
"...คดีนี้ในการประชุมเพื่อมีคําพิพากษา มีความเห็นแย้งกันเป็นสองฝ่ายหาเสียงข้างมากมิได้ จึงให้ผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จําเลยมากยอมเห็นด้วยผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นเป็นผลร้าย แก่จําเลยน้อยกว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 144 ประกอบพระราชบัญญัติวิธี พิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 มาตรา 6 วรรคหนึ่ง..."
หมายเหตุ สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) : เป็นเนื้อหาสรุปคำพิพากษาตัดสินคดีที่นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ รักษาการแทนเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (โจทก์) ยื่นฟ้อง พล.อ.ท.ดร.ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ กรรมการ กสทช. (จำเลยที่ 1) ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. (จำเลยที่ 2) , รศ.ดร.ศุภัช ศุภชลาศัย กรรมการ กสทช. (จำเลยที่ 3) ,รศ.สมภพ ภูริวิกรัยพงศ์ กรรมการ กสทช. (จำเลยที่ 4) และ ผศ.ดร.ภูมิศิษฐ์ มหาเวสน์ศิริ รองเลขาธิการ กสทช. (จำเลยที่ 5) ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86, 157 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการ ทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172 กรณีคณะกรรมการ กสทช. เสียงข้างมากลงมติแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยรักษาการณ์เลขาธิการ กสทช. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ถูกเผยแพร่โดย ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา
*************
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นรองเลขาธิการ กสทช. และเป็นผู้รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช.
ขณะ เกิดเหตุ จําเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เป็นกรรมการ กสทช. ส่วนจําเลยที่ 5 เป็นรองเลขาธิการ กสทช.
โจทก์ ในฐานะรักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. ได้มีคําสั่ง แต่งตั้งจําเลยที่ 5 เป็นผู้รักษาการแทนโจทก์ ระหว่างวันที่ 12 ถึง 18 มิถุนายน 2566 เนื่องจากโจทก์ต้องเดินทางไปศึกษาดูงาน
โดยเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2566 ประธาน กสทช. ได้มีคําสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีการดําเนินการของสํานักงาน กสทช. เกี่ยวกับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดรายการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย
ต่อมาวันที่ 20 เมษายน 2566 คณะอนุกรรมการตรวจสอบฯ ได้ประชุมพิจารณามีความเห็นในการประชุมคณะอนุกรรมการ ด้วยคะแนนเสียงข้างมาก 4 เสียง ว่า การดาเนินการของสํานักงาน กสทช. เกี่ยวกับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดรายการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย อาจมีการ กระทําที่เข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย โดยมิได้มีความเห็นเกี่ยวกับโจทก์หรือการดําเนินการของโจทก์เป็นการกระทําผิดวินัย
แต่คณะอนุกรรมการ ได้จัดการประชุมครั้งที่ 7/2566 ขึ้นเพื่อเพิ่มเติมข้อความจากการประชุมครั้งที่ 6/2566 ให้ดําเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงการกระทําของ นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ กสทช. รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. โจทก์ในคดีนี้ เกี่ยวกับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการซื้อลิขสิทธิ์ฯ อาจมีการกระทําที่เข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
ต่อมาได้มีการนํารายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ เข้าพิจารณาในการประชุม กสทช. ครั้งที่ 13/2566 วันที่ 9 มิถุนายน 2566 และจําเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ลงมติเสียงข้างมากเห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการ สอบสวนทางวินัยแก่โจทก์ ลงมติเห็นชอบให้มีการเปลี่ยนตัวรองเลขาธิการ กสทช. รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. โจทก์ในคดีนี้ จนกว่าการสอบสวนจะเสร็จสิ้น และลงมติเห็นชอบให้แต่งตั้ง จําเลยที่ 5 เป็นผู้รักษาการ แทนโจทก์
หลังจากนั้นจําเลยที่ 5 ได้มีคําสั่งในฐานะรักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยแก่โจทก์ ซึ่งการกระทําของจําเลยทั้งห้าเป็นการเร่งรัดในการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยแก่โจทก์ และเพื่อจะแต่งตั้งจ่าเลยที่ 5 เป็นผู้รักษาการแทนโจทก์ ในช่วงที่โจทก์ไปศึกษาดูงานเป็นการปฏิบัติหน้าที่มิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์
ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 84, 86, 157 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 132
ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ขณะเกิดเหตุ จําเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เป็นกรรมการ กสทช. จึงเป็นเจ้าพนักงานของรัฐตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 4 และเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรร คลื่นความถี่และกํากับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 มาตรา 25
ส่วนจําเลยที่ 5 เป็นรองเลขาธิการ กสทช. จําเลยที่ 5 จึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2563 มาตรา 4 และเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกํากับการ ประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 มาตรา 64 วรรคหนึ่ง และวรรคท้าย ตามลําดับ
เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2566 ประธาน กสทช. ได้มีคําสั่งแต่งตั้งอนุกรรมการ ตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีการดําเนินการของสํานักงาน กสทช. เกี่ยวกับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดรายการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย
โดยในการตรวจสอบข้อเท็จจริงของอนุกรรมการมีการประชุมเพื่อรวบรวมข้อเท็จจริงถึง 7 ครั้ง โดยใช้ระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 ถึงวันที่ 28 เมษายน 2566 มีการเรียกเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อเท็จจริง จนปรากฏข้อเท็จจริงว่าเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2565 ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ได้มีการประชุมระหว่างโจทก์กับ กกท.
ทําให้ กกท. น่าผลการประชุมและหนังสือสํานักงาน กสทช. ด่วนที่สุด ที่ กสทช. 2000/52627 ลงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2565 ไปดําเนินการเพื่อให้บริษัทในเครือบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) กล่าวอ้างถึงลิขสิทธิ์ ทําให้ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์ ให้บริการโครงข่ายในระบบไอพีทีวีจาก กสทช. และผู้ให้บริการ โทรทัศน์ที่ให้บริการเป็นการทั่วไปไม่สามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามประกาศ Must Carry ได้ ซึ่งขัดกับมติ กสทช. ในการประชุมครั้งที่ 30/2565
การกระทําของโจทก์ในฐานะรักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. จึงเข้าข่ายไม่ ปฏิบัติหน้าที่ควบคุม กํากับดูแล และใช้สิทธิการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ให้เป็นไปโดยชอบด้วย กฎหมาย ประกาศที่เกี่ยวข้อง และมติที่ประชุม กสทช. เพื่อให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์มิควรได้อันเป็นความผิด วินัยตามข้อ 50 และข้อ 52 แห่งระเบียบ กสทช. ว่าด้วยการบริหารงานบุคคล พ.ศ. 2565
ส่วนเหตุที่ การประชุมครั้งที่ 3/2566 ได้เพิ่มเติมรายละเอียดของมติที่ประชุมครั้งที่ 2/2566 ว่า การกระทําของโจทก์ อาจเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ประกาศที่เกี่ยวข้อง และมติที่ประชุม กสทช. เป็นการ สรุปความเห็นครั้งสุดท้ายของอนุกรรมการตรวจสอบๆ จากพยานหลักฐานทั้งหมด อย่างละเอียดถี่ถ้วนเป็น ขั้นเป็นตอน และได้พิจารณาและสรุปความเห็นเสนอต่อ กสทช. ตามลําดับเมื่อปรากฏว่าในการประชุม กสทช. ครั้งที่ 13/2566 เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2566 ได้มีการนํารายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงของ คณะอนุกรรมการตรวจสอบฯ เข้าพิจารณาในระเบียบวาระที่ 5.22
และการที่จําเลยที่ 1 ถึงที่ 4 มีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยแก่โจทก์ จึงเป็นการพิจารณาเรื่องที่เสนอตามวาระการประชุม ชอบด้วยพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกํากับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการคมนาคม พ.ศ.2553 มาตรา 23, 24 และ 27 ประกอบระเบียบ กสทช. ว่าด้วย ข้อบังคับการประชุม กสทช. พ.ศ.2555 ข้อ 18 และข้อ 29 วรรคหนึ่ง
ส่วนที่จําเลยที่ 1 ถึงที่ 4 มีมติเห็นชอบให้มีการเปลี่ยนตัวรองเลขาธิการ กสทช. รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. โจทก์คดีนี้ และลงมติเห็นชอบให้แต่งตั้งรองเลขาธิการ กสทช. สายงานกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ จําเลยที่ 4 เป็นผู้รักษาการ แทนโจทก์นั้น เป็นการพิจารณาต่อเนื่องจากผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงของอนุกรรมการตรวจสอบ ๆ เพื่อให้การดําเนินงาน ของสํานักงาน กสทช. เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและต่อเนื่อง จึงเป็นการพิจารณาเรื่อง ที่เสนอตามวาระการประชุมที่ชอบด้วยบทบัญญัติของกฎหมาย
แม้ปรากฏว่าในการประชุม กสทช. ครั้งที่ 13/2566 ได้มีการสลับวาระการประชุมที่ 5.22 ขึ้นมาพิจารณาก่อนระเบียบวาระที่ 5 ในเรื่องพิจารณา อื่น ๆ ก็เป็นอํานาจเด็ดขาดแต่เพียงผู้เดียวของประธานในการประชุมในวันดังกล่าว ซึ่งปรากฏว่าการประชุม ในวันดังกล่าวประธานในการประชุม ได้ใช้อํานาจสลับวาระการประชุมระเบียบวาระที่ 5.22 ขึ้นมาพิจารณา ก่อนระเบียบวาระที่ 5 ในเรื่องพิจารณาอื่น ๆ ก็เป็นการดําเนินการประชุมโดยชอบตามระเบียบ กสทช. ว่าด้วยข้อบังคับการประชุม กสทช. พ.ศ. 2555 ข้อ 29 วรรคสอง
ส่วนการที่จําเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ตรวจ พิจารณาร่างรายงานการประชุม กสทช. ครั้งที่ 13/2566 แล้วมีบันทึกข้อความส่งคืนให้แก่จําเลยที่ 4 ก็เป็นไปตามลําดับขั้นตอนปกติธรรมดา ไม่ปรากฏพฤติการณ์ว่าจําเลยที่ 1 ถึงที่ 4 จงใจเร่งรัดเรื่องของโจทก์ ตามที่โจทก์กล่าวอ้าง
สําหรับจําเลยที่ 5 ซึ่งมีคําสั่ง กสทช. ที่ 564/2566 ฉบับลงวันที่ 29 พฤษภาคม 2566 แต่งตั้งให้เป็นผู้รักษาการแทนโจทก์ ระหว่างวันที่ 12 ถึง 18 มิถุนายน 2566 เนื่องจากโจทก์ต้องเดินทางไป ศึกษาดูงาน
ดังนั้น ในช่วงเวลาดังกล่าว จําเลยที่ 5 จึงมีอํานาจหน้าที่ในฐานะเลขาธิการ กสทช. ต้องปฏิบัติ ตามมติ กสทช. ในการประชุม กสทช. ครั้งที่ 13/2566
การที่จําเลยที่ 5 มีคําสั่ง กสทช. ที่ 629/2566 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยแก่โจทก์ จึงเป็นการปฏิบัติตามมติที่ประชุม กสทช. ครั้งที่ 13/2566
พยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่มีน้ำหนักมั่นคงให้รับฟังได้ว่าจําเลยทั้งห้ากระทําผิดตามฟ้อง กรณีไม่จําต้องวินิจฉัยปัญหาอื่น ๆ ตามฟ้องโจทก์และไม่จําต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานของจําเลยทั้งห้าอีกต่อไป
เพราะไม่ทําให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป
พิพากษายกฟ้อง
อนึ่ง คดีนี้ในการประชุมเพื่อมีคําพิพากษา มีความเห็นแย้งกันเป็นสองฝ่ายหาเสียงข้างมากมิได้ จึงให้ผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จําเลยมากยอมเห็นด้วยผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จําเลยน้อยกว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 184 ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 มาตรา 6 วรรคหนึ่ง (ดูเอกสารข่าวสรุปคำพิพากษาตัดสินคดีของ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ท้ายเรื่อง)

@ 4 กสทช. แถลงขอบคุณศาลฯ ภายหลังเข้ารับฟังคำพิพากษา
สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า สำหรับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา184 ระบุว่า ในการประชุมปรึกษาเพื่อมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง ให้อธิบดีผู้พิพากษาข้าหลวงยุติธรรม หัวหน้าผู้พิพากษาในศาลนั้นหรือเจ้าของสำนวนเป็นประธาน ถามผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาทีละคน ให้ออกความเห็นทุกประเด็นที่จะวินิจฉัย ให้ประธานออกความเห็นสุดท้าย การวินิจฉัยให้ถือตามเสียงข้างมาก ถ้าในปัญหาใดมีความเห็นแย้งกันเป็นสองฝ่ายหรือเกินกว่าสองฝ่ายขึ้นไป จะหาเสียงข้างมากมิได้ ให้ผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยมากยอมเห็นด้วยผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยน้อยกว่า
ขณะที่มีรายงานข่าวก่อนหน้านี้ว่า คดีนี้มีองค์คณะผู้พิพากษา 2 ราย 1 ในองค์คณะผู้พิพากษาที่พิจารณาในสำนวนได้ทำความเห็นแย้งแนบท้ายคำพิพากษา ซึ่งเป็นผลร้ายแก่จำเลย โดยระบุว่าการทำหน้าที่ของจำเลยที่1-4 ไม่โปร่งใสมีความจงใจให้โจทก์ออกจากตำแหน่งได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียงเป็นที่เคลือบเเคลงความสงสัยต่อการทำหน้าที่
การกระทำของจำเลยที่1-4 เป็นความผิดตามโจทก์ฟ้อง
ส่วนจำเลยที่5 ก็กระทำความผิดในการเร่งรัดขั้นตอน ในการเข้ามารับหน้าที่รักษาการแทน และเห็นว่าภายหลังมีคำสั่งยกเลิกการสอบสวนโจทก์ทำให้สถานการณ์คลี่คลายไปในทางที่ไม่เลวร้ายพฤติกรรมแห่งคดีการลงโทษจำเลยทั้ง 5 ไม่มีประโยชน์จึงให้รอการลงโทษ พิพากษาว่าจำเลยทั้งห้ากระทำความผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ประกอบมาตรา83 พรบ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯมาตรา 172 ให้ลงโทษจำคุกคนละหนึ่งปีปรับคนละ 100,000 บาทโทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี
ทั้งนี้ ภายหลังอ่านคำพิพากษา ศาลได้อธิบายเรื่องความเห็นเเย้งว่าเนื่องจากคดีนี้มีความเห็นแย้งของผู้พิพากษาที่พิจารณาในสำนวนที่เป็นผลร้ายต่อจำเลย โดยองค์คณะมีคำพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์โดยให้ทำคำพิพากษาแนบท้ายไว้เพื่อศาลสูงพิจารณาต่อไป



อ่านข่าวประกอบ :

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา