
“…จำเลยที่ 10 ที่ 14 ที่ 17 และที่ 38 เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง บางคนเป็นนักการเมือง บางคนเป็นนักธุรกิจประกอบสัมมาชีพโดยสุจริตมีคุณงามความดีมาก่อน ที่ศาลชั้นต้นรอการลงโทษจำคุกให้นั้นเหมาะสมแก่สภาพความผิดแล้วนั้น โจทก์เห็นว่า ตามพฤติการณ์ในการกระทำความผิดของจำเลยดังกล่าวตามที่โจทก์ฎีกานั้น เป็นการร่วมกันกระทำความผิดโดยเป็นตัวการแบ่งหน้าที่กันทำโดยมีวัตถุประสงค์และเจตาพิเศษเพื่อล้มล้างอำนาจการบริหารของรัฐบาลเพื่อให้รัฐบาลปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้และให้รัฐบาลลาออก ก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองละเมิดต่อสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น มีผลเสียต่อประเทศชาติตามมาอย่างใหญ่หลวง และเกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ กรณีจึงเป็นเรื่องร้ายแรงเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่น…”
สืบเนื่องจากกรณีเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2567 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนยกฟ้องฐานความผิดเป็นกบฏและลดโทษฐานความผิดก่อการร้ายนายสุเทพ เทือกสุบรรณ จำเลยที่ 1 กับพวกรวม 39 คน เนื่องจากเห็นว่าเป็นการกระทำกรรมเดียวในคดีชุมนุมกลุ่มกปปส. ขับไล่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และขัดขวางการเลือกตั้ง ระหว่างวันที่ 23 พฤศจิกายน 2556 – 1 พฤษภาคม 2567
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด (สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 4) ในฐานะโจทก์ ยื่นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวกรวม 39 คน เป็นจำเลย เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2567
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องประกอบ : ศาลอุทธรณ์สั่งลงโทษยุยงปลุกปั่น ‘สุเทพ’ คุก1 ปี-แกนนำกปปส.1 ปี 8 ด.-ได้ประกันสู้ชั้นฏีกา
ตามเอกสารคำฟ้อง ข้อ 3 สำนักงานอัยการสูงสูด ระบุฐานความผิดของจำเลยทั้ง 39 คน พร้อมผลของคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ดังนี้ 1.ความผิดฐานร่วมกันเป็นกบฎตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 10 และจำเลยที่ 13 ถึงที่ 39 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
2.ความผิดฐานก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/2 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 3 ตามคำพิพากาษาศาลชั้นต้น
3.ความผิดฐานกระทำให้ปรากฎแก่ประชาชนด้วยวาจาหรือวิธีการอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ และมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจ และเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่สิบคนขึ้นไปใช้หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง และฐานยุยงให้เกิดการร่วมกันหยุดงานเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินเพื่อบังคับรัฐบาล และบุกรุกสถานที่ราชการ ที่ทำการของรัฐวิสาหกิจและของเอกชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 มาตรา 117 วรรคหนึ่ง มาตรา 215 วรรคสองและวรรคสาม มาตรา 216 และมาตรา 365 ประกอบมาตรา 362 มาตรา 364 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 13 ที่ 18 ที่ 21 ที่ 23 ที่ 27 ที่ 28 ที่ 31 ที่ 32 ที่ 33 ที่ 36 ที่ 38 และที่ 39 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
4.ความผิดฐานขัดขวางมิให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 76 มาตรา 152 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ที่ 6 ที่ 7 ที่ 9 ที่ 10 ที่ 13 ที่ 14 ที่ 15 ที่ 17 ที่ 18 ที่ 19 ที่ 20 ที่ 21 ที่ 22 ที่ 23 ที่ 25 ที่ 26 ที่ 27 ที่ 28 ที่ 29 ที่ 30 ที่ 31 ที่ 34 ที่ 35 ที่ 36 ที่ 37 และที่ 39 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ซึ่งต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
5.ความผิดฐานขัดขวางมิให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งใช้สิทธิเลือกตั้ง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 76 มาตรา 152 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ลงโทษและรอการลงโทษจำคุก จำเลยที่ 10 ที่ 14 ที่ 17 และที่ 38 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ซึ่งต้องห้ามฏีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ุ6.ความผิดฐานกระทำใให้ปรากฎแก่ประชาชนด้วยวาจาหรือวิธีการอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ และมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริตเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจ และเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่สิบคนขึ้นไปใช้หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง และฐานยุยงให้เกิดการร่วมกันหยุดงาน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายของแผ่นดิน เพื่อบังคับรัฐบาล และบุกรุกสถานที่ราชการ ที่ทำการของรัฐวิสาหกิจ และของเอกชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 มาตรา 117 วรรคหนึ่ง มาตรา 215 วรรคสองและวรรคสาม มาตรา 216 และมาตรา 365 ประกอบมาตรา 362 มาตรา 364 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นความผิดกรรมเดียวอันเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและยังคงพิพากษาลงโทษจำคุก จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 7 ที่ 8 ที่ 10 ที่ 14 ที่ 15 ที่ 16 ที่ 17 ที่ 24 ที่ 26 ที่ 29 ที่ 34 ไม่เกินห้าปี ซึ่งต้องห้ามฏีกาในปัญหาข้อเท็จริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
สำหรับฎีกาคำฟ้องของพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด (สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 4) ของโจทก์ กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวก รวม 39 คน จำเลย มีดังต่อไปนี้
ฐานความผิด ร่วมกันเป็นกบฏ, ร่วมกันยุยงหรือจัดให้เกิดการร่วมกันหยุดงาน ร่วมกันปิดงานงดจ้าง, กระทำให้ปรากฎแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือหรือวิธีอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน
อั้งยี่, ซ่องโจร, มั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ผู้กระทำคนหนึ่งคนใดมีอาวุธ เป็นหัวหน้า หรือผู้มีหน้าที่สั่งการ และเมื่อเจ้าพนักงานสั่งผู้ที่มั่วสุมให้เลิกไปแล้วไม่เลิก, ร่วมกันบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย โดยมีอาวุธหรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปหรือในเวลากลางคืน และร่วมกันขัดขวางการปฏิบัติงานของคณะกรรมการการรเลือกตั้ง และร่วมกันขัดขวางเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้ง และร่วมกันกระทำการโดยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย เพื่อไม่ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งสามารถใช้สิทธิได้ หรือขัดขวางหรือหน่วงเหนี่ยวมิให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไป ณ ที่เลือกตั้ง หรือเข้าไป ณ ที่ลงคะแนนเลือกตั้งและเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิด และร่วมกันทำให้เสียทรัพย์
โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องเป็นใจความว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 39 กับพวกกระทำความผิดตามกฎหมายหลายกรรมต่างกัน โดยโจทก์ไม่เห็นพ้องด้วยที่ศาลอุทธรณ์ จึงฎีกา ดังนี้
@ ตัวการร่วม-ผู้สนับสนุน ฐานเป็นอั้งยี่
2.1 ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ความผิดฐานเป็นอั้งยี่ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 10 ที่ 13 ถึงที่ 39 ไม่ปรากฏว่ามีการปกปิด อำพราง ซ่อนเร้น หรือปกปิดวิธีการดำเนินการ จึงไม่เป็นความผิด โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษในความผิดฐานดังกล่าว โดยไม่ได้โต้แย้งว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นไม่ถูกต้องอย่างไร จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชัดแจ้ง ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยนั้น
โจทก์เห็นว่า ตามคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ได้โต้แย้งคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในความผิดฐานอั้งยี่ไว้ชัดเจนแล้วว่า จำเลยที่ 1 กับพวกจัดตั้งเป็นคณะบุคคลใช้ชื่อว่า “คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” หรือ “กปปส.” จำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันกระทำความผิด โดยได้มีการแบ่งหน้าที่กันทำ
โดยจำเลยที่ 1 ประกาศตัวเป็นเลขาธิการของคณะบุคคลดังกล่าว จำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 เป็นคณะกรรมการและมีสมาชิกและกรรมการผู้มีหน้าที่สั่งการจำนวนหนึ่ง คณะบุคคลทุกกลุ่มดังกล่าว มีวัตถุประสงค์ร่วมกันกระทำการล้มล้างเปลี่ยนแปลงอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาญาจักรไทย พุทธศักราช 2550
ทั้งยังได้ร่วมกันรวบรวมรับสมัครจัดหาชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งมาเป็นกองกำลัง สะสมกำลัง โดยประกาศรับสมัครชายฉกรรจ์ 500 คน เพื่อไล่ล่านายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอื่น เพื่อจับตัว บีบบังคับให้หยุดปฎิบัติหน้าที่ บริหารราชการแผ่นดินและให้พ้นจากตำแหน่ง จัดตั้งศาลประชาชนขึ้นพิจารณาพิพากษาลงโทษและริบทรัพย์สิน
“จึงเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งไว้ชัดเจนแล้วว่า คำพิพากษาของศาลชั้นต้นไม่ถูกต้องอย่างไร ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะรับอุทธรณ์ของโจทก์ในความผิดฐานเป็นอั้งยี่ไว้วินิจฉัย ซึ่งพยานหลักฐานโจทก์รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 10 ที่ 13 ถึงที่ 39 เป็นตัวการร่วมกัน หรือเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานเป็นอั้งยี่ตามเหตุผลในคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์”
@ มี ‘เจตนาพิเศษ’ – ‘ความผิดสำเร็จ’ – ‘เล็งเห็นผล’
2.2 ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าความผิดฐานกบฏข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 10 ที่ 13 ถึงที่ 39 เป็นตัวการร่วมหรือสนับสนุนในการกระทำความผิดฐานกบฏ อุทธรณ์ของโจทก์ยังฟังไม่ขึ้นและพิพากษาให้ยกฟ้องตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้น
โจทก์เห็นว่า หากบุคคลใดได้ลงมือกระทำการโดยการใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายแล้วและมี “เจตนาพิเศษ” เพื่อล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ หรือให้ใช้อำนาจดังกล่าวไม่ได้ บุคคลดังกล่าวย่อมกระทำ “ความผิดสำเร็จแล้ว” ซึ่งโจทก์ได้นำพยานหลักฐานเข้านำสืบแสดงให้เห็นชัดแล้วว่า จำเลยทั้งหมดได้กระทำการตามที่ปราศรัยไว้เป็นขั้นตอน โดยร่วมกันกระทำการปลุกระดม ยุยง ชักชวนให้ประชาชน ทั่วราชอาณาจักรเข้าร่วมการชุมนุม และร่วมกิจกรรมในการก่อความไม่สงบ โดยมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายที่จะขับไล่รัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้พ้นจากตำแหน่ง
“ความรุนแรงดังกล่าวเกิดขึ้นมาจากการปลุกเร้าของจำเลยที่ 1 กับพวก ซึ่งจำเลยที่ 1 กับพวก ย่อม เล็งเห็นผล ถึงความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นดังกล่าวได้ และได้เกิดความรุนแรงขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 กับพวก ได้ห้ามปรามผู้ชุมนุมแต่ประการใด การกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 10 ที่ 13 ถึงที่ 39 จึงเป็น ตัวการร่วม กันกระทำความผิดฐานร่วมกันเป็นกบฏ ตาม ป.อ. มาตรา 113 (ยกเว้นจำเลยที่ 21 ที่ 22 ที่ 23 และที่ 28 ซึ่งเป็น ผู้ร่วมสนับสนุน การกระทำความผิดดังกล่าว ตามฟ้องโจทก์)”
@ ปราศรัยปลุกเร้า-แบ่งหน้าที่กันทำ
2.3 ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ความผิดฐานก่อการร้ายที่บริษัท กสท. โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบไม่ปรากฏชัดว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็น ผู้สั่งการ หรือ ร่วมรู้เห็น กับผู้ชุมนุมที่กระทำการก่อการร้าย หรืออยู่ด้วยแต่ไม่ห้ามปราม อันจะทำให้เห็นว่าเป็นการร่วมกระทำความผิดด้วย จึงเป็นที่สงสัยว่าจำเลยที่ 3 กระทำความผิดหรือไม่ และพยานหลักฐานฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 ร่วมรู้เห็นกับการกระทำของผู้ชุมนุมที่ตัดกระแสไฟฟ้าและยื้อแย่งเครื่องปั่นไฟกับเจ้าหน้าที่ของบริษัทฯ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องศาลอุทธรณ์เห็นด้วย อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้นและพิพากษาให้ยกฟ้องตามคำพิพากษาชั้นต้นนั้น
“โจทก์เห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 ปราศรัยประกาศว่าในวันเกิดเหตุจะนำกลุ่มผู้ชุมนุมเข้ายึดและควบคุมพื้นที่ บริษัท กสท. โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) โดยจำเลยที่ 1 ถึงแม้จะไม่ได้เดินทางไปกับผู้ชุมนุม แต่ย่อมทราบดีอยู่แล้วว่า บริษัทดังกล่าวประกอบกิจการระบบโทรคมนาคมทั้งในประเทศและต่างประเทศ หากมีการเข้ายึดควบคุมพื้นที่ตามที่จำเลยที่ 1 ปราศรัยปลุกเร้า แล้ว จำเลยที่ 1 ย่อมเล็งเห็นผลได้ว่า มีความล่อแหลมที่จะเกิดความเสียหายต่อกิจการดังกล่าวได้ เป็นการร่วมกันกระทำความผิดโดย แบ่งหน้าที่กันทำ กับจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้นำมวลชนไปที่บริษัทดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหาย เป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อระบบโทรคมนาคม และโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์แต่สาธารณะของประเทศ ทำให้เกิดความเสียหายเป็นจำนวนนับพันล้านบาท”
ทั้งนี้ โจทก์ได้นำพยานหลักฐานแสดงต่อศาล โดยมีพยานเบิกความยืนยันเหตุการณ์ที่บริษัท กสท.ฯ ว่า จำเลยที่ 3 นำกลุ่มผู้ชุมนุมไปที่บริเวณหน้าอาคารดังกล่าว จากนั้นได้รับแจ้งว่ากระแสไฟฟ้าดับ มีการยื้อแย่ง มีชายคนหนึ่งชักอาวุธข่มขู่เจ้าหน้าที่ พบอุปกรณ์ควบคุมกระแสไฟฟ้าเสียหายและถูกลักเอาไป และมีพยานยืนยันว่า จำเลยที่ 1 ประกาศว่าในวันเกิดเหตุจะนำกลุ่มผู้ชุมนุมเข้ายึดสำนักงาน กสท.ฯ จากนั้น ในวันเกิดเหตุ จำเลยที่ 3 ก็ได้นำกลุ่มผู้ชุมนุมไปยังที่เกิดเหตุ
ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและยกฟ้องโจทก์ในข้อหาดังกล่าวจึงคลาดเคลื่อนต่อข้อเท็จจริงและไม่ชอบด้วยกฎหมาย
@ ปลุกระดม
2.4 ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เฉพาะจำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 ที่ 7 ที่ 8 ที่ 10 ที่ 14 ถึงที่ 17 ที่ 24 ที่ 26 ที่ 29 ที่ 34 และที่ 37 แบ่งหน้าที่กันทำ และต่างถือเอาผลของการกระทำของจำเลยอื่นเป็นของตนเฉพาะการกระทำที่ไม่ใช้ความรุนแรง ซึ่งอยู่ในขอบเขตที่มีการตกลงกัน ในการปิดล้อมสถานที่ต่าง ๆ ตามที่ได้ความจากการพิจารณา และเฉพาะจำเลยที่ 3 ที่ 5 ที่ 8 ที่ 16 ที่ 24 ที่ 33 และที่ 38 ที่เป็นตัวการร่วมในการพากลุ่มผู้ชุมนุมไปปิดล้อมหน่วยเลือกตั้ง และไม่อาจถือว่าจำเลยอื่นที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปิดสถานที่สำคัญหรือปิดหน่วยเลือกตั้ง ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยนั้น
“โจทก์เห็นว่า จากพฤติการณ์การกระทำผิดของจำเลยที่ 1ถึงที่ 10 ที่ 13 ถึงที่ 20 ที่ 24 ถึงที่ 27 และที่ 29 ถึงที่ 39 โดยจำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 ได้รับการประกาศจากจำเลยที่ 1 ให้เป็นกรรมการ กปปส. ส่วนจำเลยที่ 10 ที่ 13 ถึงที่ 39 แม้บางคนจะไม่ได้รับการประกาศให้เป็นกรรมการ กปปส. แม้บางคน จะไม่ได้รับการประกาศให้เป็นกรรมการ กปปส. แต่ได้มีการขึ้นปราศรัยบนเวทีของ กปปส.หลายครั้ง มีการนำมวลชนไปยังสถานที่ต่าง ๆ พฤติการณ์ถือได้ว่า เป็นสมาชิกของกลุ่ม กปปส.ด้วย”
โดยจำเลยทั้งหมดมีเจตนาชัดแจ้งที่เป็นส่วนหนึ่งในคณะบุคคลของจำเลยที่ 1 และกลุ่ม กปปส. และทราบเจตนาของจำเลยที่ 1 กับพวก จากการประกาศบนเวทีและถ่ายทอดสถานีโทรทัศน์ โดยคณะบุคคลกลุ่ม กปปส. มีการปรับเปลี่ยนวิธีการหลากหลายรูปแบบเพื่อล้มล้างอำนาจการบริหารของรัฐบาล พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 10 ที่ 13 ถึงที่ 20 ที่ 24 ถึงที่ 27 และที่ 29 ถึงที่ 39 จึงมีลักษณะเป็น ตัวการร่วม กันกระทำความผิด เมื่อจำเลยคนใดคนหนึ่งกระทำผิด จำเลยอื่นย่อมเป็นตัวการร่วมกระทำผิดด้วย และจำเลยทั้งหมดต่างมีเจตนาร่วมกันกระทำความผิดโดยต่างถือผลของกระทำที่จำเลยแต่ละคนกระทำเป็นของตนทุกคน กรณีจึงไม่อาจแยกการกระทำผิดของจำเลยแต่ละคนได้ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย
@ บุกรุกหลายครั้งหลายหน-ความผิดหลายกรรมต่างกัน
2.5 ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 ที่ 7 ที่ 8 ที่ 10 ที่ 14 ถึงที่ 17 ที่ 24 ที่ 26 ที่ 29 ที่ 34 และที่ 37 นำมวลชนไปปิดล้อมสถานที่สำคัญหลายแห่ง ปราศรัยโจมตีการทำงานของรัฐบาล และชักชวนประชาชนให้เข้าร่วมการชุมนุม และทำอารยะขัดขืน ร่วมกันหยุดงานทั่วประเทศ ก็โดยมีเจตนาจะให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากการบริหารประเทศ คืนอำนาจแก่ประชาชน ให้ดำเนินการปฏิรูปประเทศก่อนเลือกตั้ง เป็นการกระทำความผิดฐานเป็นซ่องโจร ฐานกระทำให้ปรากฎแก่ประชาชนด้วยวาจาหรือวิธีการอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ และมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจ และเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่สิบคนขึ้นไป หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด ให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง และฐานยุยงให้เกิดการร่วมกันหยุดงาน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายของแผ่นดิน เพื่อบังคับรัฐบาล ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 มาตรา117 วรรคหนึ่ง มาตรา 210 วรรคหนึ่ง และมาตรา 215 วรรคสองและวรรคสาม เป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกัน โดยมีเจตนาเดียว เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานบุกรุก และสำหรับความผิดฐานบุกรุก

แม้โจทก์จะบรรยายถึงสถานที่ที่จำเลยกับพวกบุกรุกเข้าไปมาเป็นตัวอย่างหลายแห่ง แต่ก็ไม่ได้ระบุให้ชัดเจนถึงวันเวลาที่เกิดกระทำความผิดที่อ้างว่าจำเลยกับพวกบุกรุกสถานที่ดังกล่างแต่ละแห่งไม่ได้ระบุว่าจำเลยคนใดเกี่ยวข้องกับการบุกรุกสถานที่ใด ถือว่าโจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษในความผิดฐานบุกรุกเป็นกรรมเดียว
และการที่จำเลยที่ 3 ที่ 5 ที่ 8 ที่ 16 ที่ 24 ที่ 33 และที่ 38 นำมวลชนไปปิดหน่วยเลือกตั้งต่างๆ แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกปิดล้อมหน่วยเลือกตั้งหลายแห่ง แต่ไม่ได้บรรยายถึงวันเวลาที่จำเลยที่ 1 กับพวกกระทำความผิด กับทั้งไม่ได้บรรยายว่าจำเลยคนใดไปปิดล้อมหน่วยเลือกตั้ง ถือว่าโจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยที่ 1 กับพวกในฐานความผิดดังกล่าวเป็นกรรมเดียวกันนั้น
“โจทก์เห็นว่า แม้ตามคำฟ้องไม่ได้ระบุชัดเจนถึงวันเวลาที่เกิดการกระทำความผิดที่อ้างว่า จำเลยกับพวกบุกรุกสถานที่ราชการ ที่ทำการของรัฐวิสาหกิจและของเอกชนแต่ละแห่ง ไม่ได้ระบุว่าจำเลยคนใดเกี่ยวข้องกับการบุกรุกสถานที่ใด และไม่ได้บรรยายฟ้องถึงวันเวลาที่จำเลยที่ 1 กับพวกปิดล้อมหน่วยเลือกตั้ง กับทั้งไม่ได้บรรยายว่าจำเลยคนใดไปปิดหน่วยเลือกตั้งใด แต่เนื่องจากเหตุการณ์บุกรุกสถานที่ราชการ ที่ทำการของรัฐวิสาหกิจและเอกชนต่าง ๆ และเหตุการณ์ปิดล้อมหน่วยเลือกตั้งต่าง ๆ จำเลยได้บุกรุกหลายครั้งหลายหน ซึ่งตามคำฟ้องโจทก์ได้บรรยายไว้แล้วว่าจำเลยบุกรุกหลายแห่ง ปิดล้อมหน่วยเลือกตั้งหลายแห่ง เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน แยกเจตนาต่างหากจากกัน ต่างเหตุการณ์ตามการบุกรุก จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน”
“ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ถือว่าโจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษในความผิดฐานบุกรุกเป็นกรรมเดียว และจำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 ที่ 7 ที่ 8 ที่ 10 ที่ 14 ถึงที่ 17 ที่ 24 ที่ 26 ที่ 29 ที่ 34 และที่ 37 ผิดฐานร่วมกันกระทำให้ปรากฎแก่ประชาชนด้วยวาจาหรือวิธีการอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ และมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจ และเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน เพื่อบังคับรัฐบาล ฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่สิบคนขึ้นไป หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด ให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง โดยมีจำเลยที่ 1 เป็นหัวหน้า มีหน้าที่สั่งการในการกระทำความผิด ฐานร่วมกันเป็นซ่องโจร ฐานร่วมกันบุกรุกสถานที่ราชการและอาคารสำนักงานของผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 (1) (3) และมาตรา117 วรรคหนึ่ง มาตรา 210 วรรคหนึ่ง และมาตรา 215 วรรคสองและวรรคสาม และมาตรา 365 (1) (2) ประกอบมาตรา 362 และมาตรา 364 เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท กับเห็นว่า การที่จำเลยที่ 3 ที่ 5 ที่ 8 ที่ 16 ที่ 24 ที่ 33 และที่ 38 นำมวลชนไปปิดหน่วยเลือกตั้งต่าง ๆ ถือว่าโจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยที่1กับพวกในฐานความผิดดังกล่าวเป็นกรรมเดียวจึงไม่ชอบด้วยเหตุผล”
@ เป็น ‘แกนนำ’ ไม่ใช่ ‘ผู้ปราศรัย’
2.6 โจทก์ขอโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า คดีโจทก์ มีพยานยืนยัน ว่า จำเลยที่ 6 ได้เข้าร่วมกลุ่ม กปปส. เพื่อเคลื่อนไหวทางการเมืองร่วมกับจำเลยที่ 1 โดยทำหน้าที่เป็น กรรมการ กปปส. มีหน้าที่ดูแลการชุมนุมและได้เป็นผู้นำมวลชนที่เวทีปราศรัยกระทรวงการคลังแทนจำเลยที่ 1 พยานหลักฐานโจทก์รับฟังได้ว่าเป็นแกนนำมวลชนในการชุมนุมที่กระทรวงการคลังด้วย และเป็นแกนนำพากลุ่มผู้ชุมนุมไปที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง (สถานที่รับสมัครเลือกตั้ง)
“พฤติการณ์เป็นแนวร่วมกับจำเลยที่ 1 และกลุ่ม กปปส. ที่มีวัตถุประสงค์เจตนาเดียวกันในการรวมกันล้มล้างอำนาจการบริหารของรัฐบาล เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว โดยต่างถือเอาผลของการกระทำที่จำเลยอื่น ๆ กระทำทุกการกระทำเป็นของตนทุกคน จึงเป็นการร่วมกันกระทำความผิด โดยแบ่งหน้าที่กันทำ มิใช่เป็นเพียงหนึ่งในผู้ปราศรัยที่เวทีกระทรวงการคลังตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย”
ส่วนการกระทำของจำเลยที่ 9 ที่ 19 ที่ 20 ที่ 25 ที่ 30 และที่ 35 โจทย์มีพยาน ยืนยันว่าจำเลยที่ 9 เข้าร่วมชุมนุมกับจำเลยที่ 1 กับพวกตั้งแต่แรก ทำหน้าที่โฆษกกลุ่ม กปปส. เป็นคณะกรรมการ ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบด้วยการสื่อสารกับต่างประเทศ และเป็นโฆษกของแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมด้วย
ส่วนการกระทำของจำเลยที่ 19 และที่ 20 ต่างเป็นหนึ่งในกลุ่มแกนนำ กปท. นำกลุ่มผู้ชุมนุมไปกระทรวงพลังงาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตัดกระแสไฟฟ้า จำเลยที่ 1 จัดตั้งกลุ่ม กปปส. ได้ปราศรัยแนะนำตัวจำเลยที่จะเข้าร่วมกับกลุ่ม กปปส.
สำหรับการกระทำของจำเลยที่ 25 ปรากฏตัวบนเวทีศูนย์ราชกร โดยจำเลยที่ 1 ปราศรัยแนะนำตัวจำเลยว่าเป็นแกนนำกลุ่มกองทัพธรรมที่จะร่วมชุมนุมภายใต้ชื่อกลุ่ม กปปส. ปราศรัยกับผู้ชุมนุม กปท.ให้ประชนเข้ามาร่วมชุมนุมมาก ๆ และให้กลุ่มผู้ชุมนุมไปปิดล้อมสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง เพื่อไม่ให้มีการเปิดรับสมัคร สส. เป็นการขัดขวางการรับสมัครเลือกตั้ง
ส่วนการกระทำของจำเลยที่ 30 เป็นแกนนำกลุ่มกรีพีช และเครือข่ายประชาชน 77 จังหวัด เข้าร่วมชุมนุมและปราศรัยกับเวทีชุมนุมกลุ่ม คปท. ว่า ต่อจากนี้จะเป็นแนวทางการชุมนุมและยุทธศาสตร์ไปในทิศทางเดียวกันทั้ง 3 กลุ่ม มีจำเลยที่ 1 กับพวก ซึ่งต่อมาตั้งกลุ่ม กปปส. มาปรากฏตัวบนเวทีดังกล่าว โดยจำเลยเป็นผู้แนะนำจำเลยที่ 1 ต่อผู้ชุมนุม ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ประกาศตั้งกลุ่ม กปปส. โดยแนะนำว่าจำเลยเป็นกรรมการของกลุ่ม กปปส. ด้วย และจำเลยยังขึ้นเวทีปราศรัยสนับสนุนการชุมนุมของจำเลยที่ 1 และปราศรัยตามแนวทางของจำเลยที่ 1 กับพวก ซึ่งเป็นกลุ่ม กปปส. ด้วย
สำหรับการกระทำของจำเลยที่ 35 จำเลยที่ 1 ได้ประกาศตัวว่าจำเลยเป็นแกนนำการชุมนุมเครือข่ายที่เข้าร่วมชุมนุมกับจำเลลที่ 1 ที่เวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ต่อมาจำเลยได้ขึ้นปราศรัยที่เวทีมัฆวานรังสรรค์ และมีการปราศรัยอีกหลายครั้ง จำเลยที่ 1 ได้ประกาศแนะนำตัวจำเลยว่า เป็นหนึ่งในคณะ กปปส. จำเลยนำกลุ่มผู้ชุมนำไปยังกระทรวงพัฒนาสังคมฯ
“พยานหลักฐานโจทก์จึงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 9 ที่ 19 ที่ 20 ที่ 25 ที่ 30 และที่ 35 เป็นแกนนำผู้ชุมนุมและเป็นผู้นำพากลุ่มผู้ชุมนุมไปยังสถานที่ราชการต่าง ๆ และจำเลยดังกล่าวมีพฤติการณ์เป็นแนวร่วมกับจำเลยที่ 1 และกลุ่ม กปปส. ที่มีวัตถุประสงค์เจตนาเดียวกันในการร่วมกันล้มล้างอำนาจการบริหารของรัฐบาลเพื่อให้รัฐบาลปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ และให้รัฐบาลลาออก เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์อันมิชอบด้วยกฎหมายดังกล่าว
โดยจำเลยดังกล่าวต่างถือเอาผลของการกระทำที่จำเลยอื่น ๆ กระทำทุกการกระทำเป็นของตนทุกคน จึงเป็นการร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องข้อ 1.1 โดยแบ่งหน้าที่กันทำอันมิใช่เป็นการกระทำในความมุ่งหมายหรือการใช้สิทธิตามวิถีทางตามรัฐธรรมนูญ ทั้งไม่ใช่การชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ และมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต การกระทำของจำเลยที่ 9 ที่ 19 ที่ 20 ที่ 25 ที่ 30 และที่ 35 จึงมิใช่เป็นเพียงผู้ที่ขึ้นเวทีปราศรัย อันเป็นการใช้สิทธิแสดงความเห็นโดยสุจริตตามกรอบแห่งรัฐธรรมนูญตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแต่อย่างใด”
แม้การกระทำของจำเลยที่ 6 ที่ 15 ที่ 25 พากลุ่มผู้ชุมนุมไปที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง ก็ไม่ใช่เหตุการณ์ในวันเลือกตั้งนั้น เห็นว่า แม้จำเลยจะมิได้นำมวลชนไป มิใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันเลือกตั้งก็ตาม แต่เป็นการเริ่มต้นของการนำมวลชนไปเพื่อแสดงเจตนาขัดขวางการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้น หลังจากนั้นมีกลุ่มผู้ชุมนุมนำโดยจำเลยอื่น ๆ นำกำลังไปปิดล้อมหน่วยเลือกตั้งในวันเลือกตั้งหลายจุด จนไม่สามารถทำการเลือกตั้งได้ อันเป็นไปตามวัตถุประสงค์เจตนารมณ์ของจำเลยดังกล่าวที่มีการตกลงสมคบคิดวางแผน โดยจำเลยนี้ถือเอาการกระทำของจำเลยอื่น ๆ ถือเป็นเจตนาของตน ถือว่าเป็นตัวการร่วม แบ่งหน้าที่กันทำ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานนี้แล้ว
@ ผู้สนับสนุน
2.7 ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยที่ 2 ที่ 13 ที่ 18 ที่ 21 ที่ 22 ที่ 23 ที่ 27 ที่ 28 ที่ 31 ที่ 32 ที่ 36 และที่ 39 แม้จะเข้าร่วมชุมนุมและขึ้นปราศรัยบนเวทีโจมตีการทำงานของรัฐบาลและชักชวนประชาชนทั่วไปให้เห็นด้วยเข้าร่วมชุมนุมขับไล่รัฐบาล เพราะมีความเห็นต่างทางการเมือง แต่ก็ไม่ปรากฎว่าเป็นแกนนำพาผู้ชุมนุมเคลื่อนที่ไปปิดล้อมสถานที่ต่าง ๆ เหมือนจำเลยอื่น จึงเป็นการใช้สิทธิ์แสดงความเห็นโดยสุจริต ภายใต้กรอบที่รัฐธรรมนูญปี 2550 ให้อำนาจไว้ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ การกระทำของจำเลยจึงไม่มีความผิด และพิพากษาให้ยกฟ้อง ตามคำพิพากษาชั้นต้นนั้น
“พยานหลักฐานโจทก์รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ที่ 13 ที่ 18 ที่ 21 ที่ 22 ที่ 23 ที่ 27 ที่ 28 ที่ 31 ที่ 32 ที่ 36 และที่ 39 ได้มีการขึ้นเวทีปราศรัยของกลุ่ม กปปส. หลายแห่ง หลายครั้ง ในลักษณะมีเจตนาร่วมการชุมนุมกับกลุ่ม กปปส. ทั้งทำหน้าที่เป็นพิธีกรในการชุมนุมเวทีปราศรัย ขึ้นกล่าวปราศรัย ชักชวน ยุยง ปลุกปั่นให้ประชาชนมาร่วมชุมนุม มีการปราศรัย ยุงยง ส่งเสริมให้ประชาชน สนับสนุนแนวคิดของกลุ่ม กปปส. และปลุกระดมเพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน เพื่อจะให้ก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดินอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มการชุมนุมมีเจตนาชัดแจ้งที่เป็นส่วนหนึ่งในคณะบุคคลของจำเลยที่ 1 และกลุ่ม กปปส. และต่างมีพฤติการณ์ในการเป็นแนวร่วมกับจำเลยที่ 1 และกลุ่ม กปปส. ที่มีวัตถุประสงค์เจตนาเดียวกันในการร่วมกันล้มล้างอำนาจการบริหารของรัฐบาล เพื่อให้รัฐบาลปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ และให้รัฐบาลลาออก โดยการแบ่งหน้าที่กันทำ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว
แม้จำเลยที่ 2 ที่ 13 ที่ 18 ที่ 21 ที่ 22 ที่ 23 ที่ 28 ที่ 31 ที่ 32 ที่ 36 และที่ 39 มิได้เป็นแกนนำ หรือพากลุ่มผู้ชุมนุมไปยังสถานที่ต่าง ๆ เหมือนจำเลยอื่น หรือกระทำการอื่นทำนองเดียวกันก็ตาม แต่พฤติการณ์จำเลยที่ 2 ที่ 13 ที่ 18 ที่ 27 ที่ 31 ที่ 32 ที่ 36 และที่ 39 มีลักษณะทำความผิดตามฟ้องโจทก์ โดยแบ่งหน้าที่กันทำ ส่วนจำเลยที่ 21 ที่ 22 ที่ 23 และที่ 28 เป็นผู้ขึ้นเวทีปราศรัย แต่ได้ปราศรัยปลุกเร้าให้กลุ่มผู้ชุมนุมฮึกเหิมและชักชวนประชาชนเข้าร่วมชุมนุม จึงเป็นผู้สนับสนุนในความผิดฐานอื่นตามฟ้องโจทก์ข้อ โดยจำเลยทั้งหมดต่างถือเอาผลของการกระทำที่จำเลยอื่น ๆ กระทำทุกการกระทำเป็นของตนทุกคน การกระทำของจำเลยที่ 2 ที่ 13 ที่ 18 ที่ 27 ที่ 31 ที่ 32 ที่ 36 และที่ 39 จึงเป็นความผิดตามฟ้องโจทก์”
@ ไม่ถึงขั้นเป็นความผิดสำเร็จแต่ไม่ยอมเลิก
2.8 ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 216 นั้น กฎหมายมุ่งประสงค์ลงโทษผู้ที่ขัดคำสั่งของเจ้าพนักงานที่ไม่ยอมเลิกการมั่วสุมกัน เพื่อกระทำความผิดตามมาตรา 215 ซึ่งเป็นการกระทำที่ยังไม่ถึงขั้นเป็นความผิดสำเร็จตามมาตรา 215 เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 ที่ 7 ที่ 8 ที่ 10 ที่ 14 ถึงที่ 17 ที่ 24 ที่ 26 ที่ 29 ที่ 34 และที่ 37 เป็นตัวการร่วมกันกระทำความผิดตามมาตรา 215 ซึ่งได้กระทำจนเป็นความผิดสำเร็จแล้ว จึงไม่เป็นความผิดตามมาตรา 216 ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 3 ที่ 5 และที่ 34 มีความผิดตามมาตรา 216 นั้นไม่ชอบ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองนั้น
โจทก์เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 216 มุ่งประสงค์ลงโทษผู้ที่ขัดคำสั่งของเจ้าพนักงานที่ไม่ยอมเลิกการมั่วสุมกัน เพื่อกระทำความผิดตามมาตรา 215 ซึ่งเป็นการกระทำที่ยังไม่ถึงขั้นที่สำเร็จตามมาตรา 215 ดังนั้น มาตรา 216 จึงเป็นความผิดต่างหากอีกบทหนึ่ง เมื่อการกระทำของจำเลยดังกล่าวเกิดขึ้นหลายกรรมต่างกัน ต่างวาระกัน และการกระทำแต่ละกรรมที่เกิดขึ้นครั้งต่อๆ ไป หลังจากที่เจ้าพนักงานสั่งให้เลิกการมั่วสุมกัน เพื่อกระทำผิดมาตรา 215 ในครั้งต่อๆไปอีก ซึ่งเป็นการกระทำที่ยังไม่ถึงขั้นเป็นความผิดสำเร็จแล้วไม่ยอมเลิก ย่อมเป็นความผิดตามมาตรา 216
ดังนั้น การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 ที่ 7 ที่ 8 ที่ 10 ที่ 14 ถึงที่ 17 ที่ 24 ที่ 26 ที่ 29 ที่ 34 และที่ 37 จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 215 วรรคสองและวรรคสาม มาตรา 216 ประกอบมาตรา 83
@ ไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง
2.9 ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยที่ 10 ที่ 14 และที่ 17 เป็นแกนนำพากลุ่มผู้ชุมนุมไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงพาณิชย์และกรมการบินพลเรือนตามลำดับ แต่ไม่เกิดความเสียหายและไม่เกิดความรุนแรง นอกจากนั้นแล้วจำเลยที่ 17 ก็เพียงแต่ร่วมปราศรัยบนเวทีศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาอีกเหตุการณ์หนึ่งเท่านั้น ส่วนจำเลยที่ 38 ก็ได้ความว่า ไปปรากฎตัวที่หน่วยเลือกตั้งราษฎร์บูรณะร่วมเจรจากับเจ้าหน้าที่ซึ่งดูแลการเลือกตั้งและขึ้นเวทีปราศรัยขอบคุณที่มีการงดการเลือกตั้งและขอบคุณผู้ชุมนุมเท่านั้น พฤติการณ์แห่งคดีไม่ร้ายแรงมากนัก
“จำเลยที่ 10 ที่ 14 ที่ 17 และที่ 38 เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง บางคนเป็นนักการเมือง บางคนเป็นนักธุรกิจประกอบสัมมาชีพโดยสุจริตมีคุณงามความดีมาก่อน ที่ศาลชั้นต้นรอการลงโทษจำคุกให้นั้นเหมาะสมแก่สภาพความผิดแล้วนั้น”
โจทก์เห็นว่า ตามพฤติการณ์ในการกระทำความผิดของจำเลยดังกล่าวตามที่โจทก์ฎีกานั้น เป็นการร่วมกันกระทำความผิดโดยเป็นตัวการแบ่งหน้าที่กันทำโดยมีวัตถุประสงค์และเจตาพิเศษเพื่อล้มล้างอำนาจการบริหารของรัฐบาลเพื่อให้รัฐบาลปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้และให้รัฐบาลลาออก ก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองละเมิดต่อสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น มีผลเสียต่อประเทศชาติตามมาอย่างใหญ่หลวง และเกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ กรณีจึงเป็นเรื่องร้ายแรงเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่น จึงสมควรที่จะลงโทษจำคุกจำเลยที่10 ที่ 14 ที่ 17 ที่ 18 โดยไม่รอการลงโทษ
@ ฏีกาแก้ลงโทษจำคุก ไม่รอการลงโทษ-เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง
ด้วยเหตุดังกล่าว ขอศาลฎีกาได้โปรดพิพากษาแก้เป็น ลงโทษจำเลยที่ 1 ถึงที่ 10 ที่ 13 ถึงที่ 20 ที่ 24 ถึงที่ 27 และที่ 29 ถึงที่ 39 และจำเลยที่ 21 ที่ 22 ที่ 23 และที่ 28 ตามฟ้องโจทก์
โดยลงโทษฐานกระทำให้ปรากฏแก่สาธารณชนด้วยวาจาหรือวิธีการอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ และมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในรัฐบาลโดยใช้กำลังข่มขืนใจ และเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่สิบคนขึ้นไปใช้หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง และฐานยุยงให้เกิดการร่วมกันหยุดงานเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายของแผ่นดิน เพื่อบังคับรัฐบาล และบุกรุกสถานที่ราชการ ที่ทำการของรัฐวิสาหกิจและของเอกชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 มาตรา 117 วรรคหนึ่ง มาตรา 215 วรรคสองและวรรคสาม มาตรา 216 และมาตรา 365 ประกอบมาตรา 362 มาตรา 364 ตามสถานที่ราชการ ที่ทำการของรัฐวิสาหกิจ และของเอกชนเป็นหลายกรรมตามที่มีการปิดล้อม
และลงโทษจำคุกจำเลยที่ 10 ที่ 14 ที่ 17 และที่ 38 โดยไม่รอการลงโทษ และให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งและนับโทษจำเลยต่อจากคดีอื่นตามคำขอท้ายฟ้องโจทก์ด้วย
อนึ่ง คดีความผิดซึ่งต้อห้ามฎีกาดังกล่าวมีเหตุอันควรที่ศาลฎีกาจะได้วินิจฉัยอัยการจึงรับรองฎีกาของโจทก์เพื่อศาลฎีกาจะได้พิจารณาพิพากษาต่อไป ปรากฎตามหนังสือรับรองฎีกาที่แนบท้ายฎีกานี้
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 นายไพรัช พรสมบูรณ์ศิริ อัยการสูงสุด ได้ลงนามในหนังสือรับรองฎีกาแนบท้ายฎีกาของโจทก์เพื่อศาลฎีกาจะได้พิจารณาพิพากษาต่อไป

@ เช็กชื่อ 39 จำเลยคดีกปปส.
สำหรับจำเลยคดีนี้ทั้ง 39 ราย ได้แก่ 1. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ 2. นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย 3. นายชุมพล จุลใส 4. นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ 5. นายอิสสระ สมชัย 6. นายวิทยา แก้วภราดัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ 7. นายถาวร เสนเนียม 8. นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ 9. นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ และรมว.อุตสาหกรรม 10. นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก
11. พลเอกปรีชา เอี่ยมสุพรรณ (จำหน่ายคดีออกจากสารบทความ เนื่องจากเสียชีวิต) 12. นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ (จำหน่ายคดีออกจากสารบทความ เนื่องจากเสียชีวิต) 13. นายยศศักดิ์ โกไศยกานนท์ 14นายถนอม อ่อนเกตุพล 15. นายสมศักดิ์ โกศัยสุข 16. นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรือ อดีตพระพุทธะอิสระ 17. นายสาธิต เซกัล 18. นางสาวรังสิมา รอดรัศมี 19. พลอากาศโทวัชระ ฤทธาคนี 20.พลเรือเอกชัย สุวรรณภาพ
21. นายแก้วสรร อติโพธิ 22. นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ 23. นายถวิล เปลี่ยนศรี 24. เรือตรีแซมดิน เลิศบุศย์ 25. นายมั่นแม้น กะการดี 26. นายคมสัน ทองศิริ 27. พลเอกปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ 28. นายพิภพ ธงไชย 29. นายสาวิทย์ แก้วหวาน 30.นายสุริยะใส กตะศิลา 31. นายสุริยันต์ ทองหนูเอียด 32.นายสุภวัฒน์ สุปิยะพาณิชย์ 33.นายสำราญ รอดเพชร 34.นายอมร อมรรัตนานนท์ 35. นายพิเชฐ พัฒนโชติ 36. นายสมบูรณ์ ทองบุราณ 37.นายกิตติชัย ใสสะอาด 38.นางทยา ทีปสุวรรณ และ 39 นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา