว่าทางตอนเหนือของเมียนมาซึ่งทําให้ความพยายามในการบังคับใช้กฎหมายซับซ้อนขึ้น กลุ่มติดอาวุธในท้องถิ่นซึ่งมักขัดแย้งกับรัฐบาลร่วมมือกับองค์กรอาชญากรรมเพื่อรักษาการดําเนินงานของพวกเขา เมื่อเทียบกับทางตอนเหนือของเมียนมา เมียวดีมีความโดดเดี่ยวทั้งในระดับภูมิภาคและวัฒนธรรมจากจีน ทําให้ยากต่อการต่อสู้กับอาชญากรรมและช่วยเหลือเหยื่อ" นายเจียนกล่าว
ส่วนนายเปาตั้งข้อสังเกตุว่าข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ของพื้นที่อย่างเมียวดีที่มีเครือข่ายการขนส่งที่พัฒนาและซับซ้อนทําให้เป็นจุดเริ่มต้นของอาชญากรรมข้ามชาติ รวมถึงการค้ามนุษย์
“แนวโน้มล่าสุดแสดงให้เห็นถึงวิธีการแอบแฝงมากขึ้นและฐานเป้าหมายระหว่างประเทศที่กว้างขึ้น โดยกลุ่มฉ้อโกงขยายการเข้าถึงไปยังพลเมืองจากประเทศต่างๆ โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น Generative AI” นายเปากล่าว
โดยนอกเหนือประชาชนจีนแล้ว มีกรณีที่พลเมืองจากรัสเซีย,มองโกเลีย,ญี่ปุ่น,เกาหลีใต้และอินเดียถูกล่อลวงไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะพื้นที่เมืองเมียวดีเพื่อบังคับทำกิจกรรมการฉ้อโกงโทรคมนาคม
เรียบเรียงจาก:https://www.globaltimes.cn/page/202501/1326746.shtml