
“มีการให้ความสําคัญกับปริมาณของการบังคับใช้กฎหมายมากเกินไป เมื่อเทียบกับคุณภาพของการดําเนินการบังคับใช้กฎหมาย” นายโคห์เลอร์กล่าวและกล่าวอีกว่ามีกรณีที่การบังคับใช้กฎหมายในหลายครั้งดูออกนอกลู่นอกทางไป จนกลายเป็นสิ่งที่ทำให้บริษัทตกอยู่ในลักษณะเสียเปรียบการแข่งขัน
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา ได้ ลงนามในคําสั่งบริหารในเพื่อหยุดการบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการติดสินบนของสหรัฐฯ หรือ FCPA ที่มีอายุหลายทศวรรษชั่วคราว จึงนำไปสู่คำถามว่าทำไมประธานาธิบดีสหรัฐฯ จึงดำเนินการเช่นนั้น การกระทำแบบนี้เอื้อให้บริษัทสหรัฐอเมริกาที่ทำธุรกิจในต่างแดนทุจริตได้มากขึ้นหรือไม่
จากกรณีดังกล่าวนั้นทางสำนักข่าววอยซ์ออฟอเมริกาได้มีการจัดทำบทวิเคราะห์เอาไว้ ซึ่งสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้นำบทวิเคราะห์ดังกล่าวมานำเสนอ มีรายละเอียดดังนี้
นับตั้งแต่ที่มีการใช้กฎหมาย FCPA นักเคลื่อนไหวที่สนับสนุนความโปร่งใสได้ให้เครดิตการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯในช่วงระยะเวลา 20 กว่าปีที่ผ่านมาในการยับยั้งการทุจริตในต่างแดน
อย่างไรก็ตาม มีนักวิจารณ์และนักธุรกิจระดับแนวหน้าหลายคนวิจารณ์ว่ากฎหมาย FCPA มาอย่างยาวนานเช่นกันว่ากฎหมายนี้ทำให้บริษัทอเมริกันเสียเปรียบในตลาดต่างประเทศที่การดําเนินธุรกิจอย่างเป็นเรื่องปกติ
แน่นอนว่าหนึ่งในผู้วิพากษ์วิจารณ์กฎหมาย FCPA นี้ก็คือนายทรัมป์นั่นเอง โดยในนาทีที่เขาได้ลงนามคำสั่งระงับการใช้กฎหมาย FCPA ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า “มัน (FCPA) ฟังดูดีบนกระดาษ แต่ในทางปฏิบัติมันเป็นหายนะหมายความว่าหากชาวอเมริกันไปต่างประเทศและเริ่มทําธุรกิจที่นั่นอย่างถูกกฎหมาย ถูกต้องตามกฎหมาย หรืออย่างอื่น มันเกือบจะเป็นการรับประกันว่าจะต้องมีการสอบสวน การฟ้องร้อง และไม่มีใครอยากทําธุรกิจกับชาวอเมริกันเพราะเรื่องนี้”
นี่คือรายละเอียดของกฎหมายและผลกระทบของคําสั่งผู้บริหารสําหรับกรณีการติดสินบนจากต่างประเทศและธุรกิจของสหรัฐฯ
@อะไรคือ FCPA
FCPA เป็นกฎหมายสหรัฐฯ ที่ห้ามไม่ให้บริษัทดำเนินการจ่ายเงินสดหรือของขวัญที่มีค่าแก่เจ้าหน้าที่ต่างประเทศเพื่อความได้เปรียบทางธุรกิจ แม้ว่ากฎหมายจะยกเว้น "การจ่ายเงินอํานวยความสะดวก" บางอย่าง แต่ก็ห้ามมิให้ใช้บุคคลที่สามในการติดสินบน
กฎหมาย FCPA มีผลบังคับใช้ในปี ค.ศ.1977 หลังกรณีการสืบสวนวอเตอร์เกตที่เปิดเผยการติดสินบนจากต่างประเทศอย่างกว้างขวางโดยบริษัทข้ามชาติในสหรัฐฯ สภาคองเกรสกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ และสถานะระหว่างประเทศ จึงตอบโต้ด้วยการกําหนดให้การปฏิบัติดังกล่าวเป็นอาชญากรรม
แม้ว่าในตอนแรกกฎหมายนี้จะมุ่งเน้นไปที่บริษัทอเมริกัน แต่เขตอํานาจศาลของกฎหมายก็ขยายออกไปอย่างมาก ปัจจุบันขยายไปถึงธุรกิจหรือบุคคลต่างชาติที่มีความเชื่อมโยงกับสหรัฐอเมริกา การเข้าถึงที่กว้างขวางนี้ช่วยให้อัยการสามารถดําเนินคดีกับบริษัทต่างชาติได้ เช่น บริษัทเนเอร์แลนด์ที่มีบริษัทในเครือในรัฐโอไฮโอถูกกล่าวหาว่าจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่จีนผ่านบริษัทสาขาอื่นๆในประเทศไทย
กฎหมาย FCPA นี้มีผลกระทบอย่างมากต่อการพัฒนากฎหมายต่อต้านการทุจริตทั่วโลก ในปี ค.ศ. 1997 องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาในกรุงปารีสใช้กฎหมาย FCPA เป็นแบบอย่างสําหรับอนุสัญญาต่อต้านการติดสินบน ซึ่งปัจจุบันมีประเทศสมาชิกอนุสัญญาทั้งสิ้น 46 ประเทศ
แม้ว่าจะมีการดำเนินคดีที่น้อยมากในช่วงสิบปีแรกหลังจากการประกาศให้กฎหมาย FCPA มีผลบังคับใช้ แต่ว่าในช่วงต้นปี ค.ศ. 2000 เป็นต้นมา ก็เกิดการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ เพราะกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯและสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯหรือ SEC ซึ่งเป็นสองหน่วยงานที่รับผิดชอบในการบังคับใช้บทบัญญัติของ FCPA ได้เพิ่มการบังคับใช้กฎหมายให้มากขึ้นอีก โดยสาเหตุส่วนหนึ่งของการเพิ่มมาตรการบังคับใช้มาจากกรณีอื้อฉาวทางธุรกิจที่เกิดขึ้นใหม่ที่เพิ่มขึ้นและข้อกําหนดใหม่ของรัฐสภาสําหรับการกํากับดูแลกิจการและการรายงานทางการเงิน
ประธานาธิบดีทรัมป์เซ็นคำสั่งระงับการใช้กฎหมาย FCPA เป็นการชั่วคราว (อ้างอิงวิดีโอจาก News 9 Live)
@กฎหมายถูกนํามาใช้อย่างไรในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา?
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการติดสินบนจากต่างประเทศของสหรัฐฯ มีความเข้มแข็ง โดยกระทรวงยุติธรรมและ SEC เปิดการสอบสวนเกือบ 174 ครั้งระหว่างปี ค.ศ. 2018 ถึง 2021 และปีที่แล้ว เพียงกระทรวงยุติธรรมแค่หน่วยงานเดียวได้ยื่นฟ้องบังคับใช้ตามกฎหมาย FCPA ไปถึง 17 คดี
โดยภูมิภาคละตินอเมริกากลายเป็นจุดร้อนแรง สําหรับการสืบสวนกรณีทำผิดกฎหมาย FCPA ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ส่วนในปี 2559 มีรายงานว่าบริษัทสัญชาติบราซิลสองแห่งได้ตกลงที่จะจ่ายเงินรวมถึง 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (117,913,250,000 บาท) หลังจากที่สารภาพว่าได้กระทำผิดในคดีติดสินบนต่างประเทศ ขณะที่ทางการสหรัฐฯได้เข้ามาสืบสวนคดีนี้เพราะว่าส่วนของการชําระเงินที่ผิดกฎหมายทําผ่านบัญชีธนาคารของสหรัฐฯ
ในปี 2563 บริษัท แอร์บัส เอสอี บริษัทผู้ผลิตเครื่องบินยักษ์ใหญ่ในยุโรปตกลงที่จะจ่ายเงินเกือบ 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (134,713,972,000 บาท) เพื่อยุติข้อหาติดสินบนจากต่างประเทศ ซึ่งนำไปสู่การสืบสวนของทั้งทางการสหรัฐฯ, อังกฤษ และฝรั่งเศส โดยคดีนี้บริษัทแอร์บัสยอมรับว่าใช้คนกลางติดสินบนเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้บริหารสายการบินเพื่อชนะสัญญาที่มีมูลค่าสูงในจีนและประเทศอื่นๆ
ในเดือน ม.ค.2567 มีกรณีที่บริษัท SAP SE บริษัทซอฟต์แวร์สัญชาติเยอรมันที่มีสํานักงานในสหรัฐอเมริกาตกลงที่จะจ่ายเงิน 220 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (7,406,190,506 บาท) เพื่อยุติการสอบสวนการจ่ายสินบนให้กับเจ้าหน้าที่แอฟริกาใต้และอินโดนีเซีย
ในเดือน ธ.ค.2567 บริษัท AAR Corp บริษัทผู้ให้บริการด้านการบินในรัฐอิลลินอยส์ตกลงที่จะจ่ายเงินมากกว่า 55 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (1,851,327,500) เพื่อยุติการสอบสวนการจ่ายสินบนให้กับเจ้าหน้าที่รัฐในเนปาลและแอฟริกาใต้
และล่าสุดก็มีการสืบสวนที่ประเทศอินเดียที่กำลังดำเนินการอยู่ เริ่มตั้งแต่เมื่อเดือน พ.ย.2567 ที่อัยการสหรัฐฯตั้งข้อหาอดีตพนักงานสามคนของสถาบันการลงทุนสัญชาติแคนาดา เนื่องจากพวกเขาเกี่ยวข้องกับแผนการติดสินบนที่เชื่อมโยงถึงมหาเศรษฐีชาวอินเดียชื่อว่านายกัมตัม อดานี (Gautam Adani)
กรณีบริษัทเวิร์ทเกน ประเทศไทย บริษัทลูกจอห์นเดียร์จ่ายสินบนให้กับเจ้าหน้าที่รัฐไทย (อ้างอิงวิดีโอจาก Rainmaker)
@เหตุใดทรัมป์จึงระงับการบังคับใช้กฎหมาย FCPA เป็นการชั่วคราว?
นายทรัมป์นั้นเคยเป็นนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ผู้มั่งคั่ง ก่อนที่จะมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่ที่ผ่านมาเขาได้เคยวิพากษ์วิจารณ์กฎหมาย FCPA มาตั้งแต่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยแรก และย้อนไปในปี 2555 เขาได้เคยออกมากล่าวว่าเป็นเรื่องที่น่ากลัวและไร้สาระ กับการที่มีกฎหมายที่ขัดขวางความสามารถของบริษัทสหรัฐฯ ในการทําธุรกิจในต่างประเทศ
ทว่าแม้จะเป็นผู้ที่วิจารณ์การใช้กฎหมาย FCPA แต่ว่าในช่วงที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสมัยแรก การบังคับใช้กฎหมาย FCPA กลับเพิ่มขึ้นมากในช่วงเวลานั้น โดยข้อมูลจากบริษัทกฎหมายมอร์ริสัน ฟอร์สเตอร์ระบุว่ามีการใช้บังคับกฎหมายมากถึง 2,000 ครั้ง
อนึ่งคําสั่งผู้บริหารที่กําหนดกรอบการระงับการบังคับใช้กฎหมาย FCPA เป็นการชั่วคราวเป็นส่วนหนึ่งของวาระประธานาธิบดีเพื่อ "พัฒนาเศรษฐกิจและความมั่นคงของอเมริกันโดยการขจัดอุปสรรคที่มากเกินไปต่อการค้าของอเมริกาในต่างประเทศ"
โดยเนื้อหาคำสั่งการระงับบังคับใช้ระบุว่า “การบังคับใช้กฎหมายนี้มีความยืดออกไปจนเกินขอบเขตที่เหมาะสม และกลายเป็นการใช้ในทางละเมิดในลักษณะที่เป็นอันตรายต่อผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกา” และยังระบุอีกว่าการบังคับใช้กฎหมายมากเกินไป เป็นอันตรายต่อบริษัทสหรัฐฯ และ ละเมิดอํานาจมาตรา 2 ของประธานาธิบดีในการดําเนินกิจการต่างประเทศ
ทางด้านของนายไมค์ โคห์เลอร์ ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจตามกฎหมาย FCPA กล่าวว่าความกังวลเกี่ยวกับการบังคับกฎหมาย FCPA ที่จริงจังนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ โดยที่ผ่านมาทั้งสมาชิกพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันต่างก็ออกมาหยิบยกประเด็นที่คล้ายคลึงกันในช่วงตลอดเวลา 20 ปี เกี่ยวกับกฎหมาย FCPA นี้
“มีการให้ความสําคัญกับปริมาณของการบังคับใช้กฎหมายมากเกินไป เมื่อเทียบกับคุณภาพของการดําเนินการบังคับใช้กฎหมาย” นายโคห์เลอร์กล่าวและกล่าวอีกว่ามีกรณีที่การบังคับใช้กฎหมายในหลายครั้งดูออกนอกลู่นอกทางไป จนกลายเป็นสิ่งที่ทำให้บริษัทตกอยู่ในลักษณะเสียเปรียบการแข่งขัน
อย่างไรก็ตามหน่วยงานที่สนับสนุนการดำเนินงานอย่างโปร่งใสเตือนว่าการระงับการบังคับใช้กฎหมาย FCPA อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อความพยายามในการต่อต้านการติดสินบนทั่วโลก
“การหยุดการบังคับใช้กฎหมายเป็นการชั่วคราวนี้จะเป็นประโยชน์ต่อนักธุรกิจที่ไร้คุณธรรมทั่วโลกซึ่งจนถึงขณะนี้กลัวการไล่ล่าทางอาญาของสหรัฐฯ” องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติหรือ Transparency International กล่าวในแถลงการณ์ และเรียกร้องให้สมาชิกอนุสัญญาต่อต้านการติดสินบน OECD เพื่อเพิ่มการบังคับใช้หลังจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐฯ
@คำสั่งระงับการใช้กฎหมาย ส่งผลกระทบอะไรต่อการสืบสวนการติดสินบนจากต่างประเทศ?
คําสั่งผู้บริหารกําหนดให้มีการระงับการสอบสวนการติดสินบนจากต่างประเทศเป็นเวลาหกเดือนโดยกระทรวงยุติธรรม ดังนั้นคดีที่ดำเนินการภายใต้กฎหมาย FCPA เกือบทั้งหมดจะถูกระงับในขณะที่อัยการสูงสุดนางแพม บอนดี้ (Pam Bondi) จะดําเนินการทบทวนและแก้ไขแนวทางการบังคับใช้กฎหมาย FCPA
อนึ่งคำสั่งผู้บริหารได้กำหนดให้เป็นดุลยพินิจของนางบอนดี้ในการขยายการหยุดการบังคับใช้กฎหมาย FCPA ชั่วคราวออกไปอีกหกเดือน หากเห็นว่าเหมาะสม
สำหรับตัวนางบอนดี้ได้สั่งการให้อัยการของรัฐบาลกลางจัดลําดับความสําคัญของคดีเกี่ยวข้องกับกฎหมาย FCPA โดยดึงเอาคดีเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติดและองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติเอามาไว้เป็นลำดับต้นๆ
ส่วนนักกฎหมายจากบริษัทกฎหมายต่างๆก็ได้ออกมาเตือนเหล่าบรรดาลูกค้าที่เป็นนักธุรกิจว่าคำสั่งบริหารจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่ได้หมายความว่าจะให้อิสระกับพวกเขาในการให้สินบน
“การติดสินบนยังคงผิดกฎหมาย” ทนายความจากบริษัทกฎหมาย Arnold & Porter กล่าวในบทวิเคราะห์คำสั่งบริหารและกล่าวอีกว่า “กฎหมาย FCPA ยังคงอยู่ สภาคองเกรสยังไม่ได้ยกเลิกกฎหมายนี้ และกฎหมายของรัฐ รัฐบาลกลาง และต่างประเทศอื่น ๆ อีกมากมายยังคงห้ามการติดสินบน”
เรียบเรียงจาก:https://www.voanews.com/a/why-is-trump-pausing-us-anti-bribery-law-/7976000.html

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา