
ถึงคิวเปิดคำพิพากษาฉบับเต็ม! คดี‘พรวิศิษฐ์ แจ่มใส’ ผู้สมัคร สส.นครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ เตรียมแจกเงินซื้อเสียง พยานหลักฐานชัดมอบเสื้อ รวบรวมบัตรปชช. 31 ใบ บทสนทนาคลิป ไลน์ “..อยากให้เปิ้ลแจ้งชาวบ้านว่า เดี๋ยวพี่หงส์จะรีบจัดการให้” เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 10 ปีพร้อมผู้ช่วยฯ ตามรอย‘เกศกานดา-สมชาย’
สืบเนื่องเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2567 ศาลฎีกามีคำพิพากษาให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง นายพรวิศิษฐ์ แจ่มใส ผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งเป็นผู้สมัคร สส.นครสวรรค์ เขต 5 พรรคพลังประชารัฐ ผู้คัดค้านที่ 1 และนางสาวณฐณณฑ์ เบญจภิญโญ ผู้คัดค้านที่ 2 เครือญาติ และเป็นผู้ช่วยหาเสียงของนายพรวิศิษฐ์ เป็นเวลา 10 ปี นับแต่วันที่มีคำพิพากษา กรณีเตรียมแจกเงินซื้อเสียง ตามที่สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานแล้ว (ข่าวเกี่ยวข้อง: ศาลฏีกาสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 10 ปี ‘พรวิศิษฐ์’ ผู้สมัคร สส. พปชร.ซื้อเสียง)
ก่อนหน้านี้สำนักข่าวอิศรานำคำพิพากษาฉบับเต็ม 2 คดี ได้แก่
1.คดี น.ส.เกศกานดา อินช่วย ผู้สมัครรับเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เขต 16 กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ กรณีแจกเงินซื้อเสียง (เรื่องเกี่ยวข้อง: ละเอียดยิบ!คำพิพากษาศาลฎีกาฉบับเต็ม คดี‘เกศกานดา’ผู้สมัคร สส.ปชป. แจกเงิน 5 หมื่น)
2. คดีนายสมชาย เล่งหลัก ผู้สมัคร สส.สงขลา เขต 9 พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ปัจจุบันเป็นสมาชิกวุฒิสภา (สว.) กลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพอิสระ (กลุ่ม 19) กรณีรู้เห็นเป็นใจให้บุคคล จัดเตรียมเพื่อจะให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนในตนเองมารายงานแล้ว (เรื่องเกี่ยวข้อง: คำพิพากษาฉบับเต็ม! คดี‘สมชาย เล่งหลัก’เตรียมแจกเงินซื้อเสียง เพิกถอนสิทธิฯ 10 ปี)
ล่าสุดเป็นคำพิพากษาฉบับเต็มคดีนายพรวิศิษฐ์ แจ่มใส
@เปิดรายละเอียดที่มาของคดี
คำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ ลต สส 2/2567 คดีหมายเลขแดงที่ ลต สส 339/2567 ศาลฎีกาวันที่ 25 เดือน กันยายน พุทธศักราช 2567 ความคดีเลือกตั้ง ระหว่าง คณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ร้องระหว่าง นายพรวิศิษฐ์ แจ่มใส ผู้คัดค้าน ที่ 1นางสาวณฐณณท์ เบญจภิญโญ ที่ 2 เรื่อง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือสิทธิเลือกตั้ง)
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2566 มีพระราชกฤษฎีกายุบสภา ผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2566 และประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง ลงวันที่ 21 มีนาคม 2566 เรื่อง กำหนดวันเลือกตั้ง วันรับสมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง วันรับสมัครรับเลือกตั้ง แบบบัญชีรายชื่อ และสถานที่ที่พรรคการเมืองจะส่งบัญชีรายชื่อผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อ กำหนด วันเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม 2566 ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขตเลือกตั้งที่ 5 จังหวัดนครสวรรค์ หมายเลข 9 พรรคพลังประชารัฐ แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง ผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้ช่วยหาเสียงของผู้คัดค้านที่ 1 ต่อมาผู้ร้องได้รับคำร้องว่า ผู้คัดค้านทั้งสอง กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 73 วรรคหนึ่ง (1)
@ เหตุเกิดปมแจกเงิน 200 หน้าศูนย์ ประสานงานพรรคพลังประชารัฐ สาขาตาคลี
ผู้ร้องไต่สวนแล้วข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2566 นายจุติ เฉลยวาเรศ ชักชวนนางสาวกมลพรพรรณ สุวรรณพิทักษ์ และครอบครัว ให้เข้าร่วมฟังปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งของผู้คัดค้านที่ 1 ในวันที่ 29 เมษายน 2566 บริเวณหน้าศูนย์ ประสานงานพรรคพลังประชารัฐ สาขาตาคลี หลังจากนางสาวกมลพรพรรณและครอบครัวเข้าร่วมฟัง การปราศรัยแล้ว นางน้อย เกษมสัตย์ แจ้งนางสาวกมลพรพรรณว่า นายจุตินำเงิน 200 บาท มามอบให้แก่นางน้อย แต่ไม่ได้มอบเงินให้แก่นางสาวกมลพรพรรณ เนื่องจากนางสาวกมลพรพรรณเข้าร่วมฟังปราศรัยแทนคนอื่น ต่อมาวันที่ 4 พฤษภาคม 2566 เวลา 11.30 นาฬิกา นางสาวกมลพรพรรณ เดินทางไปสอบถามสาเหตุที่ตนไม่ได้รับเงินค่าจ้างในการเข้าร่วมฟังการปราศรัยที่ศูนย์ประสานงานพรรคพลังประชารัฐ สาขาตาคลี เมื่อพบผู้คัดค้านที่ 2 นางสาวกมลพรพรรณจึงทวงถามเรื่องเงิน 200 บาท โดยแจ้งว่า จะไปร้องเรียนต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้คัดค้านที่ 2 จึงให้นางสาวกมลพรพรรณไปจดรายชื่อบุคคลที่นายจุติไม่ได้จดรายชื่อมาให้ผู้คัดค้านที่ 2 พร้อมกับมอบเงิน 10,000 บาท ให้แก่ นางสาวกมลพรพรรณ โดยเงินดังกล่าวส่วนหนึ่งเป็นค่าตอบแทนให้แก่ตาของนายนเรศ สุวรรณพิทักษ์ นายนเรศ และนางน้อย เกษมสัตย์ คนละ 500 บาท เพื่อให้ลงคะแนนให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ส่วนเงิน ที่ เหลือ 8,000 บาท เป็นค่าจ้างไม่ให้นางสาวกมลพรพรรณไปร้องเรียนคณะกรรมการการเลือกตั้ง ต่อมา เวลา 21.30 นาฬิกา นางสาวกมลพรพรรณกับนายนเรศจึงไปรวบรวมบัตรประจำตัวประชาชนผู้มีสิทธิ เลือกตั้ง 31 ใบ แล้วนำบัตรประจำตัวประชาชนดังกล่าวไปส่งมอบให้ผู้คัดค้านที่ 2 ที่ศูนย์ประสานงาน พรรคพลังประชารัฐ สาขาตาคลี ผู้คัดค้านที่ 2 ให้เจ้าหน้าที่ศูนย์ประสานงานพรรคพลังประชารัฐ สาขา ตาคลีนำบัตรประจำตัวประชาชนทั้งหมดไปคัดถ่ายเป็นสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนแล้วคืนบัตรประจำตัวประชาชนให้แก่นางสาวกมลพรพรรณ โดยผู้คัดค้านที่ 2 ให้นางสาวกมลพรพรรณเขียนชื่อ ที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์ของเจ้าของบัตรประจำตัวประชาชนลงในกระดาษเรียงตามลำดับชื่อเพื่อนำไปใช้ เป็นข้อมูลสำหรับเตรียมแจกเงินคนละ 500 บาท นอกจากนี้ผู้คัดค้านที่ 2 มอบเสื้อยืดสีน้ำเงินที่มีตรา สัญลักษณ์ของพรรคพลังประชารัฐและด้านหลังมีข้อความว่า “พรรคพลังประชารัฐ” 1 ตัว และเสื้อสีขาวที่มีตราสัญลักษณ์ของพรรคพลังประชารัฐและด้านหลังมีข้อความว่า “รับใช้ใกล้ชิดต้องพรวิศิษฐ์ แจ่มใส” 3 ตัว ให้แก่นางสาวกมลพรพรรณ ซึ่งมีลักษณะเป็นการให้ทรัพย์สินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจูงใจให้ ลงคะแนนให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 เมื่อผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้ช่วยหาเสียงของผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งมีบทบาทสำคัญ ในการหาเสียงเลือกตั้ง น่าเชื่อว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้ผู้คัดค้านที่ 2 ให้เงิน เสนอให้หรือสัญญาว่าจะให้เงิน รวมทั้งให้เสื้อดังกล่าวซึ่งเป็นทรัพย์สินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเอง อันเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง และฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 73 วรรคหนึ่ง (1) ประกอบมาตรา 138 วรรคหนึ่ง เป็นเหตุให้ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขตเลือกตั้งที่ 5 จังหวัดนครสวรรค์ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้คัดค้านที่ 1 มิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ผู้ร้องจึงมีมติให้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อพิจารณา ขอให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือ เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายพรวิศิษฐ์ แจ่มใส ผู้คัดค้านที่ 1 และ นางสาวณฐณณท์ เบญจภิญโญ ผู้คัดค้านที่ 2 เป็นเวลา 10 ปี ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 226 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 138 วรรคหนึ่ง
@ยื่นคัดค้าน มิได้เกี่ยวข้องร่วมกระทำความผิดกับผู้ช่วยหาเสียง ไม่เคยจ่ายเงิน 1 หมื่น พร้อมเสื้อ
ผู้คัดค้านที่ 1 ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านที่ 1 มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องร่วมกระทำความผิดกับนายจุติ เฉลยวาเรศ และผู้คัดค้านที่ 2 ผู้คัดค้านที่ 1 มิได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้บุคคลทั้งสองเป็นตัวแทนหรือเป็นหัวคะแนนให้กับผู้คัดค้านที่ 1 โดยการชักชวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขตเลือกตั้งที่ 5 จังหวัดนครสวรรค์ ให้ไปร่วมฟังการปราศรัยหาเสียงของผู้คัดค้านที่ 1 ที่บริเวณศูนย์ประสานงานพรรคพลังประชารัฐ เขตเลือกตั้งที่ 5 จังหวัดนครสวรรค์ ในวันที่ 29 เมษายน 2566 โดยนายจุติไปพบผู้มีสิทธิเลือกตั้งแล้วมอบเงิน 200 บาท เพื่อเป็นเงิน ค่าจ้างผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ไปเข้าร่วมฟังการปราศรัยของผู้คัดค้านที่ 1 ตามที่นางสาวกมลพรพรรณ สุวรรณพิทักษ์ กล่าวหา นายจุติเป็นผู้นำชุมชนตีคลีทำหน้าที่เพียงแจ้งให้ลูกบ้านทราบเกี่ยวกับการจัด ปราศรัยเพื่อให้ชาวบ้านทราบนโยบายของพรรคการเมืองเท่านั้น มิได้มีการให้ผลประโยชน์เพื่อจูงใจให้ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าร่วมฟังการปราศรัยของผู้คัดค้านที่ 1 ผู้คัดค้านที่ 2 เป็นเพียงผู้ช่วยหาเสียงไม่ได้ทำหน้าที่จัดหาหัวคะแนนหรือเป็นหัวคะแนนให้กับผู้คัดค้านที่ 1 ผู้คัดค้านที่ 1 ไม่เคยจ่ายเงิน 10,000 บาท และไม่มีการมอบเสื้อพรรคพลังประชารัฐ 4 ตัว ให้แก่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ผู้คัดค้านที่ 1 ไม่เคยรู้จักหรือเกี่ยวข้องกับนางสาวกมลพรพรรณหรือญาติของนางสาวกมลพรพรรณมาก่อน ผู้คัดค้านที่ 1 ไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องกับข้อความตามแอปพลิเคชันไลน์และคลิปบันทึกเสียงต่างๆ พยาน บุคคลของผู้ร้องล้วนเกี่ยวดองเป็นญาติกัน ไม่น่าเชื่อถือ นางสาวกมลพรพรรณกับพวกมีเจตนาใส่ร้าย กลั่นแกล้งผู้คัดค้านที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 2 ให้ถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ขอให้ยกคำร้อง
@ ผู้ช่วยหาเสียงอ้าง ถูกกลั่นแกล้งใส่ร้าย
ผู้คัดค้านที่ 2 ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้ช่วยหาเสียงของผู้คัดค้านที่ 1 ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง เขตเลือกตั้งที่ 5 จังหวัดนครสวรรค์ หมายเลข 9 พรรคพลังประชารัฐ ผู้คัดค้านที่ 2 ไม่เคยจ่ายเงิน 10,000 บาท และมอบ เสื้อพรรคพลังประชารัฐ 4 ตัว ให้แก่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ผู้คัดค้านที่ 2 ไม่เคยรู้จักหรือ เกี่ยวข้องกับนางสาวกมลพรพรรณและบุคคลที่เป็นญาติของนางสาวกมลพรพรรณมาก่อน ผู้คัดค้านที่ 2 ไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องกับข้อความตามแอปพลิเคชันไลน์และคลิปบันทึกเสียงต่างๆ พยานบุคคลของผู้ร้องเป็นชาวบ้านที่มีความเกี่ยวดองเป็นญาติกัน นางสาวกมลพรพรรณกับพวกมีเจตนาใส่ร้ายกลั่นแกล้ง ผู้คัดค้านทั้งสองเพื่อให้ถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ขอให้ยกคำร้อง
@กกต.ยื่นคำร้อง เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 10 ปี
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งไต่สวนและตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริง เบื้องต้นตามที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งกันรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2566 มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2566 และประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง ลงวันที่ 21 มีนาคม 2566 เรื่อง กำหนดวันเลือกตั้ง วันรับสมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง วันรับสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อและสถานที่ที่พรรคการเมืองจะส่งบัญชีรายชื่อผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อ กำหนดวัน เลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม 2566 ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขตเลือกตั้งที่ 5 จังหวัดนครสวรรค์ หมายเลข 9 พรรคพลังประชารัฐ แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง ตามเอกสารหมาย ร.4 ถึง ร.6 ตามลำดับ ผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้ช่วยหาเสียงของผู้คัดค้านที่ 1 ตามสำเนาหนังสือขอแจ้งรายชื่อและจำนวนผู้ช่วยหาเสียงเอกสารหมาย ร.7 ต่อมาผู้ร้องได้รับรายงาน กรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่า ผู้คัดค้านทั้งสองกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 73 วรรคหนึ่ง (1) ผู้ร้องไต่สวนแล้วเห็นว่ากรณีปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้ ผู้คัดค้านที่ 2 ให้เงิน เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้เงินและทรัพย์สินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 อันเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง และ การฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 73 วรรคหนึ่ง (1) ประกอบมาตรา 138 วรรคหนึ่ง เป็นเหตุให้ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขตเลือกตั้งที่ 5 จังหวัดนครสวรรค์ ในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านที่ 1 มิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือ เที่ยงธรรม ผู้ร้องจึงมีคำวินิจฉัยที่ 249/2566 ให้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านทั้งสองเป็นเวลา 10 ปี ตามรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 226 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่า ด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 73 วรรคหนึ่ง (1) ประกอบมาตรา 138 วรรคหนึ่ง
@ ยกคำร้องปม ผู้ช่วยหาเสียงปมเงิน 1 หมื่น-ซื้อเสียง 200 บ.
แต่สำหรับประเด็นที่กล่าวหาว่า ผู้คัดค้านที่ 2 มอบเงิน 10,000 บาท ให้แก่ นางสาวกมลพรพรรณ สุวรรณพิทักษ์ และประเด็นที่กล่าวหาว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็น เป็นใจให้นายจุติให้เงิน 200 บาท แก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อเป็นค่าตอบแทนในการเข้าร่วมฟังการปราศรัย หาเสียงนั้น คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนประจำจังหวัดนครสวรรค์ ไม่พบพยานหลักฐานเพียงพออันจะเชื่อได้ว่า ผู้คัดค้านที่ 2 มอบเงิน 10,000 บาท ให้แก่นางสาวกมลพรพรรณ และผู้คัดค้านที่ 1 ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายจุติ เฉลยวาเรศ ให้เงิน 200 บาท แก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพื่อเป็นค่าตอบแทนในการเข้าร่วมฟังการปราศรัยหาเสียง ผู้ร้องจึงมีคำสั่งให้ยุติเรื่องในประเด็นทั้งสองไป ตามรายงานไต่สวน เอกสารหมาย ร.ค. 1 หน้าที่ 452 ถึงหน้าที่ 486 และหน้าที่ 526 ถึงหน้าที่ 535 ตามลำดับ
@ ตั้งประเด็นวินิจฉัยปมแจกเสื้อ สัญลักษณ์ พปชร.-จดรายชื่อรวมรวมบัตร ปชช.เสนอค่าตอบแทน
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้คัดค้านทั้งสองกระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง และฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 73 วรรคหนึ่ง (1) ประกอบมาตรา 138 วรรคหนึ่ง โดยผู้คัดค้านที่ 2 ให้เสื้อที่มีตราสัญลักษณ์พรรคพลังประชารัฐแก่นางสาวกมลพรพรรณเพื่อเป็นการจูงใจให้ลงคะแนนให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 และมอบหมายให้นางสาวกมลพรพรรณไปจดรายชื่อและรวบรวมบัตรประจำตัวประชาชนจากผู้มีสิทธิเลือกตั้ง โดยเสนอว่าจะให้ค่าตอบแทนเพื่อให้ลงคะแนนให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 1 ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจกับการกระทำของผู้คัดค้านที่ 2 ดังกล่าว อันเป็นเหตุให้ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครสวรรค์ เขตเลือกตั้งที่ 5 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้คัดค้านที่ 1 มิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรมหรือไม่
@ คนรวบรวมบัตร ปชช. ไปทวงเงินผู้ช่วยหาเสียงที่สาขาพรรค โทร.คุยบอก ‘อยากให้เปิ้ลแจ้งชาวบ้านว่า เดี๋ยวพี่หงส์จะรีบจัดการให้’
ทางไต่สวนได้ความจากนางสาวกมลพรพรรณหรือเปิ้ล สุวรรณพิทักษ์ พยานผู้ร้องเบิกความว่า เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2566 เวลา 11.30 นาฬิกา นางสาวกมลพรพรรณเดินทางไปศูนย์ประสานงานพรรคพลังประชารัฐสาขาตาคลี เพื่อทวงถามถึงสาเหตุที่ไม่ได้รับค่าจ้าง 200 บาท ที่เข้าร่วมฟังการปราศรัยหาเสียงของ ผู้คัดค้านที่ 1 เมื่อนางสาวกมลพรพรรณพบผู้คัดค้านที่ 2 จึงทวงถามถึงเงินดังกล่าว และแจ้งว่าจะไปร้องเรียนต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้คัดค้านที่ 2 จึงให้นางสาวกมลพรพรรณไปจดรายชื่อที่ ตกหล่นในชุมชนและนอกชุมชนมา โดยผู้คัดค้านที่ 2 มอบเงิน 10,000 บาท พร้อมกับมอบเสื้อสีขาวที่มีตราสัญลักษณ์ของพรรคพลังประชารัฐและด้านหลังมีข้อความว่า “รับใช้ใกล้ชิดต้องพรวิศิษฐ์ แจ่มใส” ให้แก่นางสาวกมลพรพรรณ 2 ตัว ต่อมาเวลาประมาณ 21 นาฬิกา นางสาวกมลพรพรรณ ออกไปจดรายชื่อและรวบรวมบัตรประจำตัวประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งรวม 31 ใบ และแจ้งต่อเจ้าของบัตรประจำตัวประชาชนว่าให้เลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนครสวรรค์ เขตเลือกตั้งที่ 5 หมายเลข 9 แล้วจะนำเงิน 300 บาท ถึง 500 บาท มามอบให้ภายหลัง ต่อมาวันที่ 5 พฤษภาคม 2566 นางสาวกมลพรพรรณนำบัตรประจำตัวประชาชนที่รวบรวมมาส่งมอบให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 ผู้คัดค้านที่ 2 มอบให้เจ้าหน้าที่ในศูนย์ประสานงานพรรคพลังประชารัฐ สาขาตาคลี นำบัตรประจำตัวประชาชนไปคัดถ่ายเป็นสำเนาเอกสารแล้วส่งมอบบัตร ประจำตัวประชาชนคืนให้แก่นางสาวกมลพรพรรณ ครั้นวันที่ 6 พฤษภาคม 2566 นางสาวกมลพรพรรณได้รับเสื้อยืดสีน้ำเงิน 2 ตัว ที่มีตราสัญลักษณ์ของพรรคพลังประชารัฐ และ ด้านหลังมีข้อความว่า “พรรคพลังประชารัฐ” จากผู้คัดค้านที่ 2 จากนั้นในวันที่ 7 พฤษภาคม 2566 เวลาประมาณ 10 นาฬิกา นางสาวกมลพรพรรณเดินทางไปศูนย์ประสานงานพรรคพลังประชารัฐ สาขาตาคลี เพื่อทวงถามเรื่องเงินที่จะนำไปจ่ายให้แก่เจ้าของบัตรประจำตัวประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ไม่พบผู้คัดค้านที่ 2 แต่ได้โทรศัพท์พูดคุยกัน โดยผู้คัดค้านที่ 2 แจ้งว่า “คิวของทุกคนมันรออยู่ คืออยากให้เปิ้ลแจ้งชาวบ้านว่า เดี๋ยวพี่หงส์จะรีบจัดการให้ หรือว่าแจ้งชาวบ้านว่าเดี๋ยว จะจัดการให้ อย่าเพิ่งกรูเข้ามา” ตามบันทึกการสนทนา เอกสารหมาย ร.ค. 1 หน้าที่ 375 และ หน้าที่ 376
และได้ความจากนายนเรศ สุวรรณพิทักษ์ พยานผู้ร้องเบิกความว่า นายนเรศเดินทางไปรวบรวมบัตรประจำตัวประชาชนพร้อมกับนางสาวกมลพรพรรณ โดยนายนเรศเป็นผู้ไปติดต่อขอบัตรประจำตัวประชาชนจากนายวันชนะ จาดเนือง นางอุไร ก้านฟัก ซึ่งเป็นผู้ไปรวบรวมบัตรประจำตัวประชาชนจากญาติของนางอุไร และญาติของนายวันชนะมาให้นางสาวกมลพรพรรณ เมื่อรวบรวมบัตรประจำตัวประชาชนเสร็จแล้ว นายนเรศขับรถพานางสาวกมลพรพรรณไปที่ศูนย์ประสานงานพรรคพลังประชารัฐ สาขาตาคลี นายนเรศเห็นนางสาวกมลพรพรรณถือบัตรประจำตัวประชาชนดังกล่าวเข้าไปภายในศูนย์ประสานงานพรรคพลังประชารัฐ สาขาตาคลี
@เจ้าของบัตร ปชช.เบิกความ จะได้รับค่าตอบแทน 300 บาท ขอให้ลงคะแนนให้ผู้สมัคร
และผู้ร้องยังมีนางอุไรและนายวันชนะ มาเบิกความว่า นางสาวกมลพรพรรณรวบรวมบัตรประจำตัวประชาชนจากนางอุไรและนายวันชนะ โดยแจ้งว่า จะได้รับค่าตอบแทน 300 บาท และให้นางอุไร และนายวันชนะลงคะแนนให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 และได้ความจากพยานฝ่ายผู้คัดค้านทั้งสองซึ่งมีผู้คัดค้านทั้งสองมาเบิกความว่า นางสาวกมลพรพรรณแจ้งความเท็จแก่คณะกรรมการการเลือกตั้งการปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งในวันที่ 29 เมษายน 2566 ที่ศูนย์ประสานงานพรรคพลังประชารัฐ จังหวัดนครสวรรค์ เขตเลือกตั้งที่ 5 ไม่มีการให้ค่าจ้างแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าร่วมฟังการปราศรัย นายจุติมิได้เป็นหัวคะแนนของผู้คัดค้านที่ 1 นายจุติเป็นเพียงผู้นำชุมชนตีคลี ทำหน้าที่เพียงแจ้งให้ลูกบ้านทราบเกี่ยวกับการปราศรัยเท่านั้น ไม่มีเหตุการณ์การทวงเงิน 200 บาท หรือให้เงิน 10,000 บาท และนางสาวกมลพรพรรณไม่ได้ข่มขู่ว่าจะไปร้องเรียนคณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้คัดค้านที่ 2 รู้จักกับนางสาวกมลพรพรรณครั้งแรกในช่วงก่อนปราศรัยหาเสียงเลือกตั้ง นางสาวกมลพรพรรณแสดงตนชื่นชอบผู้คัดค้านที่ 1 และยินยอมจะสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ผู้คัดค้านที่ 2 จึงให้เจ้าหน้าที่ส่งมอบเสื้อให้แก่นางสาวกมลพรพรรณ ผู้คัดค้านที่ 2 ไม่ได้สั่งการให้นางสาวกมลพรพรรณไปจดรายชื่อพร้อมรวบรวมบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มีสิทธิเลือกตั้งมาส่งมอบให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 เพื่อจะให้เงินจูงใจให้ไปลงคะแนนแก่ผู้คัดค้านที่ 1 ในวันที่ 7 พฤษภาคม 2566 นางสาวกมลพรพรรณเดินทางมายังศูนย์ประสานงานพรรคพลังประชารัฐและมาก่อความวุ่นวาย เจ้าหน้าที่พรรคพลังประชารัฐแจ้งว่าพรรคไม่มีนโยบายในการซื้อเสียง นายปัญญากร แจ่มใส แจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรตาคลีเชิญตัวนางสาวกมลพรพรรณให้ออกจากศูนย์ประสานงานพรรคพลังประชารัฐ และมอบอำนาจให้ทนายความแจ้งความดำเนินคดีข้อหาบุกรุกแก่นางสาวกมลพรพรรณ นางสาวกมลพรพรรณร้องเรียนผู้คัดค้านทั้งสองโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อข่มขู่ มีเจตนาใส่ร้ายกลั่นแกล้งผู้คัดค้านทั้งสอง พยานบุคคลของผู้ร้องเป็นญาติพี่น้องกับนางสาวกมลพรพรรณ ผู้คัดค้านที่ 1 ไม่ได้เป็นผู้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้ผู้คัดค้านที่ 2 ให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
@ ผู้คัดค้านอ้างแจกเสื้อเพราะคนขอชื่นชอบ-รวบรวมบัตรฯเพื่อสมัครสมาชิกแต่ไม่มีสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนมาแสดงต่อศาล
เห็นว่า ตามพยานหลักฐานผู้ร้องและพยานหลักฐานผู้คัดค้านทั้งสองในชั้นไต่สวน ได้ความ ตรงกันว่า ผู้คัดค้านที่ 2 ให้เสื้อแก่นางสาวกมลพรพรรณ เพียงแต่แตกต่างกันในเรื่องสาเหตุแห่งการ มอบเสื้อให้เท่านั้น โดยนางสาวกมลพรพรรณเบิกความว่า ผู้คัดค้านที่ 2 ให้เสื้อที่มีตราสัญลักษณ์ พรรคพลังประชารัฐเพื่อให้นางสาวกมลพรพรรณไว้ใช้ในวันลงพื้นที่หาเสียง โดยผู้ร้องมีภาพถ่าย แสดงภาพนางสาวกมลพรพรรณใส่เสื้อยืดที่มีตราสัญลักษณ์พรรคพลังประชารัฐ เอกสารหมาย ร.ค. 1 หน้าที่ 365 และมีบทสนทนาทางแอปพลิเคชันไลน์ระหว่างนางสาวกมลพรรณและ ผู้คัดค้านที่ 2 เอกสารหมาย ร.ค.1 หน้าที่ 366 และ หน้าที่ 367 ที่มีการสนทนากันเกี่ยวกับการเดินหาเสียงมาสนับสนุนคำเบิกความของพยานผู้ร้อง แตกต่างจากพยานหลักฐานผู้คัดค้านทั้งสอง ที่มีเพียงผู้คัดค้านที่ 2 เบิกความว่า ผู้คัดค้านที่ 2 ให้เสื้อแก่นางสาวกมลพรพรรณเนื่องจากนางสาวกมลพรพรรณชื่นชอบในตัวผู้คัดค้านที่ 1 และยินยอมสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ จึงให้เจ้าหน้าที่ในพรรคพลังประชารัฐขอบัตรประจำตัวประชาชนของนางสาวกมลพรพรรณ และนายนเรศมาคัดถ่ายเอกสารเพื่อสมัครเป็นสมาชิกพรรค แต่ผู้คัดค้านทั้งสองกลับไม่มีสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนดังกล่าวมาแสดงต่อศาล ทั้งที่พยานหลักฐานนี้หากมีอยู่จริง ย่อมอยู่ ในความรู้เห็นของผู้คัดค้านทั้งสองและเป็นพยานหลักฐานสำคัญที่ต้องนำมาแสดง
@พยานหลักฐานชัดแจกเสื้อพรรค จูงใจลงคะแนน
นอกจากนี้ คำเบิกความของผู้คัดค้านที่ 2 ยังขัดแย้งกับข้อเท็จริงในคำคัดค้านของผู้คัดค้านทั้งสองที่อ้างว่า ผู้คัดค้านทั้งสองไม่เคยมอบเสื้อให้แก่ผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐอีกด้วย พยานหลักฐานของผู้คัดค้านทั้งสองในข้อนี้จึงเป็นพิรุธไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง พฤติการณ์แห่งคดีน่าเชื่อ ตามพยานหลักฐานผู้ร้องว่า ผู้คัดค้านที่ 2 มอบเสื้อที่มีตราสัญลักษณ์พรรคพลังประชารัฐให้แก่นางสาวกมลพรพรรณเพื่อให้นางสาวกมลพรพรรณใช้ในวันเดินหาเสียง เมื่อปรากฏว่า นางสาวกมลพรพรรณไม่ใช่ผู้ช่วยหาเสียงหรือบุคคลที่จะช่วยเหลือผู้คัดค้านที่ 1 ในการหาเสียง ตามระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียง เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 การที่ผู้คัดค้านที่ 2 ให้เสื้อที่มีตราสัญลักษณ์พรรคพลังประชารัฐแก่นางสาวกมลพรพรรณ จึงเข้าลักษณะเป็นการให้ทรัพย์สินเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1
@สั่งคนรวบรวมบัตรปชช.เตรียมแจกเงิน
สำหรับประเด็นที่ต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่าผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้มอบหมายให้นางสาวกมลพรพรรณรวบรวมบัตรประจำตัวประชาชน โดยผู้คัดค้านที่ 1 มีส่วน ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจ ให้ผู้คัดค้านที่ 2 เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 หรือไม่
เห็นว่า วิธีการ ในการจัดให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นใดเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเองหรือผู้สมัครอื่นนั้น ผู้กระทำความผิดย่อมต้องกระทำด้วยความระมัดระวังเพื่อป้องกันมิให้มีพยานหลักฐานเชื่อมโยงถึงตนได้โดยง่าย เนื่องจากมีผลเป็นการถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือสิทธิเลือกตั้งซึ่งเป็นเรื่องร้ายแรง ในการพิจารณาและวินิจฉัยว่า ผู้คัดค้านที่ 2 มอบหมายให้นางสาวกมลพรพรรณ เป็นผู้ดำเนินการ ดังกล่าวหรือไม่นั้น จึงต้องอาศัยพยานแวดล้อมมาพิจารณาประกอบกัน ซึ่งจากทางไต่สวนของผู้ร้องและผู้คัดค้านทั้งสองดังที่ได้กล่าวไว้แล้ว ได้ความสอดรับกันว่า นางสาวกมลพรพรรณและนายนเรศเป็นผู้ไปรวบรวมบัตรประจำตัวประชาชนจากผู้มีสิทธิเลือกตั้ง โดยเสนอว่าจะให้เงินเป็นค่าตอบแทนเพื่อจูงใจให้เจ้าของบัตรประจำตัวประชาชนซึ่งเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 แล้วผู้มีสิทธิเลือกตั้งดังกล่าวได้เดินทางมายังศูนย์ประสานงานพรรคพลังประชารัฐในวันที่ 7 พฤษภาคม 2567 เพื่อทวงถามถึงเรื่อง เงินที่นางสาวกมลพรพรรณแจ้งว่า ผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้มอบหมายให้ไปรวบรวมบัตรประจำตัวประชาชนมาให้ซึ่งพยานผู้ร้องนอกจากจะมีพยานบุคคล ได้แก่ นางสาวกมลพรพรรณ นายนเรศ นางอุไร และนายวันชนะ มาเบิกความสนับสนุนถึงเหตุการณ์การรวบรวมบัตรประจำตัวประชาชนแล้ว ผู้ร้องยังมีคลิปเสียงการสนทนาระหว่างนางสาวกมลพรพรรณและผู้คัดค้านที่ 2 เอกสารหมาย ร.ค.1 หน้าที่ 375 และหน้าที่ 376 ซึ่งตามบทสนทนาดังกล่าวผู้คัดค้านที่ 2 พูดว่า “เข้าใจป่ะ....เปิ้ลคือคนของพี่... คือตอนนี้พี่ไม่อยู่ไง... แล้วคิวของทุกคนมันรออยู่ คืออยากให้เปิ้ลแจ้ง ชาวบ้านว่า เดี๋ยวพี่หงส์จะรีบจัดการให้ หรือแจ้งชาวบ้านว่าเดี๋ยวจะจัดการให้ อย่าเพิ่งกรูกันเข้ามา”
และบทสนทนาทางแอปพลิเคชันไลน์ระหว่างผู้คัดค้านที่ 2 และนางสาวกมลพรพรรณ เอกสารหมาย ร.ค.1 หน้าที่ 366 ถึงหน้าที่ 374 ที่ปรากฏว่า บุคคลทั้งสองมีการติดต่อในวันที่ 4 พฤษภาคม 2566 โดยพูดคุยกันถึงเรื่องการช่วยเดินหาเสียง และในวันที่ 5 พฤษภาคม 2566 นางสาวกมลพรพรรณแจ้งต่อผู้คัดค้านที่ 2 เรื่องที่ได้บัตรประจำตัวประชาชนมาจากผู้มีสิทธิเลือกตั้ง โดยจะส่งงานให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 แล้วผู้คัดค้านที่ 2 ตอบรับกลับว่า “เคร”
@หลักฐานแชทไลน์เป็นระยะ
และยังมีข้อความจากนางสาวกมลพรพรรณอีกว่า “เจ้หงส์ จะให้เปิ้ลเขียนรายชื่อหรือเอา บัตรประชาชนไปปริ้นออฟฟิศคะ” ผู้คัดค้านที่ 2 ตอบกลับว่า “พรุ่งนี้ว่ากันคะ คอนนี้ยุ่งมาก เลย” และต่อมานางสาวกมลพรพรรณส่งภาพถ่ายรูปบัตรประจำตัวประชาชนที่ไปรวบรวมมา พร้อมรายชื่อที่จดไว้ให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 มีการส่งรูปภาพแสดงคนจำนวนมากซึ่งผู้คัดค้านที่ 2 สอบถามกลับว่า “เป็นไงบ้างตรงโน้น” นางสาวกมลพรพรรณ แจ้งกลับว่า “คนเยอะค่ะ ไปไม่ถึง 10 นาที ก็รีบกลับค่ะ เพราะว่าต้องไปตามล่าประชาชนต่ออีกค่ะ” ผู้คัดค้านที่ 2 ตอบกลับว่า “ไม่ใช่แค่ตาคลีนิ” นางสาวกมลพรพรรณแจ้งว่า “ไปให้เห็นนกสองหัวจริงๆ ค่ะ” ผู้คัดค้านที่ 2 ตอบกลับว่า “มีม่ะ” แล้วมีการพูดคุยกันผ่านแอปพลิเคชันไลน์เป็นระยะๆ ซึ่ง ข้อความที่ปรากฏจากการสนทนาผ่านแอปพลิเคชันไลน์หลายครั้ง บทสนทนาเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่แสดงให้เห็นถึงพฤติการณ์และความสนิทสนม รวมถึงการติดต่อพูดคุยกันโดยผู้คัดค้านที่ 2 แสดงออกว่านางสาวกมลพรพรรณเป็นคนของตน และผู้คัดค้านที่ 2 จะจัดการเรื่องชาวบ้านให้ตามคิว อันส่อแสดงให้เห็นว่า ผู้คัดค้านที่ 2 มอบหมายให้นางสาวกมลพรพรรณดำเนินการในเรื่องดังกล่าวมาตลอด
@คลิปเสียงสนทนาสอดรับ เชื่อมโยงกัน
อีกทั้งผู้ร้องยังมีคลิปเสียงการสนทนาระหว่างนางสาวกมลพรพรรณและนางอุไร ตามเอกสารหมาย ร.ค.1 หน้าที่ 379 ที่นางสาวกมลพรพรรณ พูดกับนางอุไรด้วยว่า “มันก็ได้แหละ แต่ช้าหน่อยต้องตามคิว” มานำสืบเพื่อชี้ให้เห็นถึงเหตุการณ์ที่สอดคล้องเชื่อมโยงกัน ตรงตามเหตุการณ์ที่นางสาวกมลพรพรรณเบิกความตั้งแต่เริ่มติดต่อกับ ผู้คัดค้านที่ 2 ในวันที่ 4 จนถึงวันที่ 7 พฤษภาคม 2566 เรื่อยมา เมื่อคลิปเสียงการสนทนา ดังกล่าวร้อยตำรวจเอกปุรเชษฐ์ ทองหนัก นักวิทยาศาสตร์ (สบ 1) กลุ่มงานตรวจสอบพิสูจน์ อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 6 ตรวจสอบแล้วไม่พบการตัดต่อแฟ้มข้อมูล เสียงตามรายงานการตรวจพิสูจน์เอกสารหมาย ร.ค.1 หน้าที่ 342 และบทสนทนาทาง แอปพลิเคชันไลน์ เอกสารหมาย ร.ค. 1 หน้าที่ 366 ถึงหน้าที่ 374 เป็นเอกสารที่ผู้คัดค้านที่ 2 อ้างส่งต่อคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนเอง ทั้งคลิปเสียงการสนทนาดังกล่าวยังสอดคล้องกับ ทางไต่สวนของผู้คัดค้านทั้งสองที่มีนายปัญญากรเบิกความว่า ในวันที่ 7 พฤษภาคม 2566 เมื่อนางสาวกมลพรพรรรณมาก่อความวุ่นวายที่ศูนย์ประสานงานพรรคพลังประชารัฐ เจ้าหน้าที่พรรคแจ้งว่า พรรคไม่มีนโยบายซื้อเสียง ซึ่งก็ปรากฏเสียงผู้ชายแทรกในคลิปเสียง ดังกล่าวว่า “มันไม่มี มันไม่มี นโยบายซื้อเสียง....” จึงยิ่งชี้ให้เห็นชัดเจนว่า คลิปเสียง การสนทนาดังกล่าวหาใช่เป็นการสร้างพยานหลักฐานเพื่อนำมาใช้กลั่นแกล้งร้องเรียนผู้คัดค้านทั้งสอง กรณีจึงมีความน่าเชื่ออันสามารถนำมารับฟังเพื่อสนับสนุนพยานหลักฐานผู้ร้องได้ ผิดกับพยานหลักฐานฝ่ายผู้คัดค้านทั้งสองที่มีเพียงผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 นายปัญญากร นายพัฒนจักษ์ แพทย์รัฏณิ์ มาเบิกความลอย ๆ ทำนองว่าผู้คัดค้านที่ 2 รู้จักกันนางสาวกมลพรพรรณครั้งแรกก่อนช่วงวันปราศรัย ไม่มีเหตุการณ์ในวันที่ 4 พฤษภาคม 2566 เกิดขึ้น นางสาวกมลพรพรรณเป็นผู้ไปรวบรวมบัตรประจำตัวประชาชนด้วยตนเอง แล้วมาก่อความวุ่นวายภายในศูนย์ประสานงานพรรคพลังประชารัฐในวันที่ 7 พฤษภาคม 2567 โดยเจ้าหน้าที่พรรคพลังประชารัฐแจ้งแล้วว่า พรรคไม่มีนโยบายซื้อเสียง โดยผู้คัดค้านทั้งสอง ไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดมาสนับสนุนนอกจากพยานบุคคลที่อาจปั้นแต่งเรื่องราวได้โดยง่าย ทั้งที่เหตุการณ์ในวันที่ 7 พฤษภาคม 2566 เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในศูนย์ประสานงานพรรคพลังประชารัฐเอง ซึ่งนายพัฒนจักษ์ซึ่งในฐานะที่ปรึกษากฎหมายและตัวแทนของพรรคพลังประชารัฐก็เบิกความด้วยว่าได้ตรวจสอบเหตุการณ์ดังกล่าวแล้วจากกล้องวงจรปิดและนำไปในการแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่นางสาวกมลพรพรรณในข้อหาบุกรุก แต่กลับไม่มี วิดีโอจากกล้องวงจรปิดดังกล่าวมาเสนอต่อศาลเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของผู้คัดค้านทั้งสอง พยานหลักฐานผู้คัดค้านทั้งสองจึงมีพิรุธ และไม่น่าเชื่อถือ
@ ผู้ช่วยหาเสียงเป็นญาติ-ไม่ได้รับปย.เป็นการส่วนตัว –ผู้คัดค้านที่ 1 รู้เห็น เสนอทรัพย์สินจูงใจทุจริตเลือกตั้ง
พยานหลักฐานของผู้ร้องรับฟังได้ว่า ผู้คัดค้านที่ 2 มอบหมายให้นางสาวกมลพรพรรณเป็นผู้ไปรวบรวมรายชื่อและบัตรประจำตัวประชาชนจากผู้มีสิทธิเลือกตั้ง อันเป็นการจัดเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 73 วรรคหนึ่ง (1) ประกอบมาตรา 138 วรรคหนึ่ง สำหรับผู้คัดค้านที่ 1 แม้ทางไต่สวนจะไม่ปรากฏประจักษ์พยานที่รู้เห็นว่า ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้สั่งการ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้ผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ช่วยหาเสียงกระทำทุจริตในการเลือกตั้งก็ตาม แต่เมื่อผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้ช่วยหาเสียงของผู้คัดค้านที่ 1 ประกอบกับระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 ข้อ 5 กำหนดว่า “ผู้ช่วยหาเสียง” หมายความว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ได้รับการว่าจ้างจาก ผู้สมัคร หรือพรรคการเมืองให้เข้าร่วมกิจกรรมในการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้ง ตลอดเวลาหรือช่วง ระยะเวลาหนึ่ง และเป็นบุคคลที่ได้แจ้งรายละเอียด หน้าที่ และค่าตอบแทนต่อสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัด” ข้อ 14 วรรคสี่ กำหนดว่า “ในกรณีผู้สมัครหรือพรรคการเมืองไม่แจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับผู้ช่วยหาเสียง หน้าที่และค่าตอบแทนผู้ช่วยหาเสียงจะดำเนินการหาเสียงเลือกตั้งด้วยวิธีการนี้มิได้” และ ข้อ 16 กำหนดว่า “ในกรณีบุคคลใดซึ่งมิใช่ ผู้ช่วยหาเสียงของผู้สมัครหรือพรรคการเมืองตามหมวดนี้เข้าช่วยเหลือในการหาเสียงเลือกตั้ง ให้ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองแจ้งเหตุการณ์นั้น ให้ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ประจำจังหวัดทราบโดยเร็ว” เห็นได้ว่า บุคคลที่จะเข้ามาเป็นผู้ช่วยหาเสียงต้องเป็นบุคคลที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประกอบกับภาพถ่ายเอกสาร หมาย ร.ค. 1 หน้าที่ 384 ถึงหน้าที่ 394 ปรากฏภาพเหตุการณ์ที่ผู้คัดค้านที่ 2 อยู่ใกล้ชิดกับผู้คัดค้านที่ 1 ขณะลงพื้นที่หาเสียง และผู้คัดค้านที่ 1 เบิกความว่า ผู้คัดค้านที่ 2 เป็นญาติฝ่ายมารดา ของผู้คัดค้านที่ 1 เมื่อตามทางไต่สวนไม่ปรากฏเหตุที่ผู้คัดค้านที่ 2 จะได้รับประโยชน์จากการกระทำในเรื่องดังกล่าวเป็นการส่วนตัว กรณีจึงมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า ผู้คัดค้านที่ 1 มีส่วนก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้ผู้คัดค้านที่ 2 ให้ทรัพย์สิน เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 อันเป็นการทุจริตในการเลือกตั้งและฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 73 วรรคหนึ่ง (1) ประกอบมาตรา 138 วรรคหนึ่ง เป็นเหตุให้ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครสวรรค์ เขตเลือกตั้งที่ 5 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้คัดค้านที่ 1 มิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม กรณีต้องเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านทั้งสอง พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้วเห็นสมควรเพิกถอน สิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้คัดค้านทั้งสองเป็นเวลา 10 ปี
พิพากษาให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของนายพรวิศิษฐ์ แจ่มใส ผู้คัดค้านที่ 1 และนางสาวณฐณณท์ เบญจภิญโญ ผู้คัดค้านที่ 2 เป็นเวลา 10 ปี นับแต่วันที่มีคำพิพากษา



Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา