
ต่อมาในวันที่ 4 พ.ค. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทยกล่าวว่ารัฐบาลไทยยังคงติดต่ออย่างไม่เป็นทางการกับเจ้าหน้าที่การค้าของสหรัฐฯ และมั่นใจว่าไทยและสหรัฐฯ น่าจะได้เจรจาระหว่างกันก่อนที่ช่วงเวลายุติการบังคับใช้มาตรการเก็บภาษีเป็นการชั่วคราว ซึ่งกินเวลา 90 วันจะยุติลง
ความเคลื่อนไหวการเจรจาล่าสุดระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกา กรณีที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศขึ้นภาษีตอบโต้ ซึ่งไทยโดนภาษีไป 36%
ล่าสุดนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยว่าได้ส่งข้อเสนอ(proposal) 5 ข้อในการเจรจากับสหรัฐของไทยถึงนายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ และเจมิสัน เกรียร์ ประธานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) โดยหวังว่าจะได้รับการตอบรับในการนัดเจรจาในไม่เกิน 2 สัปดาห์นี้ ก่อนที่มาตรการยุติการเก็บภาษี 90 วันจะหมดอายุวันที่ 8 ก.ค.
จากรายงานข่าวดังกล่าวนั้นสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงได้ขอนำเสนอข้อมูลจากสื่อต่างประเทศว่านอกเหนือจากประเทศไทยแล้ว สถานการณ์เจรจาของประเทศอื่นๆกับทางฝั่งของสหรัฐฯ เป็นอย่างไรบ้างแล้ว ณ เวลานี้ โดยอ้างอิงข้อมูลจากสื่อประเทศสิงคโปร์
มีรายละเอียดดังนี้
@ประเทศมาเลเซีย
ย้อนไปเมื่อวันที่ 5 พ.ค. นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม กล่าวว่าได้มีการพิจารณาการซื้อเชิงกลยุทธ์จากสหรัฐฯ โดยการจัดซื้อที่ว่านั้นอาจหมายความว่าสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์อาจเร่งจัดซื้อเครื่องบินโบอิ้ง 30 ลำที่ได้มีการดำเนินการไปแล้วในปี 2567 และจะซื้อเพิ่มอีก 30 ลำ
ส่วนข้อตกลงอื่นๆอาจจะเป็นข้อตกลงการหาแร่แรร์เอิร์ธหรือแร่หายาก ที่พบมากในมาเลเซีย ซึ่งตอนนี้สหรัฐฯ แสดงความสนใจที่จะซื้อแร่เหล่านี้
ข้อตกลงเรื่องก๊าซธรรมชาติอาจอยู่บนโต๊ะเจรจาด้วยเช่นกัน แม้ว่ามาเลเซียจะเป็นผู้ส่งออกก๊าซสุทธิก็ตาม
โดยประเทศที่มีความสามารถในการผลิตก๊าซ ซึ่งซื้อก๊าซของสหรัฐฯ นอกเหนือจากการนำก๊าซจากสหรัฐฯไปใช้ภายในประเทศแล้ว ก็อาจจะส่งก๊าซที่ตัวเองผลิตไปยังผู้ซื้อรายใหญ่ที่มีอยู่อย่างญี่ปุ่นยรวมถึงจีนและเกาหลีใต้
ล่าสุดมีข้อมูลจากแหล่งข่าวของสำนักข่าวสเตรทไทม์สว่าคณะผู้แทนของนาย Tengku Zafrul Aziz รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมมาเลเซีย ระบุว่าการประชุมช่วงปลายเดือน เม.ย.ที่กรุงวอชิงตันกับนายฮาวเวิร์ด ลัทนิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ นั้นอออกไปในทิศทางที่ดี
@ประเทศเวียดนาม
เวียดนามซึ่งเป็นเป้าหมายของนายทรัมป์เนื่องจากการเกินดุลการค้ามหาศาลไปอยู่ที่ 1.24 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (4,101,424,000,000 บาท) ได้ส่งสัญญาณถึงความเต็มใจที่จะให้สัมปทานที่สําคัญ ซึ่งรวมถึงการลดภาษีสินค้าอเมริกันและการเพิ่มการนําเข้าของสหรัฐฯ
นอกจากนี้เวียดนามยังต้องการได้รับการยอมรับว่าเป็นเศรษฐกิจตลาดโดยสหรัฐฯ ซึ่งอาจเป็นพื้นฐานสําหรับการลดภาษีศุลกากร
นายมาร์ค มิลลี รองประธานบริหารและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายนโยบายของสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียนในกรุงวอชิงตันกล่าวว่า"หนึ่งในข้อเสนอที่รัฐบาลเวียดนามวางไว้บนโต๊ะเพื่อช่วยให้การไหลเวียนของการค้ามีความสมดุลมากขึ้น คือการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีทวิภาคีที่ครอบคลุมระหว่างรัฐบาลทั้งสอง"
นอกจากนี้เวียดนามก็มีแนวโน้มที่จะซื้อผลิตภัณฑ์ของสหรัฐฯ เช่น เครื่องบินโบอิ้งและก๊าซธรรมชาติ และอนุญาตให้สตาร์ลิงค์ซึ่งเป็นเจ้าของโดยนายอีลอน มัสก์ เพื่อนสนิทของนายทรัมป์ขายบริการอินเตอร์เน็ตผ่านดาวเทียมสตาร์ลิงก์
และมีรายงานถึงข้อตกลงที่เป็นไปได้ว่าทางเวียดนามอาจจะซื้อเครื่องบินรบ F-16 มากถึง 24 ลํา ตามรายงานของสื่อสหรัฐฯ แต่ฮานอยจะต้องเดินอย่างระมัดระวัง เนื่องจากจีนอาจจะมองว่าเป็นการทําลายสมดุลทางยุทธศาสตร์ในทะเลจีนใต้
@ประเทศฟิลิปปินส์
ฟิลิปปินส์ส่งนายเฟรเดอริก โก ผู้ช่วยพิเศษของประธานาธิบดีด้านการลงทุนและเศรษฐกิจ ไปพบกับนายเกรียร์เมื่อวันที่ 2 พ.ค.ประเด็นการพูดคุยรวมถึงผลกระทบของภาษีศุลกากรต่อการส่งออกที่สําคัญของฟิลิปปินส์ เช่น เซมิคอนดักเตอร์ เสื้อผ้า และผลิตภัณฑ์มะพร้าว ซึ่งส่งผลทำให้ฟิลิปปินส์มีมูลค่าการส่งออกเกินดุลสหรัฐฯ 4.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (158,683,200,000 บาท) นอกจากนี้กรุงมะนิลายังได้มีการหารือทางทหารเชิงยุทธศาสตร์ เสนอภาษีศุลกากรของตนเองสําหรับสินค้าอเมริกัน
นายโกบอกว่าการเจรจานั้น "มีประสิทธิผลมาก"
@ประเทศอินโดนีเซีย
อินโดนีเซียได้มีการประชุมครั้งล่าสุดจัดขึ้นเมื่อวันที่ 26 เม.ย. โดยทีมเจรจาของอินโดนีเซียนําโดยนายแอร์ลังกา ฮาร์ตาร์โตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงประสานงานด้านเศรษฐกิจ ได้หารือกับนายเกรียร์, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและหารือกับนายเควิน แฮสเซ็ตต์ ผู้อํานวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ
โดยประเด็นการพูดคุยที่สำคัญ ก็คือเรื่องข้อติดขัดเกี่ยวกับระบบการชําระเงินของอินโดนีเซียที่ใช้ QR ซึ่งจํากัดการชําระเงินออนไลน์ด้วยการใช้บัตรเครดิตวีซ่าและมาสเตอร์การ์ด หารือนโยบายภายในประเทศที่กําหนดให้มีการแปลส่วนประกอบที่ใช้ในสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่ผลิตในอินโดนีเซีย และความต้องการของสหรัฐฯ ให้อินโดนีเซียซื้อผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมของอเมริกามากขึ้น
@ประเทศสิงคโปร์
ที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 15 เม.ย. ได้มีการหารือทางโทรศัพท์ระหว่างนายแกน คิม ยอง รองนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ และนายเจมิสัน เกรียร์ ผู้ทางการค้าสหรัฐฯ ต่อมาในวันที่ 25 เม.ย. ได้มีการหารือกับนายฮาวเวิร์ด ลัทนิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และในวันที่ 8 พ.ค.มีการหารือกับนายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
โดยประเด็นการพูดคุยนั้นสิงคโปร์ตั้งเป้าที่จะทํางานร่วมกับสหรัฐฯ ใน "วิธีแก้ปัญหาที่สร้างสรรค์" เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้า และยังเจรจาสัมปทานเพื่ออํานวยความสะดวกในการส่งออกยาไปยังสหรัฐฯ
@ประเทศไทย
ความพยายามของไทยในการเจรจากับสหรัฐฯ มีมาตั้งแต่วันที่ 23 เม.ย. โดยมีผู้ที่เกี่ยวข้องได้แก่คณะผู้แทนไทยนําโดยหัวหน้าผู้เจรจาของรัฐบาล นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อย่างไรก็ตามการเจรจาดังกล่าวถูกยกเลิกกำหนดการไป
ต่อมาในวันที่ 4 พ.ค. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทยกล่าวว่ารัฐบาลไทยยังคงติดต่ออย่างไม่เป็นทางการกับเจ้าหน้าที่การค้าของสหรัฐฯ และมั่นใจว่าไทยและสหรัฐฯ น่าจะได้เจรจาระหว่างกันก่อนที่ช่วงเวลายุติการบังคับใช้มาตรการเก็บภาษีเป็นการชั่วคราว ซึ่งกินเวลา 90 วันจะยุติลง
ล่าสุดในวันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา นายพิชัยได้เปิดเผยข้อเสนอ 5 ข้อ ที่ไทยส่งถึงสหรัฐ ซึ่งมีเป้าหมายลดการเกินดุลกับสหรัฐให้ได้ 50% ภายใน 5 ปี มีรายละเอียดได้แก่ 1.เสริมความร่วมมือธุรกิจอาหารแปรรูปไทย 2.เพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ อาทิ พลังงาน (น้ำมันดิบ, LNG, อีเทน), เครื่องบินและชิ้นส่วน, อาวุธยุทโธปกรณ์
3.เปิดตลาดและลดอุปสรรคทางการค้า การลดภาษีนำเข้าภายใต้ระบบ MFN จำนวน 11,000 รายการ 4.บังคับใช้กฎหมายถิ่นกำเนิดสินค้าเคร่งครัดผ่านการบังคับใช้กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า เพื่อแก้ปัญหาการสวมสิทธิ์สินค้า “Made in Thailand” และ5.ส่งเสริมการลงทุนไทยในสหรัฐ ภาครัฐสนับสนุนการขยายการลงทุนของเอกชนไทยในสหรัฐ
โดยนายพิชัยยืนยันว่าสหรัฐฯมีท่าทีในแง่บวกเมื่อได้เห็นข้อเสนอเหล่านี้ แต่ปัจจุบันก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าไทยจะได้เข้าเจรจากับสหรัฐฯเมื่อใด และผลจะเป็นที่ต้องการหรือไม่กันแน่
เรียบเรียงจาก:https://www.straitstimes.com/world/united-states/trump-blinked-in-trade-war-with-china-can-south-east-asia-get-a-break-too

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา