“…รัฐบาลผสมข้ามขั้ว 7 พรรค ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ดีไซน์ ‘นโยบายเรือธง’ โดยมีคอนเซ็ปต์ ‘ทักษิณพูด-เพื่อไทยนำไปต่อยอด’ ภายใต้ร่มเงายุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โครงสร้างบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ด้านเศรษฐกิจ-การเมืองและการปกครอง ถูกล็อกไว้ด้วยยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ 6 ยุทธศาสตร์…”
รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร บริหารราชการแผ่นดินมาครบ 4 เดือน ใช้เงินแผ่นดินไปแล้ว 1 ปีงบประมาณ กำลังจะก้าวเข้าสู่งบประมาณปี 2569 ที่มีเม็ดเงินไว้จับจ่ายใช้สอยกว่า 3.78 ล้านล้านบาท
รัฐบาลผสมข้ามขั้ว 7 พรรค ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ดีไซน์ ‘นโยบายเรือธง’ โดยมีคอนเซ็ปต์ ‘ทักษิณพูด-เพื่อไทยนำไปต่อยอด’ ภายใต้ร่มเงายุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
โครงสร้างบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ด้านเศรษฐกิจ-การเมืองและการปกครอง ถูกล็อกไว้ด้วยยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ 6 ยุทธศาสตร์ ดังนี้
1.ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง
- พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจ การดำเนินงานตามแนวพระราชดำริ การส่งเสริมสถาบันศาสนา ดูแลให้มีการปฏิบัติตามและบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เร่งจัดทำรัฐธรรมนูฉบับประชาชนให้เป็นประชาธิปไตย แก้ไขปัญหายาเสพติดแบบครบวงจร แก้ปัญหาอาชญากรรม อาชญากรรมออนไลน์/มิจฉาชีพ และอาชญากรรมข้ามชาติ ป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติ แก้ปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้งร่วมกับทุกภาคส่วน สร้างสันติภาพและสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การปฏิรูปกองทัพเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
- ดำเนินความสัมพันธ์กับนานาประเทศอย่างจริงใจและสร้างสรรค์ เดินหน้าสานต่อนโยบายการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก เจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) เตรียมความพร้อมเพื่อเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD)
2.ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน
- สร้างความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) หาโอกาสในตลาดใหม่ ๆ และอาหารฮาลาล ฟื้นนโยบาย ‘ครัวไทยสู่ครัวโลก’ ยกระดับการทำเกษตรแบบดั้งเดิมให้เป็นเกษตรทันสมัย เพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรและราคาพืชผลการเกษตร ยกระดับรายได้ของเกษตรกร ส่งเสริมให้เกษตรกรประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีด้านการเกษตร (Agri-Tech) อาทิ เกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) เทคโนโลยีด้านอาหาร (Food Tech)
- ส่งเสริมโอกาสในอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต ปรับกระบวนการผลิตของภาคอุตสาหกรรมให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พัฒนาเศรษฐกิจสุขภาพ (Care and Wellness Economy) และบริการทางการแพทย์ (Medical Hub) ส่งเสริมการผลิตและการใช้งานอุปกรณ์ทางการแพทย์ภายในประเทศ สนับสนุนการยกระดับสมุนไพรและผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยโดยใช้นวัตกรรม ยกระดับอุตสาหกรรมทางการแพทย์และสุขภาพของไทยให้ได้มาตรฐานสากล ต่อยอดพัฒนาเศรษฐกิจกิจดิจิทัลให้เป็นอุตสาหกรรมดิจิทัลสมัยใหม่ (Digital Economy) ดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศเพื่อตั้ง Data Center และโรงงานผลิตชิป ชิปดีไซน์ และ Semiconductor กระตุ้นให้เกิดความต้องการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ เปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์เครื่องยนต์สันดาบไปสู่ยานยนต์แห่งอนาคต (HEVs PHEVs BEVs และ FCEVs) ดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศให้มาตั้งฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ ถ่ายโอนเทคโนโลยีสมัยใหม่และองค์ความรู้ในการผลิตและประกอบชิ้นส่วนยานยนต์สมัยใหม่ให้แก่ธุรกิจไทย ส่งเสริมการพัฒนายกระดับทักษะและการปรับทักษะของแรงแรงงานไทยในอุตสาหกรรมยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง
- สร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าและบริการบนฐานทุนทางวัฒนธรรม และทรัพยากรธรรมชาติที่มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น ยกระดับศักยภาพของชุมชน ฐานชุมชนเมือง สินค้า OTOP เพิ่มความสามารถของพื้นที่ในการรองรับนักท่องเที่ยว สร้างแรงจูงใจสำหรับสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ อำนวยความสะดวกแก่ผู้ขอวีซ่า ทั้งกลุ่มผู้เข้าร่วมงานไมซ์ (MICE) และกลุ่มชาวต่างชาติที่ทำงานทางไกล (Digital Nomad) ส่งเสริมเมืองน่าเที่ยวและอุตสาหกรรมท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ เพิ่มแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น (Man-made Destinations) อาทิ สวนน้ำ สวนสนุก ศูนย์การค้า สถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) รวมถึงการนำคอนเสิร์ต เทศกาล การจัดประชุมนานาชาติ และการแข่งขันกีฬาระดับโลกมาจัดในประเทศไทย
- ส่งเสริมให้ประเทศเป็นศูนย์กลางการคมนาคมและขนส่งของภูมิภาค (Logistics Hub) โดยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนาดใหญ่ (Mega Projects) ทั้งทางราง ทางน้ำ ทางถนน และทางอากาศ อย่างไร้รอยต่อ พัฒนาสนามบินและเส้นทางการบินใหม่ ๆ เพื่อมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางทางการบิน (Aviation Hub) เพิ่มประตูบานใหม่ (Gateway) ส่งเสริมให้เกิดความปลอดภัยทางถนน พัฒนาระบบขนส่งควบคุมอุณหภูมิ (Cold Chain) ขับเคลื่อนโครงการ Land bridge
ผลักดันการพัฒนาระบบบขนส่งมวลชนสาธารณะ (Mass Transit) กำหนดโครงสร้างอัตราค่าโดยสารร่วมในในเขตกรุงเทพมหานคร เพื่อรองรับนโยบาย ‘ค่าโดยสารราคาเดียว’ ตลอดสาย ปรับโครงสร้างราคาพลังงานและกำหนดอัตราการรับซื้อตามประเภทเชื้อเพลิง ปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง อาทิ ข้อกำหนดเกี่ยวกับการทำสัญญาซื้อขายพลังงานได้โดยตรง (Direct PPA) พัฒนาระบบสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อความมั่นคงทางยุทธศาสตร์ของประเทศ (Strategic Petroleum Reserve : SPR)
สำรวจหาแหล่งพลังงานเพิ่มเติมและการเจรจาประเด็นพื้นที่ทับช้อนกับกัมพูชา (OCA) สนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตพลังงานสะอาด ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ำ และพลังงานทางเลือกอื่น ๆ กำกับดูแลให้เกิดการจัดสรรคลื่นความถี่ และสิทธิในวงโคจรดาวเทียม พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่มีคณภาพ มั่นคง ปลอดภัย ครอบคลุม เพียงพอ และเข้าถึงได้ทั้งในด้านพื้นที่และราคา
- ส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการให้สามารถขับเคลื่อนธุรกิจด้วยความคิดสร้างสรรค์และทุนทางวัฒนธรรม โดยปรับใช้ภูมิปัญญาพื้นบ้าน (Local Wisdom) ในการสร้างมูลค่าให้กับสินค้าและบริการ ส่งเสริม 1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์ (OFOS) ดูแล ส่งเสริม ปกป้องผลประโยชน์ของผู้ประกอบการไทยและ SMEs พัฒนาช่องทางการเข้าถึงแหล่งทุน ที่เป็นนวัตกรรมรูปแบบใหม่ ๆ การแก้ไขปัญหาหนี้ของ SMFs อาทิ การพักหนี้ การจัดทำ Matching Fund พัฒนาการออกแบบสินค้าและบริการที่มีอัตลักษณ์และตราสินค้าที่เด่นชัดสามารถเข้าถึงตลาดผู้ซื้อ สนับสนุนการสอดแทรกทุนทางวัฒนธรรมในการผลิตภาพยนตร์ไทยและสื่อทุกรูปแบบ ปกป้อง SMEs จากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมของคู่แข่งทางการค้าต่างชาติ โดยเฉพาะผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ จัดตั้งศูนย์สร้างสรรค์การออกแบบและส่งเสริมวัฒนธรรมในพื้นที่ อาทิ ศูนย์สร้างสรรค์การออกแบบ (TCDC) สำนักงานส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ (THACCA)
- พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ยกระดับความสามารถทางนวัตกรรมให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก ส่งเสริมการใช้สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน การตั้งกองทุนสนับสนุน การจัดซื้อโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีของภาครัฐมาสนับสนุนการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศมาสู่ผู้ประกอบการไทย
3.ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์
- ส่งเสริมสถาบันศาสนาให้เป็นกลไกในการสร้างคุณธรรมและจริยธรรมในการดำเนินชีวิตส่งเสริมให้มีการเผยแพร่ข้อมูลหรือข่าวสารสาธารณะของรัฐ
- ส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือระหว่างรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชนในการจัดการศึกษาทุกระดับ สนับสนุนให้คนไทยทุกกลุ่มทุกวัยใช้ปัญญาประดิษฐ์ (A) ในการพัฒนาตนเอง ส่งเสริมการเติบโตอย่างมีคุณภาพและเท่าเทียมของเด็กปฐมวัย พัฒนาทักษะวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล ยกระดับทักษะศักยภาพแรงงาน โดยการเสริมทักษะเดิม (Reskill) เพิ่มทักษะใหม่ (Upskill) ดึงดูดแรงงานนอกระบบเข้าสู่ระบบ รวมทั้งดึงดูดแรงงานทักษะสูง ผู้ประกอบการ และนักลงทุน เพื่อเพิ่มกำลังแรงงานที่มีคุณภาพ
- พัฒนาระบบการศึกษาที่ยึดหยุ่นทั้งในระบบ นอกระบบ ตามอัธยาศัย และการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยเน้นการสอนทักษะที่ใช้ประโยชน์ได้ในชีวิตจริงเพื่อการสร้างรายได้ (Learn to Earn) ลดภาระและความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการศึกษา ปฏิรูประบบอาชีวศึกษาและอดมศึกษาเพื่อตอบสนองต่อความต้องการแรงงานในอนาคตและรองรับการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Life - Long Learning)
- เพิ่มการเข้าถึงการรักษาและบริการด้านสุขภาพจิตและการป้องกันยาเสพติด ขยายเครือข่ายการพัฒนาระบบบริการในทุกระดับ พัฒนาระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) สานต่อโครงการฉีดวัคซีนปากมดลูก (HPV)
4.ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม
- การกระจายอำนาจสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคประชาชน ส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศ เร่งแก้ไขปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องให้ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศเข้าถึงสิทธิที่พึงมี ส่งเสริมความเท่าเทียมชายหญิงในครอบครัวและที่ทำงาน
- การสนับสนุนองค์ความรู้พื้นฐานด้านการบริหารจัดการหนี้สินและการเงิน ส่งเสริมการออม เพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนและการประกอบอาชีพ ปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ ช่วยเหลือลูกหนี้ทั้งในและนอกระบบ จัดทำแผนที่ที่ที่ที่ทันสมัยเพื่อปรับปรุงแนวเขตที่ดินของรัฐและและแก้ปัญหาที่ดินทับช้อน ขยายโอกาสการเข้าถึงสิทธิที่ดิน ที่อยู่อาศัย และที่ดินทำกิน ยุติความขัดแย้งและแก้ไขข้อพิพาทเกี่ยวกับที่ดิน ยกระดับคุณภาพสินค้าโครงการ OTOP
- ผลักดันโครงการดิจิทัลวอลเล็ต (Digital Wallet) สร้างความเท่าเทียมทางโอกาสและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่สำคัญให้สามารถเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการของรัฐได้โดยสะดวกตามที่กฎหมายบัญญัติ ลดภาระและความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ ช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่หลุดจากระบบการศึกษา ยกระดับระบบหลักประกันสุขภาพ 30 บาท รักษาทุกที่ ส่งเสริมการเกิดและเติบโตของเด็กอย่างมีคุณภาพและเท่าเทียม
5.ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- ส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy or Eco-friendly Economy) โดยอาศัยจุดแข็งด้านทรัพยากรธรรมชาติ และที่ตั้งใกล้เส้นศูนย์สูตร ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและรักษาสมดุล ของระบบนิเวศท้องถิ่น สนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชนและภาคีเครือข่ายในการอนุรักษ์ ฟื้นฟูและบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งรวมถึงทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทั้งระบบเพิ่มขีดความสามารถของพื้นที่และชุมชนท้องถิ่นในการจัดการสิ่งแวดล้อมและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการรับมือกับภัยธรรมชาติ PM 2.5 สานต่อนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) พัฒนาตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) เพื่อความยังยืน ส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านการซื้อขายคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) ของอาเซียนผ่านตลาดหลักทรัพย์ไทยจัดการปัญหาการลักลอบกำจัดหรือฝั่งกลบกากอุตสาหกรรม ของเสียอันตรายด้วยความเข้มงวด - แก้ปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้งร่วมกับทุกภาคส่วน โดยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ สร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรน้ำอย่าง จัดหาแหล่งน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการเพื่อรองรับการเติบโตของเมืองและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ จัดหาน้ำสะอาด สำหรับอุปโภคบริโภคให้ประชาชนทุกพื้นที่เข้าถึงได้ เร่งให้น้ำถึงไร่นาด้วยการเพิ่มศักยภาพแหล่งกักเก็บน้ำเพิ่มประสิทธิภาพระบบกระจายน้ำในพื้นที่เขตชลประทาน พัฒนาและบริหารจัดการแหล่งน้ำนอกเขตชลประทานและแหล่งน้ำชุมชน ควบคู่กับการขยายเขตชลประทานและการเพิ่มแหล่งน้ำเพื่อรองรับการเติบโตของภาคอุตสาหกรรม
6.ยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ
- การยกระดับการบริการภาครัฐให้มีขีดสมรรถนะสูง โดยเปลี่ยนผ่านไปสู่ราชการทันสมัยในระบบดิจิทัล มีการเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อใช้ประโยชน์จากศูนย์ข้อมูลภาครัฐ เพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการใช้จ่ายงบประมาณ พิจารณาใช้จ่ายจากแหล่งเงินงบประมาณและเงินนอกงบประมาณ พิจารณาใช้เครื่องมือทางการเงินอื่น ๆ เพื่อลดภาระการลงทุนจาก ประมาณแผ่นดินและการกู้เงินภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังของประเทศ ศึกษาความเป็นไปได้ของการปฏิรูประบบภาษี ไปสู่แบบ Negative Income Tax สร้างรายได้ใหม่ของรัฐด้วยการนำเศรษฐกิจนอกระบบภาษี (Informal Economy) และเศรษฐกิจใต้ดินเข้าสู่ระบบภาษี (Underground Economy) ปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับระบบภาษีให้ทันสมัย ผลักดันกฎหมายที่เอื้อให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการเงินของโลก (Financial Hub) ปรับบทบาทภาครัฐให้เป็นผู้ส่งเสริมสนับสนุน (Enabler) ผู้อำนวยความสะดวก (Facilitator) และผู้กำกับกฎกติกา (Regulator) การปฏิรูประบบราชการและเพิ่มประสิทธิภาพ ปรับขนาดและกำลังคนภาครัฐให้สอดคล้องกับภารกิจ รวมถึงเน้นใช้เทคโนโลยี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพบุคลากรภาครัฐเป็นคนดีและเก่ง มีความรู้ความสามารถสูง มีทักษะการคิดวิเคราะห์ ปรับตัวทันต่อการเปลี่ยนแปลง มีคุณธรรม มุ่งมั่นและมืออาชีพ โปร่งใส และตรวจสอบได้
- การยึดมั่นในหลักนิติธรรม (Rule of Law) และความโปร่งใส (Transparency) สร้างความชอบธรรมในการบริหารราชการแผ่นดินด้วยการฟื้นฟูหลักนิติธรรมที่เข้มแข็ง มีประสิทธิภาพ ส่งเสริมให้มีการเผยแพร่ข้อมูลหรือข่าวสารสาธารณะของรัฐ ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันทุกรูปแบบ เน้นการมีส่วนร่วมภาคประชาชน
- การลดกฎหมายและขั้นตอนที่ไม่จำเป็น (Ease of Doing Business) เพื่อไม่ให้ภาครัฐเป็นอุปสรรคของภาคธุรกิจหรือขัดขวางการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ส่งเสริมการปฏิบัติตามและบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดและจริงจัง โดยเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงการป้องกันและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
อ่านประกอบ : ‘ครม.’ ตั้ง 6 ‘รองนายกฯ’ เกาะติด ‘งบปี 69’ คุม 9 แผนบูรณาการ ‘ป้องกันทุจริต’
เป็น 6 ยุทธศาสตร์ ที่เปรียบเสมือน ‘กระดูกสันหลัง’ ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท ที่บรรจุเป็น ‘แพคเกจ’ ของ ‘รัฐบาลพรรคเพื่อไทย’ ที่หาเสียงไว้ในช่วงเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตามท่ามกลางระเบียบโลก-ระบบราชการไทย ตลอดจนกฎหมาย ตั้งแต่ลำดับชั้นพระราชบัญญัติ-รัฐธรรมนูญ ที่ถูกรื้อ-ร่างใหม่ตลอด 9 ปีที่ผ่านมา แตกต่างจาก ‘ยุครัฐบาลไทยรักไทย’ ที่มี ‘ผู้นำรัฐบาลพรรคเดียว’ จนสร้างชื่อ-ลือลั่นในเรื่องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและปากท้อง
จึงเป็นการ วัดฝีมือ ‘รัฐบาลพรรคเพื่อไทย’ ที่มี ‘ทักษิณ ชินวัตร’ เป็นมันสมอง