
“ถ้าตอบไม่ได้ว่ามีรถยนต์ส่วนบุคคลดลงเท่าไหร่? มีนัยสำคัญหรือไม่? ช่วยลดฝุ่น PM2.5 หรือไม่ มาตรการนี้ก็ไม่ตอบโจทย์หรอกครับ ส่วนการที่นโยบายนี้ไม่ได้รวมเอารถเมล์ที่เดินรถโดย บจ.ไทยสมายล์บัส เข้ามา คิดว่าก็ไม่ได้ผลอยู่ดี คนที่ใช้รถยนต์ก็ใช้รถยนต์ต่อไป รถติดก็รถติดต่อไป” นายสามารถกล่าว
ภาวะฝุ่น PM 2.5 เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นแทบจะเป็นเทศกาลประจำปี
จากจุดเริ่มต้นที่คนตระหนักถึงปัญหานี้ครั้งแรกในรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผ่านเข้าสู่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่นำโดย ‘เศรษฐา ทวีสิน’ และล่าสุดคือ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ปัญหานี้ก็ยังเกิดขึ้นไม่สร่างซาลงไป
ล่าสุด ในช่วงที่นายกฯเดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่กรุงดาวอส ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ มีข้อสั่งการข้ามประเทศ ซึ่งนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แถลงเมื่อวันที่ 24 ม.ค. 68 ที่ผ่านมา มีสาระสำคัญดังนี้
1. รถไฟฟ้าทั้งบนดิน และใต้ดินให้บริการฟรี 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม ไปถึงวันที่ 31 มกราคม 2568 โดยได้สั่งการให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในสังกัดของกระทรวงคมนาคมให้บริการฟรี ทุกเส้นทาง
ส่วนรถไฟฟ้าบีทีเอส ได้เจรจากับผู้ประกอบการที่ให้บริการประชาชน ซึ่งได้แก่ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จํากัด (มหาชน) หรือ BTS และ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ให้ใช้รถไฟฟ้าฟรีทุกสายในระยะ 7 วัน ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ 25 มกราคม ไปจนถึง 31 มกราคม 2568 สำหรับรายได้ของทางเอกชนที่สูญเสียไปนั้น ทางรัฐบาลจะชดเชยตามค่าเฉลี่ย 7 วัน รวมประมาณ 140 ล้านบาท โดยมาจากงบกลาง
2.เพื่อเป็นการส่งเสริมการใช้รถสาธารณะ และลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล จึงให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ( ขสมก.) ให้ประชาชนใช้บริการรถเมล์ ฟรี ทุกสาย ในระยะเวลา 7 วันเช่นกัน ตั้งแต่ วันที่ 25 มกราคม ถึง 31 มกราคม 2568
3.ให้หน่วนงาน กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ลงพื้นที่ตรวจวัดค่าควันดำรถโดยสารสาธารณะและรถบรรทุก เพื่อแก้ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในกรุงเทพมหานคร จำนวน 8 จุด ประกอบด้วย 1.บริเวณหน้าฟิวเจอพาร์ครังสิต 2.ท่าเรือคลองเตย 3.หน้าสวนจตุจักร ถ.พหลโยธิน 4. ถ.บางนา-ตราด กม.1 5. ถ.สุวินทวงศ์ หน้าการประปามีนบุรี 6. ถ.พระรามสอง ขาออก หน้าแขวงการทางบางขุนเทียน 7.ถ.รังสิต-นครนายก กม.4 หน้าโลตัส 8. ถ.บรมราชชนนี ขาเข้า -ออก โดยหลังจากนี้ จะให้เจ้าพนักงานกระจายตามจุดต่างๆอย่างต่อเนื่อง เพื่อเข้าควบคุมมลภาวะทางรถยนต์ให้ได้มากที่สุด
4.ให้ กรมทางหลวง(ทล.) กรมทางหลวงชนบท (ทช.) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟท.) และหน่วยงานที่มีการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมต่าง ๆ เข้าบริหารจัดการพื้นที่ทันที เบื้องต้นให้ ผู้รับเหมาฉีดพรมน้ำ ทำความสะอาดล้อรถที่เข้า – ออกพื้นที่ก่อสร้าง กวาดล้างถนนที่เปื้อนดินจากการก่อสร้าง ปิดคลุมวัสดุก่อสร้างในการเก็บกองและขนย้าย และจัดการขยะอย่างเหมาะสม ห้ามเผาเด็ดขาด
นโยบายทั้ง 4 ข้อข้างต้น ข้อที่ประชาชนให้ความสนใจมากที่สุดคือ การให้ประชาชนนั่งรถไฟฟ้าและรถเมล์ฟรี 7 วัน ซึ่งจากการปิดให้ประชาชนใช้บริการวันแรกเมื่อวันที่ 25 ม.ค.ที่ผ่านมา เหล่าหน่วยงานที่กำกับดูแลรถเมล์และรถไฟฟ้าต่างออกมาโปรโมตว่ามีประชาชนโดยสารมากขึ้น 30-40% จากเดิม
แต่ไม่ได้บอกว่า จากมาตรการนี้มีผลสัมฤทธิ์ด้านการบรรเทาเบาบางปัญหาฝุ่นพิษอย่างไร? รวมถึงมีการตั้งคำถามว่า การเอางบประมาณ 140 ล้านบาทอุดหนุนนั้น เป็นสิ่งที่คุ้มกันหรือไม่?
ตัดมาที่เมืองหลวงฟ้าอมร กรุงเทพมหานคร (กทม.) สัปดาห์ที่ผ่านมาเรียกว่าดราม่าทัวร์ลงพ่อเมืองคนแกร่ง ‘ชัชชาติ สิทธิพันธุ์’ อย่างหนักหน่วง หลังค่าฝุ่นพุ่งทะลุสีแดงหลายต่อหลายวัน จนต้องเข็นมาตรการสั่ง Work From Home ยาวถึงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาและสั่งปิดโรงเรียนในสังกัด กทม. ทั้ง 352 แห่ง
ซึ่งมีเสียงวิจารณ์ถึงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ไม่ได้มีการเตรียมความพร้อมด้านมาตรการรองรับล่วงหน้า

บรรยากาศการใช้รถไฟฟ้าบีทีเอสหลังจากมีนโยบายให้โดยฟรี ภาพโดย: กรมการขนส่งทางราง (ขร.)
@รถเมล์ฟรี-รถไฟฟ้าฟรี ต้องตอบให้ได้คนใช้รถส่วนตัวมาใช้ไหม?
นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) และอดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอิศราว่า แม้ว่าหน่วยงานของกระทรวงคมนาคมจะออกมาเปิดเผยถึงผลสัมฤทธิ์ว่า มีคนขึ้นรถไฟฟ้ามากขึ้น 30-40% แต่สิ่งที่ควรบอกกล่าวให้ประชาชนทราบคือ การทำนโยบายดังกล่าวเปลี่ยนพฤติกรรมคนใช้รถยนต์ส่วนบุคคล มาใช้รถไฟฟ้ามากขึ้นจริงหรือไม่ เพราะรถไฟฟ้าฟรี คนแห่ขึ้นแน่นอน แต่คนที่มาใช้เพิ่มขึ้น เป็นคนที่ใช้รถยนต์ส่วนตัวมาก่อนหรือเปล่า หรือเป็นคนที่ใช้รถเมล์อยู่แล้ว หรือคนที่ไม่ได้เดินทางไปไหนอยู่แล้ว ก้ถือโอกาสพาลูกจูงหลานออกมาเดินทาง แถมช่วงที่รัฐบาลกำหนดให้ใช้ฟรี ก็ตรงกับช่วงเทศกาลตรุษจีนพอดี ก็น่าจะทำให้มีคนใช้งานรถไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก
“ถ้าตอบไม่ได้ว่ามีรถยนต์ส่วนบุคคลดลงเท่าไหร่? มีนัยสำคัญหรือไม่? ช่วยลดฝุ่น PM2.5 หรือไม่ มาตรการนี้ก็ไม่ตอบโจทย์หรอกครับ ส่วนการที่นโยบายนี้ไม่ได้รวมเอารถเมล์ที่เดินรถโดย บจ.ไทยสมายล์บัส เข้ามา คิดว่าก็ไม่ได้ผลอยู่ดี คนที่ใช้รถยนต์ก็ใช้รถยนต์ต่อไป รถติดก็รถติดต่อไป” นายสามารถกล่าว
ส่วนที่มีคำตอบว่า สิ่งที่รัฐบาลมีมาตรการออกมาก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลยนั้น นายสามารถเห็นว่า เข้าใจว่ารถยนต์เป็นสาเหตุหนึ่งของฝุ่นพิษ PM2.5 แต่มาตรการที่ทำมันต้องลดลงได้มากกว่านี้ และต้องเปลี่ยนพฤติกรรมคนที่ใช้รถยนต์ ให้หันมาใช้รถไฟฟ้าให้ได้
@ต้องชดเชยให้หมด อย่าเอาแค่ ‘คมนาคม’
ขณะที่ประเด็นเงินที่จะชดเชยระบบขนส่งมวลชนที่กำหนดไว้ 140 ล้านบาทแล้วมีการเปิดเผยภายหลังจะชดเชยเฉพาะระบบขนส่งมวลชนที่อยู่ภายใต้กระทรวงคมนาคมเท่านั้น นายสามารถกล่าวว่า ก็ต้องมีคำถามว่าแล้วรถไฟฟ้าสายสีเขียวและสายสีทอง ที่อยู่สังกัดกรุงเทพมหานคร (กทม.) ภายใต้กระทรวงมหาดไทย ซึ่งมีสัดส่วนผู้ใช้งานรถไฟฟ้ามากที่สุด ทำไมไม่ได้รับการชดเชย ซึ่งต้องรวมเข้าไปด้วย และเมื่อรวมรถไฟฟ้าสายสีเขียวกับทองเข้าไปแล้ว คาดว่าวงเงินที่ต้องชดเชยคือ 500 ล้านบาท ไม่ใช่ 140 ล้านบาท
“จะมองว่านโยบายนี้ออกมาเพื่อลดแรงกระแทกจากสังคมก็ได้ แต่ผลลัพธ์คือมันไม่ได้ผล เป้าหมายที่ต้องการลด PM2.5 ไม่ได้ผลหรอกครับ แล้วในกทม.นี้ ฝุ่นมาจากการเผาวัชพืช ลมพัดมาจากจังหวัดใกล้เคียงด้วย ผมคาดว่านโยบายนี้ไม่ได้ช่วยให้ปัญหา PM2.5 เบาบางลง และเรารู้กันอยู่แล้วว่าสัปดาห์นี้ฝุ่นควันจะลดลงจากสภาพอากาศ” นายสามารถกล่าว
นายสามารถแนะนำว่า การแก้ปัญหา PM2.5 ควรทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่มาทำเฉพาะช่วงหน้าหนาวกันอย่างเดียว กทม.เองก็ต้องกวดขันเรื่องไซต์งานก่อสร้าง ตรวจควันดำ และการห้ามเผาต่างๆ การบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องควรจริงจังทั้งพ.ร.บ.สาธารณสุข พ.ศ. 2535 และพ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ.2535 ซึ่งมีผลบังคับใช้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องรอให้ พ.ร.บ.จัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ….มีผลบังคับใช้ด้วย
ส่วนการที่เพ่งโทษว่าประเทศเพื่อนบ้านเป็นผู้เผาจนควันเข้ามาในประเทศสร้างมลพิษ นายสามารถมองว่า อย่าโทษประเทศเพื่อนบ้าน ประเทศไทยเองนี่แหละที่ต้องทำให้ดีก่อน เพราถ้าเราโทษประเทศเพื่อนบ้าน ประเทศเพื่อนบ้านก็โทษเราได้เช่นกัน
@กทม.ไม่ได้มีอำนาจเบ็ดเสร็จ
เมื่อถามถึงการบริหารมาตรการฝุ่น PM2.5 ของกทม. ทำไมยังไม่สามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ นายสามารถในฐานะอดีตรองผู้ว่าฯกทม.ให้ข้อมูลว่า กทม.มีภาระมาก แต่อำนาจทางกฎหมายให้มาไม่เบ็ดเสร็จ งานแต่ละอย่างมีหน่วยงานเกี่ยวข้องมาก ดังนั้น กทม.จะดูได้แค่บางส่วน แต่กทม.ต้องทำงานต่อเนื่อง เมื่อรู้แล้วว่าช่วงปลายปีจะมีปัญหานี้ก็ต้องเตรียมพร้อมทุกปี อย่าพูดว่าตัวเองไม่มีอำนาจทุกปีไม่ได้ ต้องควบคุมไซต์งานก่อสร้าง หรือมาตรการต่างๆต้องทำต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำเฉพาะช่วงที่เกิดปัญหา แล้วรัฐบาลกลางต้องควบคุมการเผาไม่ให้เกิดขึ้น โดยสั่งการผู้ว่าฯทุกจังหวัดให้เอาจริงเอาจัง ต้องดูตรงนี้ และถ้าทำต่อเนื่องก็จะไม่ต้องพูดกันมากอีก
ส่วนการแก้กฎหมายเพื่อเพิ่มอำนาจให้ กทม.นั้น นายสามารถมองว่า กทม.ควรประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการทำงานมากกว่า การแก้กฎหมายให้มีอำนาจมากขึ้น ก็ต้องมาดูด้วยว่าขอบเขต อำนาจหน้าที่อยู่ตรงไหน แล้วมีหน่วยงานอื่นที่ก็มีหน้าที่เกี่ยวข้อง มันช่วยกันได้อยู่แล้ว ซึ่งที่ผ่านมาไม่ได้ทำกันต่อเนื่อง

สามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) และอดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
@สุริยะ โต้คนใชช้รถยนต์มาใช้งานด้วย
ด้านนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นดังกล่าวว่า ประชาชนที่ใช้ประโยชน์เขาก็แฮปปี้กันหมด จึงไม่ทราบว่าใครมีประเด็นอะไร
ส่วนที่มีกระแสวิจารณ์ว่าเป็นการใช้งบประมาณที่แก้ไขปัญหาไม่ตรงจุด นายสุริยะกล่าวว่า ตัวเลขชัดเจน สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) มีกล้องวงจรปิดของ กทม. สามารถไปเช็กได้ว่ามีการใช้รถยนต์ลดลงหรือไม่ ซึ่งมีตัวเลขชัดเจนว่าใช้ลดลง จึงแสดงให้เห็นว่าการใช้มาตรการดังกล่าวทำให้ประชาชนใช้รถยนต์ส่วนตัวน้อยลง
เมื่อถามอีกว่า กลุ่มคนที่ขึ้นรถไฟฟ้าเป็นคนกลุ่มใหม่ด้วยใช่หรือไม่ นายสุริยะกล่าวว่า ดูจากปริมาณรถยนต์ที่ใช้ มีตัวเลขปรากฏว่าลดลงชัดเจน ในขณะที่มีมาตรการใช้รถไฟฟ้าฟรี

สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
แม้ฝ่ายรัฐจะออกมายืนยันว่า มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทำให้คนใช้รถมาใช้บริการสาธารณะจริงๆ
แต่ยังไม่มีคำตอบว่า จากมาตรการดังกล่าวช่วยให้ PM2.5 ลดลงเบาบางหรือไม่
แถมด้วยการอุดหนุนชดเชยที่ตั้งไว้ 140 ล้านบาทนั้น นำมาสู่คำถามว่าคุ้มค่าหรือไม่?
คำตอบนี้ ประชาชนอย่างเราๆท่านๆก็คงพอรู้

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา